แนะนำไว้ครับ เผื่อใครสงสัยจนเป็นปมติดตัว ตามหลอกหลอนไปทุกแห่ง คันไม้คันมือเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
(โดยเฉพาะ คุณ 3 ม.) จนต้องตามระราน จาบจ้วงคนที่ศึกษาพระไตรปิฏกว่างมงายอย่างนั้นอย่างนี้
ถือเสียว่ากระทู้ผมแนะประโยชน์ให้พวกคุณก็แล้วกัน
ออกตัวก่อนครับ ว่าผมไม่ได้เชื่อทุกอย่าง 100% ในพระไตรปิฏกครับ
โดยเฉพาะเรื่องฤทธิ์ อิทธิปาฎิหาริย์ เพราะเกินวิสัยของตน
แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีหรือไม่มีแบบฟันธง เพราะอะไรครับ
เพราะว่า ...
1. หากการบรรลุธรรมเพื่อความหมดจด ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองนั้นมีอยู่
แล้วเรื่องอื่นจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ผมว่าการขจัดกิเลสหมดจด บรรลุนิพพานนั้น
ก็เป็นอิทธิปาฎิหาริย์หลักๆเลยนะ เพราะน้อยคนนักที่จะเคยเจอคนที่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง
ถึงเจอ คุณก็ไปพิสูจน์เขาไม่ได้หรอก จริงมั้ยครับ ถ้าคุณไม่ได้บรรลุเองด้วย
ถ้า...คุณคิดว่าปาฎิหาริย์เป็นเรื่องแต่ง >> การบรรลุธรรม ก็เป็นอันคิดว่าเป็นเรื่องแต่งด้วย
ถ้า...คุณคิดว่าการบรรลุธรรมเป็นเรื่องแต่ง >> ก็ไม่ต้องศึกษาปฏิบัติให้เสียเวลาครับ
เพราะปลายทางไม่มี ก็อย่าดันทุรังหาเหตุผลอื่น หากใครเขารู้ เขาศึกษามาจริงๆ จะหาว่าคุณเป็นคนบ้าเอา
สำหรับผม เรื่องอิทธิฤทธิ์ยกไว้ เพราะถือเป็นโบนัส เป็นของเพิ่มเติม
แต่เรื่องพิสูจน์พระนิพพาน ต้องรีบขวนขวายทำให้แจ้งก่อนแน่นอน
2. หนทางมีบอกชัดเจน ถ้าเรายังไม่ได้ประพฤติตามนั้น เราไม่มีสิทธิ์กล่าวได้อย่างชอบธรรมว่า
ตำราผิดเพี้ยน ถ้าใครกล่าวเช่นนั้น ถือว่ากล่าวโดยไม่ชอบธรรม เป็นคนโง่เขลา ประมาท
เป็นคนเพ้อเจ้อ เป็นไปเพื่อความไม่มีประโยชน์ เพื่อการโดนครหาโดนด่าฟรี (จริงมั้ยหละ)
ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนควรจะรู้
3. อันนี้สำคัญมาก ผมยังคิดว่าผมมีความละอายครับ ที่จะพูดจะกล่าวหรือจะบัญญัติอะไร
อะไรที่เรารู้ไม่จริง ก็แค่ทิ้งไว้ก่อน ใจเย็นๆ ไม่ต้องไปพยายามป่าวประกาศออกตัวล้อฟรีว่าตนรู้
