ก่อนจะเชื่อเรื่องใดจะต้องมี "สติ" และใช้เหตุผล

"ตามหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามการสร้างภาคีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามถือว่าบาปอย่างแรงที่สุด"

ในการที่จะปรงใจที่จะเชื่อเรื่องราวใดๆก็ตามที่เราได้ยินมา ทั้งพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามมีคำสอนในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งพุทธศาสนิกชน และมุสลิมจะต้องยึดถือปฏิตามคำสอน นี้อย่างเคร่งครัดจึงจะไม่มีการเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่เหลวไหล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับมุสลิมศาสนาอิสลามสอนให้ปฏิเสธเรื่องเวทมนตร์และไสยศาสตร์ ห้ามการปฏิบัติและเชื่อในเรื่องดังกล่าว คัมภีร์อัลกุรอานชี่ให้เห็นว่าความเชื่อโชคลาง เป็นภาระที่วางไว้บนจิตใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยมือของมนุษย์ทั้งหญิงชาย อัลลอฮ์ทรงแนะนำศาสดามูฮัมหมัด ให้เรารู้จักในฐานะผู้ส่งสาร(รอซูล) คนสุดท้ายของอัลลอฮ์ มีหน้าที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ชัดเจนสำหรับผู้ติดตามของเขาเพื่อดูว่าควรทำอะไรและเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรทำและเพิกเฉย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ศาสนาอิสลามสอนให้เห็นว่า อำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆเป็นของอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีศรัทธาต่อคำสอนที่มีเหตุผลจึงไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ที่ขาดเหตุผลเพราะว่า อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า  (اِنَّ اللّٰهَ عَلٰى كُلِّ شَیْءٍ قَدِیْرٌ) อย่างไม่ต้องสงสัยเลย อัลลอฮ์เท่านั้นทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับเรื่องญินนั้นเป็นเป็นเรื่องที่อัลกุรอาน
ความตระหนักในอิสลาม (4) ระบุเกี่ยวกับ Surah และญินนี้ “ผู้คนจำนวนมากที่ประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนยืนยันถึงประสิทธิผลที่น่าทึ่งของโองการนี้ในการขับไล่ญินและทำลายคาถาของพวกเขา
Ayat al-Kursi (โองการที่ 255 ใน Surah Al-Baqara) มีผลอย่างมากในการขับไล่ปีศาจจากมนุษย์ จากสิ่งที่ถูกสิง และจากผู้ที่เลือกโดยญิน เช่น ผู้อธรรม คนอารมณ์ร้าย ผู้ที่ทำตามความปรารถนาและตัณหา นักดนตรีและผู้ที่มีความปีติยินดีผ่านการผิวปากและเสียงปรบมือ หากโองการเหล่านี้ถูกอ่านด้วยความจริงใจต่ออัลลอฮ์ ญินก็จะออกไป มันจะทำให้ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยญินหมดสิ้นไป

