"ตามหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามการสร้างภาคีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามถือว่าบาปอย่างแรงที่สุด"
ในการที่จะปรงใจที่จะเชื่อเรื่องราวใดๆก็ตามที่เราได้ยินมา ทั้งพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามมีคำสอนในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งพุทธศาสนิกชน และมุสลิมจะต้องยึดถือปฏิตามคำสอน นี้อย่างเคร่งครัดจึงจะไม่มีการเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่เหลวไหล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับมุสลิมศาสนาอิสลามสอนให้ปฏิเสธเรื่องเวทมนตร์และไสยศาสตร์ ห้ามการปฏิบัติและเชื่อในเรื่องดังกล่าว คัมภีร์อัลกุรอานชี่ให้เห็นว่าความเชื่อโชคลาง เป็นภาระที่วางไว้บนจิตใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยมือของมนุษย์ทั้งหญิงชาย อัลลอฮ์ทรงแนะนำศาสดามูฮัมหมัด ให้เรารู้จักในฐานะผู้ส่งสาร(รอซูล) คนสุดท้ายของอัลลอฮ์ มีหน้าที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ชัดเจนสำหรับผู้ติดตามของเขาเพื่อดูว่าควรทำอะไรและเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรทำและเพิกเฉย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ศาสนาอิสลามสอนให้เห็นว่า อำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆเป็นของอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีศรัทธาต่อคำสอนที่มีเหตุผลจึงไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ที่ขาดเหตุผลเพราะว่า อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า (اِنَّ اللّٰهَ عَلٰى كُلِّ شَیْءٍ قَدِیْرٌ) อย่างไม่ต้องสงสัยเลย อัลลอฮ์เท่านั้นทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับเรื่องญินนั้นเป็นเป็นเรื่องที่อัลกุรอาน
ความตระหนักในอิสลาม (4) ระบุเกี่ยวกับ Surah และญินนี้ “ผู้คนจำนวนมากที่ประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนยืนยันถึงประสิทธิผลที่น่าทึ่งของโองการนี้ในการขับไล่ญินและทำลายคาถาของพวกเขา
Ayat al-Kursi (โองการที่ 255 ใน Surah Al-Baqara) มีผลอย่างมากในการขับไล่ปีศาจจากมนุษย์ จากสิ่งที่ถูกสิง และจากผู้ที่เลือกโดยญิน เช่น ผู้อธรรม คนอารมณ์ร้าย ผู้ที่ทำตามความปรารถนาและตัณหา นักดนตรีและผู้ที่มีความปีติยินดีผ่านการผิวปากและเสียงปรบมือ หากโองการเหล่านี้ถูกอ่านด้วยความจริงใจต่ออัลลอฮ์ ญินก็จะออกไป มันจะทำให้ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยญินหมดสิ้นไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
{2:255} อัลลอฮฺ ซึ่งไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ คือพระผู้ทรงมีชีพ พระผู้ทรงดํารงอยู่ ความง่วงและการหลับไม่ครอบงําพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ผู้ใดเล่าที่จะให้การรับรอง(แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยพระอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้ของพระองค์สักนิด นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์(จะให้พวกเขารู้)เท่านั้น เก้าอี้ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์คือพระผู้ทรงสูงส่ง พระผู้ทรงยิ่งใหญ่