เพราะมันเป็นการพูดเพ้อเจ้ออย่างหนึ่ง มันทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ได้
ทางที่ดี เอาให้ชัวร์ ให้รู้ด้วยตนเองก่อนดีที่สุด ของพวกนี้ไม่หนีคุณไปไหนหรอก
4. ธรรมชาติคนเรา หากคลุกคลีกับสิ่งที่เกินวิสัย ไม่มีประโยชน์ ก็ควรจะออกมาจากสิ่งเหล่านั้นเสีย
เพราะมันเสียเวลา เอาเวลาไปทำสิ่งที่รีบเร่งที่ควรก่อนจะดีกว่า
5. ขอร้องเรื่องที่ท้าคนอื่นพิสูจน์ หรือถามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ขอให้กลับไปอ่านข้อ 2 อีกที
ศาสนาพุทธสอนให้ดับที่เหตุ ต้องถามก่อนว่า ไอ้ที่สงสัยนี้ใครอื่น คุณใช่มั้ย ถ้าคุณสงสัยก็ควรศึกษาแนวทางที่มีอยู่
เพื่อคลายความสงสัย ไม่ใช่ไปท้าให้คนอื่นเขาทำ เพราะอะไร
เพราะถึงเขาทำได้ ก็จะมีคำแถตามมาอีกว่า มโนบ้าง คิดไปเองบ้าง ผมถึงขอตัดปัญหาเพื่อไม่ให้เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย
"คนสงสัยต้องพิสูจน์" อย่าใช้ให้คนอื่นที่เขาไม่สนใจไปพิสูจน์ เพราะมันไม่ใช่การดับที่เหตุ มันเสียเวลา
แถมมันยังดูขี้เกียจ มักง่ายเกินไป
แต่ที่สุดแล้วหากไม่ยอมพิสูจน์ ยังคงมานั่งเรียกร้อง ลงไปนอนดิ้น หาเหตุผล ด้วยพฤติกรรมพาลแบบเดิมๆ ระรานคนอื่นไปทั่ว
ผมขออ้างสิทธิ์กล่าวว่าคุณเป็นคนป่วยที่ต้องการการเยียวยา มีวุฒิภาวะไม่สมกับวัย ประพฤติตนไม่ถูกกับทางที่ควรจะเป็น
เพราะรู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แม้อีกร้อยปี ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถทำลายความสงสัยได้
สุดท้ายนี้หากไม่เข้าใจ ขอให้อ่านใหม่ซ้ำๆหลายรอบ เพื่อประโยชน์แก่ตัวคุณเองและชนหมู่มาก
ขอบคุณครับ
การพิสูจน์อิทธิปาฏิหาริย์ ในพระไตรปิฏก
(โดยเฉพาะ คุณ 3 ม.) จนต้องตามระราน จาบจ้วงคนที่ศึกษาพระไตรปิฏกว่างมงายอย่างนั้นอย่างนี้
ถือเสียว่ากระทู้ผมแนะประโยชน์ให้พวกคุณก็แล้วกัน
ออกตัวก่อนครับ ว่าผมไม่ได้เชื่อทุกอย่าง 100% ในพระไตรปิฏกครับ
โดยเฉพาะเรื่องฤทธิ์ อิทธิปาฎิหาริย์ เพราะเกินวิสัยของตน
แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีหรือไม่มีแบบฟันธง เพราะอะไรครับ
เพราะว่า ...
