ตาม คห 9 ของกระทู้ ppantip.com/topic/33529714 มีข้อความสรุปว่า
อริยะบุคคลไม่ทำเดรัจฉานวิชา ไม่พรมน้ำมนต์ ฯลฯ เลยสงสัยว่า การทำ
สิ่งเหล่านี้โดยไม่ได้หวังทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ แต่ทำเพื่อสงเคราะห์คน
ไปตามความสามารถเพื่อช่วยให้เขาผู้ปุถุชนซึ่งยังไม่หวังโลกุตรภูมิ มีขวัญ
กำลังใจดีขึ้น อย่างนี้อริยะบุคคลทำไหม
ป.ล. รายละเอียด
คำว่า " ไม่กลับมาเกิด" มีความหมาย 2 นัยครับ นัยแรกคือ ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกซึ่งหมายถึงการเป็น อริยบุคคลตั้งแต่ขั้น สกิทาคามี ซึ่งจะไปเกิดเป็นเทวดา
http://ppantip.com/topic แล้วบรรลุเป็นอรหันต์ในภพเทวดาหรือ เป็นอนาคามีซึ่งจะไปเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาสแล้วบรรลุเป็นอรหันต์ในภพนั้น ส่วนนัยที่ 2 คือท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วหมดกิเลสแล้วเมื่อกายแตกทำลายไปก็จบ ไม่ต้องมาเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์อีกครับ ส่วนท่านจะได้ระดับไหนนั้นไม่มีใครบอกได้ครับ ท่านรู้ได้ด้วยตนเอง(ปัจจตัง) แต่เมื่อมีใครมาบอกเราว่าเขาเป็นอริยะบุคคลขั้นใด ๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้าให้เราตั้งใจฟัง แต่ไม่ให้รับรองหรือคัดค้าน แต่ดูที่วัตรปฏิบัติของท่านว่าเป็นอย่างไรเข้ากันได้กับอริยะบุคคลขั้นใด ถ้าเป็นโสดาบันก็ต้องมีศีลสมบูรณ์และยึดมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยไม่ทำเดรัจฉานวิชา ไม่พรมน้ำมนต์ ไม่สะเดาะเคาะห์ ไม่ดูฤกษ์ยาม ไม่ไหว้เจ้าที่หรือไหว้ศาลพระภูมิ ถ้าใครยังทำอยู่ก็แสดงว่าท่านนั้นยังไม่ได้เป็นอริยะบุคคลครับ ถ้าสนใจในรายละเอียดลองไปฟังธรรมที่เว็บของวัดนาป่าพงครับ www.watnapp.com ในอีกนัยหนึ่งถ้าภิกษุที่เป็นพระอริยะบุคคลแล้วพระพุทธเจ้าห้ามภิกษุรูปนั้นบอกกับฆราวาสว่าตนเองเป็นพระอริยะบุคคลแต่บอกกับพระสงฆ์ได้ยกเว้นสำคัญตนผิดคือไม่ได้เป็นแต่ประกาศว่าเป็นพระอริยะบุคคล(แต่พระพุทธเจ้าสรรเสริญพระอริยะบุคคลที่ไม่ประกาศตนว่าตนเป็นพระอริยะครับ)
อริยะบุคคลต้องไม่ทำแบบนี้หรือ
อริยะบุคคลไม่ทำเดรัจฉานวิชา ไม่พรมน้ำมนต์ ฯลฯ เลยสงสัยว่า การทำ
สิ่งเหล่านี้โดยไม่ได้หวังทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ แต่ทำเพื่อสงเคราะห์คน
ไปตามความสามารถเพื่อช่วยให้เขาผู้ปุถุชนซึ่งยังไม่หวังโลกุตรภูมิ มีขวัญ
กำลังใจดีขึ้น อย่างนี้อริยะบุคคลทำไหม
ป.ล. รายละเอียด
คำว่า " ไม่กลับมาเกิด" มีความหมาย 2 นัยครับ นัยแรกคือ ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกซึ่งหมายถึงการเป็น อริยบุคคลตั้งแต่ขั้น สกิทาคามี ซึ่งจะไปเกิดเป็นเทวดา http://ppantip.com/topic แล้วบรรลุเป็นอรหันต์ในภพเทวดาหรือ เป็นอนาคามีซึ่งจะไปเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาสแล้วบรรลุเป็นอรหันต์ในภพนั้น ส่วนนัยที่ 2 คือท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วหมดกิเลสแล้วเมื่อกายแตกทำลายไปก็จบ ไม่ต้องมาเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์อีกครับ ส่วนท่านจะได้ระดับไหนนั้นไม่มีใครบอกได้ครับ ท่านรู้ได้ด้วยตนเอง(ปัจจตัง) แต่เมื่อมีใครมาบอกเราว่าเขาเป็นอริยะบุคคลขั้นใด ๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้าให้เราตั้งใจฟัง แต่ไม่ให้รับรองหรือคัดค้าน แต่ดูที่วัตรปฏิบัติของท่านว่าเป็นอย่างไรเข้ากันได้กับอริยะบุคคลขั้นใด ถ้าเป็นโสดาบันก็ต้องมีศีลสมบูรณ์และยึดมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยไม่ทำเดรัจฉานวิชา ไม่พรมน้ำมนต์ ไม่สะเดาะเคาะห์ ไม่ดูฤกษ์ยาม ไม่ไหว้เจ้าที่หรือไหว้ศาลพระภูมิ ถ้าใครยังทำอยู่ก็แสดงว่าท่านนั้นยังไม่ได้เป็นอริยะบุคคลครับ ถ้าสนใจในรายละเอียดลองไปฟังธรรมที่เว็บของวัดนาป่าพงครับ www.watnapp.com ในอีกนัยหนึ่งถ้าภิกษุที่เป็นพระอริยะบุคคลแล้วพระพุทธเจ้าห้ามภิกษุรูปนั้นบอกกับฆราวาสว่าตนเองเป็นพระอริยะบุคคลแต่บอกกับพระสงฆ์ได้ยกเว้นสำคัญตนผิดคือไม่ได้เป็นแต่ประกาศว่าเป็นพระอริยะบุคคล(แต่พระพุทธเจ้าสรรเสริญพระอริยะบุคคลที่ไม่ประกาศตนว่าตนเป็นพระอริยะครับ)