"โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา"
ดูกร อานนท์ พระธรรม พระวินัย ที่เราตถาคต(“ตถาคต”คำสรรพนามบุรุษที่สองที่พระพุทธเจ้าเรียกแทนตัวเอง)นั่นแลจักเป็นศาสดาของพวกเธอ หลังจากกาลสิ้นไปแห่งตถาคตแล้ว พูดภาษาชาวบ้านๆ ก็คือพระพุทธเจ้าได้สั่งเสียกับพระอานนท์พุทธสาวกให้ยึดมั่นและหนักแน่นในพระธรรมและพระวินัยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน
กล่าวโดยเฉพาะพระธรรมวินัยและอภิสมาจารที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว ก็ถือว่าเป็น “กรอบ” และ “กำบัง” ที่ไม่ให้พระภิกษุของพระองค์ไม่ให้ถูกฉุดลงสู่อบายไว้อย่างกว้างและรัดกุมแล้ว.....ไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจจากส่วนใดๆ หรือขอร้องให้ตั้งองค์กรเพื่อมาปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานไว้อย่างดีแล้ว
การพยายามเรียกร้องเปลี่ยนแปลงให้มีการปฏิรูปศาสนาของนายสุวิทย์ (พุทธอิสระ) จึงเป็นเพียงเกมส์การเมืองล้วนๆ .....และดูเหมือนจะเป็นอาการ “ติดลมบน” ของนายสุวิทย์ที่นับตั้งแต่ละทิ้งกิจสงฆ์ออกไปร่วมชุมนุมทางการเมืองนานนับเดือน จนตัวเองต้องอาบัติปาราชิก(ขาดจากความเป็นภิกษุ) ในระหว่างร่วมและเป็นแกนนำในการชุมนุม เป็นอาการติดลมบน ที่คึกคะนอง กร่าง และ ก้าวร้าว ชวนให้น่าคิดถึงคำพูดของท่านเจ้าคุณพิพิธฯ วัดสุทัศน์ว่า นี่อาจจะเป็นแผนเตะสกัดขาการขึ้นตำแหน่ง “สมเด็จพระสังฆราช” หรือไม่?
ปล. จริงๆ อยากให้ลดจำนวน "อุปัชฌาย์" คือพระผู้ถือสิทธิ์ในการอนุญาตให้กุลบุตรบวชให้เหลือครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ อุปัชฌาย์บางรูปก็บวชพระเณรดะเต็มไปหมด พระตุ๊ด เณรแต๋วเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นี่พูดจริงๆ นะ......ถ้าอุปัชฌาย์รู้จักไตร่ตรอง และกลั่นกรอง "กุลบุตร" ผู้ที่จะเข้ามาบวชอย่างดีเสียแล้ว...............พุทธศาสนาในเมืองไทยคงไม่เสื่อมโทรมถึงขนาดอนุญาตให้แมลงสาปเข้ามาบวชหรอกนะ จริงไหม??
..............ปฏิรูปศาสนา???..........เพื่อใคร??..........
ดูกร อานนท์ พระธรรม พระวินัย ที่เราตถาคต(“ตถาคต”คำสรรพนามบุรุษที่สองที่พระพุทธเจ้าเรียกแทนตัวเอง)นั่นแลจักเป็นศาสดาของพวกเธอ หลังจากกาลสิ้นไปแห่งตถาคตแล้ว พูดภาษาชาวบ้านๆ ก็คือพระพุทธเจ้าได้สั่งเสียกับพระอานนท์พุทธสาวกให้ยึดมั่นและหนักแน่นในพระธรรมและพระวินัยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน
กล่าวโดยเฉพาะพระธรรมวินัยและอภิสมาจารที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว ก็ถือว่าเป็น “กรอบ” และ “กำบัง” ที่ไม่ให้พระภิกษุของพระองค์ไม่ให้ถูกฉุดลงสู่อบายไว้อย่างกว้างและรัดกุมแล้ว.....ไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจจากส่วนใดๆ หรือขอร้องให้ตั้งองค์กรเพื่อมาปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานไว้อย่างดีแล้ว
การพยายามเรียกร้องเปลี่ยนแปลงให้มีการปฏิรูปศาสนาของนายสุวิทย์ (พุทธอิสระ) จึงเป็นเพียงเกมส์การเมืองล้วนๆ .....และดูเหมือนจะเป็นอาการ “ติดลมบน” ของนายสุวิทย์ที่นับตั้งแต่ละทิ้งกิจสงฆ์ออกไปร่วมชุมนุมทางการเมืองนานนับเดือน จนตัวเองต้องอาบัติปาราชิก(ขาดจากความเป็นภิกษุ) ในระหว่างร่วมและเป็นแกนนำในการชุมนุม เป็นอาการติดลมบน ที่คึกคะนอง กร่าง และ ก้าวร้าว ชวนให้น่าคิดถึงคำพูดของท่านเจ้าคุณพิพิธฯ วัดสุทัศน์ว่า นี่อาจจะเป็นแผนเตะสกัดขาการขึ้นตำแหน่ง “สมเด็จพระสังฆราช” หรือไม่?
ปล. จริงๆ อยากให้ลดจำนวน "อุปัชฌาย์" คือพระผู้ถือสิทธิ์ในการอนุญาตให้กุลบุตรบวชให้เหลือครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ อุปัชฌาย์บางรูปก็บวชพระเณรดะเต็มไปหมด พระตุ๊ด เณรแต๋วเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นี่พูดจริงๆ นะ......ถ้าอุปัชฌาย์รู้จักไตร่ตรอง และกลั่นกรอง "กุลบุตร" ผู้ที่จะเข้ามาบวชอย่างดีเสียแล้ว...............พุทธศาสนาในเมืองไทยคงไม่เสื่อมโทรมถึงขนาดอนุญาตให้แมลงสาปเข้ามาบวชหรอกนะ จริงไหม??