1. หากการบรรลุธรรมเพื่อความหมดจด ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองนั้นมีอยู่
แล้วเรื่องอื่นจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ผมว่าการขจัดกิเลสหมดจด บรรลุนิพพานนั้น
ก็เป็นอิทธิปาฎิหาริย์หลักๆเลยนะ เพราะน้อยคนนักที่จะเคยเจอคนที่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง
ถึงเจอ คุณก็ไปพิสูจน์เขาไม่ได้หรอก จริงมั้ยครับ ถ้าคุณไม่ได้บรรลุเองด้วย
ถ้า...คุณคิดว่าปาฎิหาริย์เป็นเรื่องแต่ง >> การบรรลุธรรม ก็เป็นอันคิดว่าเป็นเรื่องแต่งด้วย
ถ้า...คุณคิดว่าการบรรลุธรรมเป็นเรื่องแต่ง >> ก็ไม่ต้องศึกษาปฏิบัติให้เสียเวลาครับ
เพราะปลายทางไม่มี ก็อย่าดันทุรังหาเหตุผลอื่น หากใครเขารู้ เขาศึกษามาจริงๆ จะหาว่าคุณเป็นคนบ้าเอา
สำหรับผม เรื่องอิทธิฤทธิ์ยกไว้ เพราะถือเป็นโบนัส เป็นของเพิ่มเติม
แต่เรื่องพิสูจน์พระนิพพาน ต้องรีบขวนขวายทำให้แจ้งก่อนแน่นอน
2. หนทางมีบอกชัดเจน ถ้าเรายังไม่ได้ประพฤติตามนั้น เราไม่มีสิทธิ์กล่าวได้อย่างชอบธรรมว่า
ตำราผิดเพี้ยน ถ้าใครกล่าวเช่นนั้น ถือว่ากล่าวโดยไม่ชอบธรรม เป็นคนโง่เขลา ประมาท
เป็นคนเพ้อเจ้อ เป็นไปเพื่อความไม่มีประโยชน์ เพื่อการโดนครหาโดนด่าฟรี (จริงมั้ยหละ)
ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนควรจะรู้
3. อันนี้สำคัญมาก ผมยังคิดว่าผมมีความละอายครับ ที่จะพูดจะกล่าวหรือจะบัญญัติอะไร
อะไรที่เรารู้ไม่จริง ก็แค่ทิ้งไว้ก่อน ใจเย็นๆ ไม่ต้องไปพยายามป่าวประกาศออกตัวล้อฟรีว่าตนรู้
เพราะมันเป็นการพูดเพ้อเจ้ออย่างหนึ่ง มันทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ได้
ทางที่ดี เอาให้ชัวร์ ให้รู้ด้วยตนเองก่อนดีที่สุด ของพวกนี้ไม่หนีคุณไปไหนหรอก
4. ธรรมชาติคนเรา หากคลุกคลีกับสิ่งที่เกินวิสัย ไม่มีประโยชน์ ก็ควรจะออกมาจากสิ่งเหล่านั้นเสีย
เพราะมันเสียเวลา เอาเวลาไปทำสิ่งที่รีบเร่งที่ควรก่อนจะดีกว่า
5. ขอร้องเรื่องที่ท้าคนอื่นพิสูจน์ หรือถามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ขอให้กลับไปอ่านข้อ 2 อีกที
ศาสนาพุทธสอนให้ดับที่เหตุ ต้องถามก่อนว่า ไอ้ที่สงสัยนี้ใครอื่น คุณใช่มั้ย ถ้าคุณสงสัยก็ควรศึกษาแนวทางที่มีอยู่
เพื่อคลายความสงสัย ไม่ใช่ไปท้าให้คนอื่นเขาทำ เพราะอะไร
เพราะถึงเขาทำได้ ก็จะมีคำแถตามมาอีกว่า มโนบ้าง คิดไปเองบ้าง ผมถึงขอตัดปัญหาเพื่อไม่ให้เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย
"คนสงสัยต้องพิสูจน์" อย่าใช้ให้คนอื่นที่เขาไม่สนใจไปพิสูจน์ เพราะมันไม่ใช่การดับที่เหตุ มันเสียเวลา
แถมมันยังดูขี้เกียจ มักง่ายเกินไป
แต่ที่สุดแล้วหากไม่ยอมพิสูจน์ ยังคงมานั่งเรียกร้อง ลงไปนอนดิ้น หาเหตุผล ด้วยพฤติกรรมพาลแบบเดิมๆ ระรานคนอื่นไปทั่ว
ผมขออ้างสิทธิ์กล่าวว่าคุณเป็นคนป่วยที่ต้องการการเยียวยา มีวุฒิภาวะไม่สมกับวัย ประพฤติตนไม่ถูกกับทางที่ควรจะเป็น
เพราะรู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แม้อีกร้อยปี ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถทำลายความสงสัยได้
สุดท้ายนี้หากไม่เข้าใจ ขอให้อ่านใหม่ซ้ำๆหลายรอบ เพื่อประโยชน์แก่ตัวคุณเองและชนหมู่มาก
ขอบคุณครับ