อิสลามยืนยันการมีอยู่ของญิน แต่ปฏิเสธเรื่องราวมหัศจรรย์รอบตัวพวกญิน ด้วยเหตุนี้เองที่อัลกุรอานบทหนึ่งกล่าวถึงหัวข้อของญินโดยเฉพาะ ได้แก่72. ซูเราะฮฺอัลญิน (บท ญิน) นอกจากนี้เรายังได้รับการเตือนเกี่ยวกับมนุษย์และญินที่ชั่วร้าย "ซาตาน" ดังนั้นมุสลิม "อย่าเอนเอียงไปทาง ชัยฏอนซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอัลลอฮฺและมนุษย์ มันได้สาบานไว้อย่างจริงจังว่าจะทำให้มนุษย์หลงผิด อย่างไรก็ตาม อำนาจของมันที่มีต่อมนุษย์นั้นจำกัดอยู่เพียงการล่อลวงที่กระซิบกระซาบ และมันไม่สามารถลบล้างเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ แหล่งที่มาของความคิดชั่วร้ายอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์เอง (อัล-นาฟ อัล-อัมมาเราะห์)”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้7 อารมณ์ของมนุษย์ นัฟซู วิธีต่อสู้กับนัฟซู
มนุษย์ถูกแบ่งออกเป็น 7 อารมณ์ ดังนี้
1. นัฟซู อัมมาเราะฮฺ เป็นนัฟซูที่ชั่วช้าที่สุด เพราะเป็นนัฟซูของชัยตอน มีแต่เรื่องชั่วช้า หาดีไม่ได้ เรียกได้ว่า เป็นเจ้าแห่งความเลว
2. นัฟซู เลาวามะฮฺ เป็นนัฟซูของสัตว์ ไม่มีการพิจารณาใดๆ ไม่ว่าจะดีหรือเลว เอาแต่ "อารมณ์อยาก" ของตัวเองเป็นใหญ่
3. นัฟซู มุ้ลฮามะฮฺ นัฟซูที่ถูกแบ่งครึ่งระหว่างมนุษย์และสัตว์ แบ่งครึ่งระหว่างความดี กับความชั่วเท่าๆ กัน คือ หมายความว่า ความดีก็ทำ ความชั่วก็ไม่ทิ้ง
4. นัฟซู มุตมะอินนะฮฺ ใครมีนัฟซูนี้มาก นับว่าดีที่สุดของมนุษย์ทั่วไป เป็นนัฟซูแรกที่ถูกเชิญเข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺ เพราะเป็นนัฟซูที่มีการยับยั้งชั่งใจ
5. นัฟซู รอดียะฮฺ เป็นนัฟซูที่สามารถตัดกิเลสได้ ทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง แม้มีผู้ใดดำเนินตามนัฟซูนี้ เรียกว่า เป็นบุคคลซูฟีชั้นสูงเต็มขั้น
6. นัฟซู มัรดียะฮฺ เป็นนัฟซูที่อัลลอฮฺยอมให้ของระดับคน
7. นัฟซู กามิลียะห์ เป็นตัวตัดสินว่านี่คือ "คน" เพราะในคำว่า คน นั้นจะต้องปะปนกันทั้งความดีและความชั่ว
ดังนั้น การที่จะเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ได้นั้น จะต้องประกอบหรือปะปนกันอยู่ทั้ง 6 นัฟซูที่กล่าวมา จึงเรียกได้ว่า "คน" ได้ เมื่อเป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้ว คือ มีทั้งฝ่ายอารมณ์ดีและอารมณ์ร้ายอยู่ในตัวมนุษย์แล้ว ความสมบูรณ์ตัวนี้แหล่ะ เขาเรียกว่า " นัฟซูที่ 7 เรียกว่านัฟซู กามิลียะห์ เป็นตัวตัดสินว่านี่คือ "คน" เพราะในคำว่า คน นั้นจะต้องปะปนกันทั้งความดีและความชั่ว
นอกจากนี้ยังจะเปิดเผยความเท็จของบรรดาพี่น้องของญินที่ทำการอัศจรรย์ ญินได้สร้างแรงบันดาลใจแก่สาวกของพวกเขาด้วยความรู้บางอย่างที่ผู้โง่เขลาคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮ์ประทานแก่ปวงบ่าวผู้เคร่งศาสนาของพระองค์ แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการหลอกลวงของซาตานที่มีต่อสาวกของเขา ผู้ที่ได้รับพระพิโรธจากอัลลอฮ์ และผู้ที่หลงผิด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปความหมายของซูเราะห์ญิณ "อัลลอฮ์เท่านั้นที่มีอำนาจเหนือสิ่งมห้ศจรรย์ทั้งหลาย"
อัลกุรอานและซุนนะห์ กล่าวถึงญินว่าเป็นตัวตนที่มีอำนาจ มีวิญญาณและร่างกาย Surah al-Naml (27), โองการที่ 39 เล่าเรื่องราวของ 'อิฟริต (ญินชนิดหนึ่ง) ที่อ้างว่าสามารถนำบัลลังก์แห่งบิลกิสมาสู่สุไลมานได้ "เร็วกว่าที่คุณจะลุกขึ้นยืนได้"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ قَالَ عِفْرِيتٌ مِنَ الْجِنِّ أَنَا آتِيكَ بِهِ قَبْلَ أَنْ تَقُومَ مِنْ مَقَامِكَ ۖ وَإِنِّي عَلَيْهِ لَقَوِيٌّ أَمِينٌ {39}
[Yusufali 27:39] Said an 'Ifrit, of the Jinns: "I will bring it to thee before thou rise from thy council: indeed I have full strength for the purpose and may be trusted."
