จากความทรงจำในอดีตในยุคที่ท่านทักษิณบริหารประเทศอยู่นั้น ผมมีโอกาสได้ฟังรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน”ในวันเสาร์ ซึ่งผมอยากบอกว่า เป็นรายการที่มีสาระที่สุดที่ประชาชนรอติดตามกันมากมาย เพราะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ในอดีตไม่เคยมี
เป็นการสื่อสารระหว่างนายกฯกับประชาชนโดยตรง เป็นการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็ว
เป็นการรายงานการบริหารประเทศตลอดจนทิศทางของประเทศให้ประชาชนได้รับรู้
เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ ที่รู้จริง ทำจริง ไม่ใช่เพียงแต่รอรับรายงานจากข้าราชการเหมือนในอดีต
เพราะความเชื่อมั่นต่อผู้นำนี่เอง ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าด้วยดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ผมจึงมีความสุขในช่วงนั้นจริงๆ
และผมยังมีโอกาสได้ฟังถึงวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมของท่านทักษิณ นั่นคือ การใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน เพราะท่านทักษิณมองถึงเศรษฐกิจไทยมุ่งหวังรายได้จากภาคการส่งออกกับภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น
ท่านเล็งเห็นถึงปัญหา ถ้าการส่งออกมีปัญหาหรือการท่องเที่ยวไม่ได้เป้า ประเทศก็จะขาดเม็ดเงินเข้ามาในระบบ ดังนั้นท่านทักษิณจึงได้กำเนิดทฤษฎี นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนานไงครับ
แนวทางแรก ก็ยังมุ่งไปที่กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ
แนวทางที่สอง มุ่งเน้นไปในเรื่องกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนระดับรากหญ้า มุ่งไปที่เกษตรกร ช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพราะท่านทักษิณมองว่า ต้นไม้จะแข็งแรง เจริญงอกงามได้ ต้องมีรากคอยส่งอาหารขึ้นไปบำรุง ดังนั้นจึงพยายามสร้างความต้องการของภาคประชาชนต่อสินค้าและบริการ เพื่อช่วยกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคให้จงได้
ท่านทักษิณจึงใช้วิธีเทเงินลงไปสู่ประชาชนไม่ว่าจะเป็นด้วยลักษณะใดก็ตาม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน เพื่อให้เงินหมุนเข้าสู่ระบบ และก็เป็นไปอย่างได้ผล จนนานาประเทศยกย่องให้เป็นนายกฯนักบริหาร และก็มีหลายต่อหลายประเทศนำทฤษฎีนี้ไปใช้
น่าเสียดายที่นโยบายที่ต่างชาตินำไปใช้ แต่กับประเทศไทยกลายเป็น ประชานิยม ทำลายชาติที่น่ารังเกียจ แต่ไม่ยอมรับรู้ว่า ประชาชนจะใช้จ่ายอย่างไรหากไม่มีรายได้เข้ามา?
อีกประการหนึ่งที่ท่านนายกฯก็รู้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดเม็ดเงินก็ใช่จะเป็นวิธีที่ถูกต้องตลอดไป ดังนั้นท่านทักษิณจึงมีแผนที่จะพัฒนาประเทศให้ยั่งยืน ด้วยการใช้ 4 ปีแรกในการซ่อม และอีก 4 ปี ในการสร้างให้ประเทศเจริญทัดเทียมนานาประเทศ
แต่น่าเสียดายอีกเช่นเคย เราไม่เปิดโอกาสให้ผู้นำที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการซ่อมประเทศ มาสร้างประเทศต่อไปในอีก 4 ปี เพียงเพราะหลงเชื่อกับคำยุยงปลุกปั่นของฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงอำนาจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคนเลวก็ดี ไม่ว่าจะเป็นพวกใช้อำนาจเยี่ยงเผด็จการก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นก็ดี
สุดท้ายในการช่วงชิงอำนาจที่ผ่านมาร่วมสิบปี สิบปีที่ไม่มีท่านทักษิณ ประเทศไทยนอกจากไม่ได้ซ่อมไม่ได้สร้าง ไม่เพียงหยุดความเติบโต แล้วยังตกต่ำไปเสียทุกอย่างในสายตาชาวโลก อย่างนี้แล้วเราได้อะไรเพิ่มขึ้นล่ะครับ นอกจากความขัดแย้งที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีข้อยุติ
สุดท้ายที่จะบอกก็คือ
ผมไม่ได้ศรัทธาท่านทักษิณอย่างไร้สติ
เพราะผมรู้ดีว่า ท่านทักษิณก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง
เพราะผมรู้ดีว่า ท่านทักษิณมีผลงานมากมายที่ดีและก็มีหลายผลงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ
แต่โดยภาพรวมแล้ว ผมก็ยังคงมองว่า ท่านทักษิณมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
แต่โดยภาพรวมแล้ว ผมก็ยังคงมองว่า ท่านทักษิณมีผลงานที่ดีมากกว่าผลงานที่ไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเห็นท่านทักษิณถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยความศรัทธาและรักมั่นในความยุติธรรม ผมจึงอดไม่ได้ที่คอยให้กำลังใจ คอยช่วยแก้ข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงก็แค่นั้นเอง
ไม่ใช่พวกรับจ้างโพส ไม่ใช่ทั้งทีมรับจ้างดังที่หลายคนชอบกล่าวหาผม
และยิ่งถึงวันนี้ วันที่เราไม่สามารถพึ่งพาการส่งออก ไม่สามารถพึ่งพาการท่องเที่ยว และเรายังไม่สามารถพึ่งพาการจับจ่ายของชาวรากหญ้า จนเศรษฐกิจถอดถอยต่ำสุดในอาเซี่ยนแล้วนะครับ แล้วอย่างนี้จะให้ผมเสื่อมคลายความศรัทธาต่อท่านทักษิณได้อย่างไรกันครับ จริงมะ