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
 อิสลามยืนยันการมีอยู่ของญิน แต่ปฏิเสธเรื่องราวมหัศจรรย์รอบตัวพวกญิน ด้วยเหตุนี้เองที่อัลกุรอานบทหนึ่งกล่าวถึงหัวข้อของญินโดยเฉพาะ ได้แก่72. ซูเราะฮฺอัลญิน (บท ญิน) นอกจากนี้เรายังได้รับการเตือนเกี่ยวกับมนุษย์และญินที่ชั่วร้าย "ซาตาน" ดังนั้นมุสลิม "อย่าเอนเอียงไปทาง ชัยฏอนซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอัลลอฮฺและมนุษย์ มันได้สาบานไว้อย่างจริงจังว่าจะทำให้มนุษย์หลงผิด อย่างไรก็ตาม อำนาจของมันที่มีต่อมนุษย์นั้นจำกัดอยู่เพียงการล่อลวงที่กระซิบกระซาบ และมันไม่สามารถลบล้างเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ แหล่งที่มาของความคิดชั่วร้ายอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์เอง (อัล-นาฟ อัล-อัมมาเราะห์)”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นอกจากนี้ยังจะเปิดเผยความเท็จของบรรดาพี่น้องของญินที่ทำการอัศจรรย์ ญินได้สร้างแรงบันดาลใจแก่สาวกของพวกเขาด้วยความรู้บางอย่างที่ผู้โง่เขลาคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮ์ประทานแก่ปวงบ่าวผู้เคร่งศาสนาของพระองค์ แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการหลอกลวงของซาตานที่มีต่อสาวกของเขา ผู้ที่ได้รับพระพิโรธจากอัลลอฮ์ และผู้ที่หลงผิด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อัลกุรอานและซุนนะห์ กล่าวถึงญินว่าเป็นตัวตนที่มีอำนาจ มีวิญญาณและร่างกาย Surah al-Naml (27), โองการที่ 39 เล่าเรื่องราวของ 'อิฟริต (ญินชนิดหนึ่ง) ที่อ้างว่าสามารถนำบัลลังก์แห่งบิลกิสมาสู่สุไลมานได้ "เร็วกว่าที่คุณจะลุกขึ้นยืนได้"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ญินครอบครอง: จิตวิทยา ศรัทธา & สุขภาพจิต - เกี่ยวกับอิสลาม
ไม่ว่าญินที่มีอำนาจจะเป็นเช่นไร เราต้องไม่ลืมว่ามีเพียงอัลลอฮ์เท่านั้นที่มีอำนาจสูงสุด เนื่องจากพระองค์ทรงสูงส่งและมีอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อใคร่ครวญถึงข้อเท็จจริงนี้ เราจะเห็นคนบางกลุ่มที่อาจไปถึงขั้นสุดโต่งในอำนาจการระบุว่าตนเป็นญิน และนั่นอาจนำไปสู่การหลบเลี่ยง ดังที่อัล-อิสลาม ชี้ว่า “ตามที่ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนใหญ่เป็นเพราะตำนานที่ผู้คนสร้างขึ้นเกี่ยวกับญิน ซึ่งนักวิชาการที่มีเหตุผลหลายคนออกมาปฏิเสธการมีอยู่ของพวกมันโดยสิ้นเชิง

 ตามที่กล่าวมาแล้วว่า อิสลามยืนยันการมีอยู่ของญิน แต่ปฏิเสธเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกี่ยวกับพวกญิณ และมีการเตือนเกี่ยวกับมนุษย์และญินที่ชั่วร้าย "ซาตาน" ดังนั้นมุสลิม "อย่าเอนเอียงไปทาง ชัยฏอนซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอัลลอฮฺและมนุษย์  ดังนั้นการที่เราเห็นการเขาทรงหรือการทำอภินิหารย์ต่างๆของมนุษย์ นั้นคือการทำของซาตาน ถ้าถูกญิณเข้าทรงก็เกิดจากการกระทำของซาตานที่หลอกลวงมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิมจะเชื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แม้แต่พุทธศาสนิกชนเองจะต้องมี "สติ" และนำเอาหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์มาใช้ในการพิจารณาก่อนที่จะเชื่อเรื่องเช่นนี้

TRIBUNNEWS.COM - ข่าวที่ว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบียซึ่งอยู่ในอาการโคม่ามา 17 ปี ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
เป็นที่ทราบกันดีว่า มีรายงานว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย Al Waleed bin Khaled bin Talal ที่เผยแพร่บน Tiktok ไปยัง YouTube ตั้งแต่วันอังคาร (4/4/2023)
เพื่อความแน่ใจ มีการแนบรูปถ่ายของ Ida Dayak ราวกับว่าเขากำลังรักษา Al Waleed

บทความนี้เผยแพร่บน Tribunnews.com ในชื่อ Fact Check: มีรายงานว่า Ida Dayak ปฏิบัติต่อเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นเรื่องหลอกลวง
ผู้เขียน: มูฮัมหมัด อับดิลลาฮาวัง
บรรณาธิการ: Daryono
https://www.tribunnews.com/nasional/2023/04/05/cek-fakta-ida-dayak-dikabarkan-mengobati-pangeran-arab-saudi-ternyata-hoaks

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เรื่องอะไรถ้าไม่มีความจริงคงจะมีผู้เปิดเผยขึ้นอีก
.................................................................

เวทมนตร์ในสายตาของอิสลาม
ในเรื่องนี้บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามได้ประกาศห้ามการเรียนรู้และฝึกฝนเวทมนตร์ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า
مَنْ تَعَلَّمَ شَيئاً مِنَ السِّحْرِ قَليلاً أَو کَثِيراً فَقَدْ کَفَرَ وَ کاَنَ آخِرُ عَهْدِهِ بِرَبِّهِ.
“ผู้ที่เรียนรู้เวทมนตร์ ไม่มากก็น้อย ได้กลายเป็นคนนอกศาสนา และการสมาคมของเขากับอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่