ญินครอบครอง: จิตวิทยา ศรัทธา & สุขภาพจิต - เกี่ยวกับอิสลาม
ไม่ว่าญินที่มีอำนาจจะเป็นเช่นไร
เราต้องไม่ลืมว่ามีเพียงอัลลอฮ์เท่านั้นที่มีอำนาจสูงสุด เนื่องจากพระองค์ทรงสูงส่งและมีอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อใคร่ครวญถึงข้อเท็จจริงนี้ เราจะเห็นคนบางกลุ่มที่อาจไปถึงขั้นสุดโต่งในอำนาจการระบุว่าตนเป็นญิน และนั่นอาจนำไปสู่การหลบเลี่ยง ดังที่อัล-อิสลาม ชี้ว่า
“ตามที่ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนใหญ่เป็นเพราะตำนานที่ผู้คนสร้างขึ้นเกี่ยวกับญิน ซึ่งนักวิชาการที่มีเหตุผลหลายคนออกมาปฏิเสธการมีอยู่ของพวกมันโดยสิ้นเชิง
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า อิสลามยืนยันการมีอยู่ของญิน แต่ปฏิเสธเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกี่ยวกับพวกญิณ และมีการเตือนเกี่ยวกับมนุษย์และญินที่ชั่วร้าย "ซาตาน" ดังนั้นมุสลิม "อย่าเอนเอียงไปทาง ชัยฏอนซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอัลลอฮฺและมนุษย์ ดังนั้นการที่เราเห็นการเขาทรงหรือการทำอภินิหารย์ต่างๆของมนุษย์ นั้นคือการทำของซาตาน ถ้าถูกญิณเข้าทรงก็เกิดจากการกระทำของซาตานที่หลอกลวงมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิมจะเชื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แม้แต่พุทธศาสนิกชนเองจะต้องมี "สติ" และนำเอาหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์มาใช้ในการพิจารณาก่อนที่จะเชื่อเรื่องเช่นนี้
TRIBUNNEWS.COM - ข่าวที่ว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบียซึ่งอยู่ในอาการโคม่ามา 17 ปี ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
เป็นที่ทราบกันดีว่า มีรายงานว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย Al Waleed bin Khaled bin Talal ที่เผยแพร่บน Tiktok ไปยัง YouTube ตั้งแต่วันอังคาร (4/4/2023)
เพื่อความแน่ใจ มีการแนบรูปถ่ายของ Ida Dayak ราวกับว่าเขากำลังรักษา Al Waleed
บทความนี้เผยแพร่บน Tribunnews.com ในชื่อ Fact Check: มีรายงานว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นเรื่องหลอกลวง
ผู้เขียน: มูฮัมหมัด อับดิลลาฮาวัง
บรรณาธิการ: Daryono
https://www.tribunnews.com/nasional/2023/04/05/cek-fakta-ida-dayak-dikabarkan-mengobati-pangeran-arab-saudi-ternyata-hoaks
เรื่องอะไรถ้าไม่มีความจริงคงจะมีผู้เปิดเผยขึ้นอีก
.................................................................
เวทมนตร์ในสายตาของอิสลาม
ในเรื่องนี้บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามได้ประกาศห้ามการเรียนรู้และฝึกฝนเวทมนตร์ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า
مَنْ تَعَلَّمَ شَيئاً مِنَ السِّحْرِ قَليلاً أَو کَثِيراً فَقَدْ کَفَرَ وَ کاَنَ آخِرُ عَهْدِهِ بِرَبِّهِ.