ทำไมผมจึงศรัทธาท่านนายกฯทักษิณไม่เสื่อมคลาย--------------------ทวดเอง
เป็นการสื่อสารระหว่างนายกฯกับประชาชนโดยตรง เป็นการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็ว
เป็นการรายงานการบริหารประเทศตลอดจนทิศทางของประเทศให้ประชาชนได้รับรู้
เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ ที่รู้จริง ทำจริง ไม่ใช่เพียงแต่รอรับรายงานจากข้าราชการเหมือนในอดีต
เพราะความเชื่อมั่นต่อผู้นำนี่เอง ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าด้วยดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ผมจึงมีความสุขในช่วงนั้นจริงๆ
และผมยังมีโอกาสได้ฟังถึงวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมของท่านทักษิณ นั่นคือ การใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน เพราะท่านทักษิณมองถึงเศรษฐกิจไทยมุ่งหวังรายได้จากภาคการส่งออกกับภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น
ท่านเล็งเห็นถึงปัญหา ถ้าการส่งออกมีปัญหาหรือการท่องเที่ยวไม่ได้เป้า ประเทศก็จะขาดเม็ดเงินเข้ามาในระบบ ดังนั้นท่านทักษิณจึงได้กำเนิดทฤษฎี นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนานไงครับ
แนวทางแรก ก็ยังมุ่งไปที่กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ
แนวทางที่สอง มุ่งเน้นไปในเรื่องกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนระดับรากหญ้า มุ่งไปที่เกษตรกร ช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพราะท่านทักษิณมองว่า ต้นไม้จะแข็งแรง เจริญงอกงามได้ ต้องมีรากคอยส่งอาหารขึ้นไปบำรุง ดังนั้นจึงพยายามสร้างความต้องการของภาคประชาชนต่อสินค้าและบริการ เพื่อช่วยกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคให้จงได้
ท่านทักษิณจึงใช้วิธีเทเงินลงไปสู่ประชาชนไม่ว่าจะเป็นด้วยลักษณะใดก็ตาม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน เพื่อให้เงินหมุนเข้าสู่ระบบ และก็เป็นไปอย่างได้ผล จนนานาประเทศยกย่องให้เป็นนายกฯนักบริหาร และก็มีหลายต่อหลายประเทศนำทฤษฎีนี้ไปใช้
น่าเสียดายที่นโยบายที่ต่างชาตินำไปใช้ แต่กับประเทศไทยกลายเป็น ประชานิยม ทำลายชาติที่น่ารังเกียจ แต่ไม่ยอมรับรู้ว่า ประชาชนจะใช้จ่ายอย่างไรหากไม่มีรายได้เข้ามา?
อีกประการหนึ่งที่ท่านนายกฯก็รู้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดเม็ดเงินก็ใช่จะเป็นวิธีที่ถูกต้องตลอดไป ดังนั้นท่านทักษิณจึงมีแผนที่จะพัฒนาประเทศให้ยั่งยืน ด้วยการใช้ 4 ปีแรกในการซ่อม และอีก 4 ปี ในการสร้างให้ประเทศเจริญทัดเทียมนานาประเทศ
แต่น่าเสียดายอีกเช่นเคย เราไม่เปิดโอกาสให้ผู้นำที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการซ่อมประเทศ มาสร้างประเทศต่อไปในอีก 4 ปี เพียงเพราะหลงเชื่อกับคำยุยงปลุกปั่นของฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงอำนาจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคนเลวก็ดี ไม่ว่าจะเป็นพวกใช้อำนาจเยี่ยงเผด็จการก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นก็ดี
สุดท้ายในการช่วงชิงอำนาจที่ผ่านมาร่วมสิบปี สิบปีที่ไม่มีท่านทักษิณ ประเทศไทยนอกจากไม่ได้ซ่อมไม่ได้สร้าง ไม่เพียงหยุดความเติบโต แล้วยังตกต่ำไปเสียทุกอย่างในสายตาชาวโลก อย่างนี้แล้วเราได้อะไรเพิ่มขึ้นล่ะครับ นอกจากความขัดแย้งที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีข้อยุติ
สุดท้ายที่จะบอกก็คือ
ผมไม่ได้ศรัทธาท่านทักษิณอย่างไร้สติ
เพราะผมรู้ดีว่า ท่านทักษิณก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง
เพราะผมรู้ดีว่า ท่านทักษิณมีผลงานมากมายที่ดีและก็มีหลายผลงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ
แต่โดยภาพรวมแล้ว ผมก็ยังคงมองว่า ท่านทักษิณมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
แต่โดยภาพรวมแล้ว ผมก็ยังคงมองว่า ท่านทักษิณมีผลงานที่ดีมากกว่าผลงานที่ไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเห็นท่านทักษิณถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยความศรัทธาและรักมั่นในความยุติธรรม ผมจึงอดไม่ได้ที่คอยให้กำลังใจ คอยช่วยแก้ข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงก็แค่นั้นเอง
ไม่ใช่พวกรับจ้างโพส ไม่ใช่ทั้งทีมรับจ้างดังที่หลายคนชอบกล่าวหาผม
และยิ่งถึงวันนี้ วันที่เราไม่สามารถพึ่งพาการส่งออก ไม่สามารถพึ่งพาการท่องเที่ยว และเรายังไม่สามารถพึ่งพาการจับจ่ายของชาวรากหญ้า จนเศรษฐกิจถอดถอยต่ำสุดในอาเซี่ยนแล้วนะครับ แล้วอย่างนี้จะให้ผมเสื่อมคลายความศรัทธาต่อท่านทักษิณได้อย่างไรกันครับ จริงมะ