“ผู้ที่เรียนรู้เวทมนตร์ ไม่มากก็น้อย ได้กลายเป็นคนนอกศาสนา และการสมาคมของเขากับอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง”
ก่อนจะเชื่อเรื่องใดจะต้องมี "สติ" และใช้เหตุผล
ในการที่จะปรงใจที่จะเชื่อเรื่องราวใดๆก็ตามที่เราได้ยินมา ทั้งพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามมีคำสอนในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งพุทธศาสนิกชน และมุสลิมจะต้องยึดถือปฏิตามคำสอน นี้อย่างเคร่งครัดจึงจะไม่มีการเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่เหลวไหล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับมุสลิมศาสนาอิสลามสอนให้ปฏิเสธเรื่องเวทมนตร์และไสยศาสตร์ ห้ามการปฏิบัติและเชื่อในเรื่องดังกล่าว คัมภีร์อัลกุรอานชี่ให้เห็นว่าความเชื่อโชคลาง เป็นภาระที่วางไว้บนจิตใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยมือของมนุษย์ทั้งหญิงชาย อัลลอฮ์ทรงแนะนำศาสดามูฮัมหมัด ให้เรารู้จักในฐานะผู้ส่งสาร(รอซูล) คนสุดท้ายของอัลลอฮ์ มีหน้าที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ชัดเจนสำหรับผู้ติดตามของเขาเพื่อดูว่าควรทำอะไรและเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรทำและเพิกเฉย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ศาสนาอิสลามสอนให้เห็นว่า อำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆเป็นของอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีศรัทธาต่อคำสอนที่มีเหตุผลจึงไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ที่ขาดเหตุผลเพราะว่า อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า (اِنَّ اللّٰهَ عَلٰى كُلِّ شَیْءٍ قَدِیْرٌ) อย่างไม่ต้องสงสัยเลย อัลลอฮ์เท่านั้นทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับเรื่องญินนั้นเป็นเป็นเรื่องที่อัลกุรอาน
ความตระหนักในอิสลาม (4) ระบุเกี่ยวกับ Surah และญินนี้ “ผู้คนจำนวนมากที่ประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนยืนยันถึงประสิทธิผลที่น่าทึ่งของโองการนี้ในการขับไล่ญินและทำลายคาถาของพวกเขา
Ayat al-Kursi (โองการที่ 255 ใน Surah Al-Baqara) มีผลอย่างมากในการขับไล่ปีศาจจากมนุษย์ จากสิ่งที่ถูกสิง และจากผู้ที่เลือกโดยญิน เช่น ผู้อธรรม คนอารมณ์ร้าย ผู้ที่ทำตามความปรารถนาและตัณหา นักดนตรีและผู้ที่มีความปีติยินดีผ่านการผิวปากและเสียงปรบมือ หากโองการเหล่านี้ถูกอ่านด้วยความจริงใจต่ออัลลอฮ์ ญินก็จะออกไป มันจะทำให้ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยญินหมดสิ้นไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อิสลามยืนยันการมีอยู่ของญิน แต่ปฏิเสธเรื่องราวมหัศจรรย์รอบตัวพวกญิน ด้วยเหตุนี้เองที่อัลกุรอานบทหนึ่งกล่าวถึงหัวข้อของญินโดยเฉพาะ ได้แก่72. ซูเราะฮฺอัลญิน (บท ญิน) นอกจากนี้เรายังได้รับการเตือนเกี่ยวกับมนุษย์และญินที่ชั่วร้าย "ซาตาน" ดังนั้นมุสลิม "อย่าเอนเอียงไปทาง ชัยฏอนซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอัลลอฮฺและมนุษย์ มันได้สาบานไว้อย่างจริงจังว่าจะทำให้มนุษย์หลงผิด อย่างไรก็ตาม อำนาจของมันที่มีต่อมนุษย์นั้นจำกัดอยู่เพียงการล่อลวงที่กระซิบกระซาบ และมันไม่สามารถลบล้างเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ แหล่งที่มาของความคิดชั่วร้ายอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์เอง (อัล-นาฟ อัล-อัมมาเราะห์)”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นอกจากนี้ยังจะเปิดเผยความเท็จของบรรดาพี่น้องของญินที่ทำการอัศจรรย์ ญินได้สร้างแรงบันดาลใจแก่สาวกของพวกเขาด้วยความรู้บางอย่างที่ผู้โง่เขลาคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮ์ประทานแก่ปวงบ่าวผู้เคร่งศาสนาของพระองค์ แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการหลอกลวงของซาตานที่มีต่อสาวกของเขา ผู้ที่ได้รับพระพิโรธจากอัลลอฮ์ และผู้ที่หลงผิด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อัลกุรอานและซุนนะห์ กล่าวถึงญินว่าเป็นตัวตนที่มีอำนาจ มีวิญญาณและร่างกาย Surah al-Naml (27), โองการที่ 39 เล่าเรื่องราวของ 'อิฟริต (ญินชนิดหนึ่ง) ที่อ้างว่าสามารถนำบัลลังก์แห่งบิลกิสมาสู่สุไลมานได้ "เร็วกว่าที่คุณจะลุกขึ้นยืนได้"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ญินครอบครอง: จิตวิทยา ศรัทธา & สุขภาพจิต - เกี่ยวกับอิสลาม
ไม่ว่าญินที่มีอำนาจจะเป็นเช่นไร เราต้องไม่ลืมว่ามีเพียงอัลลอฮ์เท่านั้นที่มีอำนาจสูงสุด เนื่องจากพระองค์ทรงสูงส่งและมีอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อใคร่ครวญถึงข้อเท็จจริงนี้ เราจะเห็นคนบางกลุ่มที่อาจไปถึงขั้นสุดโต่งในอำนาจการระบุว่าตนเป็นญิน และนั่นอาจนำไปสู่การหลบเลี่ยง ดังที่อัล-อิสลาม ชี้ว่า “ตามที่ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนใหญ่เป็นเพราะตำนานที่ผู้คนสร้างขึ้นเกี่ยวกับญิน ซึ่งนักวิชาการที่มีเหตุผลหลายคนออกมาปฏิเสธการมีอยู่ของพวกมันโดยสิ้นเชิง
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า อิสลามยืนยันการมีอยู่ของญิน แต่ปฏิเสธเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกี่ยวกับพวกญิณ และมีการเตือนเกี่ยวกับมนุษย์และญินที่ชั่วร้าย "ซาตาน" ดังนั้นมุสลิม "อย่าเอนเอียงไปทาง ชัยฏอนซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอัลลอฮฺและมนุษย์ ดังนั้นการที่เราเห็นการเขาทรงหรือการทำอภินิหารย์ต่างๆของมนุษย์ นั้นคือการทำของซาตาน ถ้าถูกญิณเข้าทรงก็เกิดจากการกระทำของซาตานที่หลอกลวงมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิมจะเชื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แม้แต่พุทธศาสนิกชนเองจะต้องมี "สติ" และนำเอาหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์มาใช้ในการพิจารณาก่อนที่จะเชื่อเรื่องเช่นนี้
TRIBUNNEWS.COM - ข่าวที่ว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบียซึ่งอยู่ในอาการโคม่ามา 17 ปี ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
เป็นที่ทราบกันดีว่า มีรายงานว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย Al Waleed bin Khaled bin Talal ที่เผยแพร่บน Tiktok ไปยัง YouTube ตั้งแต่วันอังคาร (4/4/2023)
เพื่อความแน่ใจ มีการแนบรูปถ่ายของ Ida Dayak ราวกับว่าเขากำลังรักษา Al Waleed
บทความนี้เผยแพร่บน Tribunnews.com ในชื่อ Fact Check: มีรายงานว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นเรื่องหลอกลวง
ผู้เขียน: มูฮัมหมัด อับดิลลาฮาวัง
บรรณาธิการ: Daryono
https://www.tribunnews.com/nasional/2023/04/05/cek-fakta-ida-dayak-dikabarkan-mengobati-pangeran-arab-saudi-ternyata-hoaks
เรื่องอะไรถ้าไม่มีความจริงคงจะมีผู้เปิดเผยขึ้นอีก
.................................................................
เวทมนตร์ในสายตาของอิสลาม
ในเรื่องนี้บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามได้ประกาศห้ามการเรียนรู้และฝึกฝนเวทมนตร์ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า
مَنْ تَعَلَّمَ شَيئاً مِنَ السِّحْرِ قَليلاً أَو کَثِيراً فَقَدْ کَفَرَ وَ کاَنَ آخِرُ عَهْدِهِ بِرَبِّهِ.
“ผู้ที่เรียนรู้เวทมนตร์ ไม่มากก็น้อย ได้กลายเป็นคนนอกศาสนา และการสมาคมของเขากับอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง”