สวัสดีทุกท่านครับ
พอดีตอนนี้ผมนอนไม่หลับเนื่องจากในหัวผมคิดเรื่องที่กังวลใจอย่างมากครับ กระทู้นี้ผมเพียงอยากเล่าเรื่องราวของลูกสาวผมเอง เมื่อประมาณ 1ปี ลูกสาวได้เรียกผมดูบริเวณต้นขาด้านซ้ายเพราะมันเป็นก้อนนูนขึ้นมาประมาณ 2-3 ซม. มีลักษณะแข็ง ผมสันนิฐานเมื่อเห็นครั้งแรกว่าเป็นฝีแน่เลย แล้วถามลูกสาวผมว่าเจ็บไหม เขาก็ตอบว่าเจ็บ พอผมไปรับลูกตอนเลิกเรียนผมก็เลยพาเขาไปโรงพยาบาล พญาไท 3 ต่อ โดยครั้งแรก ไปไม่เจอคุณหมอศัลเด็ก ทางโรงพยาบาลเลยนัดให้ไปหาคุณหมอศัลยกรรมเด็กอีกวัน พอไปวันที่สองได้พบคุณหมอซึ่งคุณหมอได้ดูแล้วก็ยังไม่สามารถมารถว่าเป็นอะไร ลองจับไปมาตามก้อนถามลูกสาวผมก็บอกไม่เจ็บ คุณหมอบอกว่าถ้าเป็นฝีคงร้องเจ็บไปแล้ว จึงให้ลูกผมเข้าไปอัลตราซาวแล้วกลับบ้าน พอวันที่สามคุณหมอได้นัดมาฟังผลปรากฏว่าคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นแค่ก้อนไขมันที่ไม่อันตราย จะผ่าออกก็ได้ หรือจะไม่ผ่าก็ได้ แต่มันจะโตตามรูปร่างของลูกสาวผมไปเรื่อยๆ พอผมฟังอย่างนี้ก็ได้ขอคุณหมอกลับบ้านตัดสินใจว่าจะเอาออกหรือเปล่า จริงๆใจผมอยากให้ผ่าเอาออกเลย แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเจ็บ แถมคุณหมอได้บอกว่ามันไม่อันตราย ก็เลยให้เวลาลูกสาวผมทำใจเพราะลูกสาวผมยังอายุแค่ 8 ปี โดยผมก็จะพูดกับลูกอยู่เรื่อยๆว่าไปผ่าออกนะอยู่ตลอด จนลูกผมเขาทำใจได้แล้ว และเป็นเวลาที่ลูกผมปิดเทอมพอดีเลย
ผมจึงพาลูกสาวไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลธนบุรี 2 เพราะเดินทางสดวกกว่า ขนาดก้อนที่นูนขึ้นมานั้นจากที่พาลูกสาวไปหาหมอครั้งแรก 2-3ซม. ถึงเวลานี้ขนาดมันใหญ่ขึ้นประมาณ 11ซม.ได้ ผมคิดว่าที่มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพราะลูกผมกินเก่งลูกผมเป็นเด็กที่อ้วนมาก 8 ขวบหนัก 60 กิโล ก็คิดว่ามันขยายตามรูปร่างของลูกสาว พอได้พบคุณหมอก็เล่าอาการและการตรวจครั้งก่อนที่โรงพยาบาลพญาไท3 ระหว่างที่ผมเล่าให้คุณหมอฟังคุณหมอก็ให้ลูกสาวขึ้นเตียงแล้วก็จับๆคลำๆก้อนนูนนั้น แล้วคุณหมอก็บอกว่าไม่ใช่ก้อนไขมันอย่างแน่นอน แต่มันเป็นก้อนของเนื้อที่งอกขึ้นมาซึ่งมันก็มีทั้งเนื้อดีและเนื้อร้าย คุณหมอก็ได้บอกขั้นตอนว่าถ้าเนื้อดีจะรักษาง่ายแค่ตัดส่วนที่งอกขึ้นมาก็จบ แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายก็เรื่องใหญ่กว่าแน่นอนเพราะต้องดูว่ามันลามไปที่ไหนบ้างก็ต้องควานมันออกในบริเวณที่กว้างกว่า พอคุณหมอเล่าให้ฟังแล้วจึงนัดให้ผมพาลูกมาเข้าผ่าตัดเพื่อตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย พอผมฟังคำพูดจากคุณหมอผมกังวลใจเล็กๆเพราะเชื่อว่ามันจะไม่ใช่เนื้อร้ายหรอก แต่แอบคิดโทษตัวเองว่าทำไมถึงประมาททำไมถึงเชื่อหมอที่พญาไท3 ทำไมถึงปลอยให้ก่อนมันใหญ่ขึ้นถึงขนาดนี้ ทำไมเราไม่เด็ดขาด รีบพาลูกเข้ารักษาตั้งแต่แรกๆ ทำไมหมอที่พญาไท 3 ถึงบอกแค่เป็นก้อนไขมัน พอกลับมาจากเจอคุณหมอลูกผมก็สงสัยกับเรื่องของเนื้องอกที่เกิดกับเขา เขาอยากรู้เรื่องของ เนื้อดีคืออะไร เนื้อร้ายคืออะไร และ มะเร็งคืออะไร แล้วก็บอกว่าเข้าไม่อยากเป็นมะเร็งเลย ซึ่งผมฟังคำถามแล้วถึงกับจุกเลย
หลังจากที่เข้าผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ คุณหมอก็นัดให้มาฟังผลวันที่ฟังผล (19/3/58) ผมก็ยังคิดว่าผลออกมาต้องไปเป็นอะไรหรอก เมื่อคุณหมอเรียกเข้าไปฟังผล ผมก็รู้สึกแปลกๆ เพราะคุณหมอถามเรื่องทำประกันเอาไว้เยอะไหม สิทธิ์บัตรทองอยู่โรงพยาบาลอะไร มีลูกกี่คน ไม่ยอกบอกผลตรวจซักที ในที่สุดคุณหมอก็บอกให้พยาบาลเช็กชื้อผู้ตรวจชิ้นเนื้อว่าเป็นใคร แล้วคุณหมอก็เล่าว่าผลที่เขาตรวจออกมายังบอกไม่ได้ว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้ายเหมือนผู้ตรวจไม่กล้าที่จะฟันธงว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่อยากให้คุณพ่อและคุณแม่ไปโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์บัตรทองเพื่อขอให้ออกสิทธิ์ส่งตัวน้องไปรักษาต่อที่ศิริราช เพราะคุณหมอบอกว่าต้องไปตรวจเพิ่มที่นั้น และการตรวจชิ้นเนื้องอกของลูกสาวผมจะต้องใช้คุณหมอระดับอาจารย์ใหญ่ของศิริราชมาประชุมเพื่อหาข้อสรุปกันเลย ซึ่งในกรณีลูกสาวผมอาจต้องใช้เงินรักษาเยอะมากประมาณ 6 - 7 หลักเลย คุณหมอพยายามเอาหลักฐานทั้งหมดที่มีทั้งผลตรวจรวมถึงชิ้นเนื้อด้วย คุณหมอพูดปลอบผมว่าเจอช้ายังดีกว่าไม่มา ผมฟังที่คุณหมอพูดแล้วมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย และเริ่มกัลวนมากขึ้นไปอีก หลังกลับมาหาคุณหมอลูกสาวผมเขาก็ถามผมโดยมีที่ท่าแบบร่าเริงเหมือนทุกวันแต่กลับถามคำถามที่ทำให้ผมจุกอีกครั้ง เขาถามผมว่า "ถ้าคนที่พ่อรักมากตายพ่อจะเสียใจไหม" ผมถึงกับตอบไม่ถูกอีกครั้ง เขาไม่รอฟังคำตอบจากผมแต่เขากลับวิ่งไปเล่นของเขาปรกติ ส่วนผมคิดในใจว่าไม่ใช่แค่ผมหรือแฟนเท่านั้นที่คิดมาก แต่ผมคิดว่าลูกผมเขาก็คิดเหมือนกัน แต่เขายังไม่รู้ว่าทุกอย่างมันซีเรียสขนาดไหน
หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นผมก็พาลูกไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะขอใช้สิทธิ์บัตรทองแต่จะให้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ศิริราช พอไปพบคุณหมอเพื่อให้คุณหมอวินิจฉัย ผมเลยเล่าเรื่องราวต่างๆพร้อมยื่นเอกสารทั้งหมดให้คุณหมอดู คุณหมอก็เข้ามาจับก้อนเนื้อก้อนนั้นแล้วบอกว่าหมอลองดูแล้วมันยังไม่กินเข้ากระดูก คุณหมอก็บอกว่างานนี้เรื่องใหญ่ และก็ให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมค่ารักษาไว้เลยอาจจะมีซัก 6 - 7 หลัก และคุณหมอก็ทำเรื่องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราชให้ตามที่ผมต้องการ หลังจากที่ลูกและแฟนผมเดินออกจากห้องตรวจผมก็กำลังจะลุกไป คุณหมอได้เรียกผมไว้แล้วบอกกับผมว่า "พยายามรีบรักษาให้เร็วที่สุด แต่ไม่ต้องกังวลมาก เข้าใจที่หมอบอกนะ เข้าใจนะ" เหมือนคุณหมอกำลังจะบอกอะไรผมบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าฟังดูไม่ดีเลย
ตอนนี้ผมอยากให้ถึงวันที่คุณหมอนัดเร็วๆ ผมกังวลใจนอนไม่หลับไม่ใช่ไม่ง่วงนะครับแต่หลับตาก็จะมีแต่เรื่องนี้มันลอยออกมาให้คิดตลอด เมื่อวานลูกสาวชี้ที่แผลที่ผ่าตัดว่ามีเหมือนน้ำหนองไหลออกมา ผมจึงพาเขาไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆบ้านพอคุณหมอเห็นแผลก็เหมือนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมก็เลยถามคุณหมอที่คลินิคว่าลูกผมต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง คุณหมอบอกผมว่าให้ทำอย่างเดียวสวดมนต์ภาวนา ตั้งแต่ที่ผมพาลูกไปรักษาต้องบอกว่าผมรู้สึกแย่กับเรื่องนี้มาโดยตลอดและก็คิดแต่เรื่องนี้จนผมไม่สามารถทำงานที่ใช้เกี่ยวกับความคิดได้เลย เพราะคิดเรื่องอะไรก็ตามเรื่องนี้ก็จะลอยมาแทนที่เสมอ วันพฤหัสนี้ (26/3/58) เป็นวันที่จะต้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราชผมหวังว่าเรื่องดีๆจะมีให้ได้ยินบ้าง แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังต่อไปครับ
เมื่อลูกสาวมีก้อนเนื้อขึ้นที่ต้นขา
พอดีตอนนี้ผมนอนไม่หลับเนื่องจากในหัวผมคิดเรื่องที่กังวลใจอย่างมากครับ กระทู้นี้ผมเพียงอยากเล่าเรื่องราวของลูกสาวผมเอง เมื่อประมาณ 1ปี ลูกสาวได้เรียกผมดูบริเวณต้นขาด้านซ้ายเพราะมันเป็นก้อนนูนขึ้นมาประมาณ 2-3 ซม. มีลักษณะแข็ง ผมสันนิฐานเมื่อเห็นครั้งแรกว่าเป็นฝีแน่เลย แล้วถามลูกสาวผมว่าเจ็บไหม เขาก็ตอบว่าเจ็บ พอผมไปรับลูกตอนเลิกเรียนผมก็เลยพาเขาไปโรงพยาบาล พญาไท 3 ต่อ โดยครั้งแรก ไปไม่เจอคุณหมอศัลเด็ก ทางโรงพยาบาลเลยนัดให้ไปหาคุณหมอศัลยกรรมเด็กอีกวัน พอไปวันที่สองได้พบคุณหมอซึ่งคุณหมอได้ดูแล้วก็ยังไม่สามารถมารถว่าเป็นอะไร ลองจับไปมาตามก้อนถามลูกสาวผมก็บอกไม่เจ็บ คุณหมอบอกว่าถ้าเป็นฝีคงร้องเจ็บไปแล้ว จึงให้ลูกผมเข้าไปอัลตราซาวแล้วกลับบ้าน พอวันที่สามคุณหมอได้นัดมาฟังผลปรากฏว่าคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นแค่ก้อนไขมันที่ไม่อันตราย จะผ่าออกก็ได้ หรือจะไม่ผ่าก็ได้ แต่มันจะโตตามรูปร่างของลูกสาวผมไปเรื่อยๆ พอผมฟังอย่างนี้ก็ได้ขอคุณหมอกลับบ้านตัดสินใจว่าจะเอาออกหรือเปล่า จริงๆใจผมอยากให้ผ่าเอาออกเลย แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเจ็บ แถมคุณหมอได้บอกว่ามันไม่อันตราย ก็เลยให้เวลาลูกสาวผมทำใจเพราะลูกสาวผมยังอายุแค่ 8 ปี โดยผมก็จะพูดกับลูกอยู่เรื่อยๆว่าไปผ่าออกนะอยู่ตลอด จนลูกผมเขาทำใจได้แล้ว และเป็นเวลาที่ลูกผมปิดเทอมพอดีเลย
ผมจึงพาลูกสาวไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลธนบุรี 2 เพราะเดินทางสดวกกว่า ขนาดก้อนที่นูนขึ้นมานั้นจากที่พาลูกสาวไปหาหมอครั้งแรก 2-3ซม. ถึงเวลานี้ขนาดมันใหญ่ขึ้นประมาณ 11ซม.ได้ ผมคิดว่าที่มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพราะลูกผมกินเก่งลูกผมเป็นเด็กที่อ้วนมาก 8 ขวบหนัก 60 กิโล ก็คิดว่ามันขยายตามรูปร่างของลูกสาว พอได้พบคุณหมอก็เล่าอาการและการตรวจครั้งก่อนที่โรงพยาบาลพญาไท3 ระหว่างที่ผมเล่าให้คุณหมอฟังคุณหมอก็ให้ลูกสาวขึ้นเตียงแล้วก็จับๆคลำๆก้อนนูนนั้น แล้วคุณหมอก็บอกว่าไม่ใช่ก้อนไขมันอย่างแน่นอน แต่มันเป็นก้อนของเนื้อที่งอกขึ้นมาซึ่งมันก็มีทั้งเนื้อดีและเนื้อร้าย คุณหมอก็ได้บอกขั้นตอนว่าถ้าเนื้อดีจะรักษาง่ายแค่ตัดส่วนที่งอกขึ้นมาก็จบ แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายก็เรื่องใหญ่กว่าแน่นอนเพราะต้องดูว่ามันลามไปที่ไหนบ้างก็ต้องควานมันออกในบริเวณที่กว้างกว่า พอคุณหมอเล่าให้ฟังแล้วจึงนัดให้ผมพาลูกมาเข้าผ่าตัดเพื่อตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย พอผมฟังคำพูดจากคุณหมอผมกังวลใจเล็กๆเพราะเชื่อว่ามันจะไม่ใช่เนื้อร้ายหรอก แต่แอบคิดโทษตัวเองว่าทำไมถึงประมาททำไมถึงเชื่อหมอที่พญาไท3 ทำไมถึงปลอยให้ก่อนมันใหญ่ขึ้นถึงขนาดนี้ ทำไมเราไม่เด็ดขาด รีบพาลูกเข้ารักษาตั้งแต่แรกๆ ทำไมหมอที่พญาไท 3 ถึงบอกแค่เป็นก้อนไขมัน พอกลับมาจากเจอคุณหมอลูกผมก็สงสัยกับเรื่องของเนื้องอกที่เกิดกับเขา เขาอยากรู้เรื่องของ เนื้อดีคืออะไร เนื้อร้ายคืออะไร และ มะเร็งคืออะไร แล้วก็บอกว่าเข้าไม่อยากเป็นมะเร็งเลย ซึ่งผมฟังคำถามแล้วถึงกับจุกเลย
หลังจากที่เข้าผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ คุณหมอก็นัดให้มาฟังผลวันที่ฟังผล (19/3/58) ผมก็ยังคิดว่าผลออกมาต้องไปเป็นอะไรหรอก เมื่อคุณหมอเรียกเข้าไปฟังผล ผมก็รู้สึกแปลกๆ เพราะคุณหมอถามเรื่องทำประกันเอาไว้เยอะไหม สิทธิ์บัตรทองอยู่โรงพยาบาลอะไร มีลูกกี่คน ไม่ยอกบอกผลตรวจซักที ในที่สุดคุณหมอก็บอกให้พยาบาลเช็กชื้อผู้ตรวจชิ้นเนื้อว่าเป็นใคร แล้วคุณหมอก็เล่าว่าผลที่เขาตรวจออกมายังบอกไม่ได้ว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้ายเหมือนผู้ตรวจไม่กล้าที่จะฟันธงว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่อยากให้คุณพ่อและคุณแม่ไปโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์บัตรทองเพื่อขอให้ออกสิทธิ์ส่งตัวน้องไปรักษาต่อที่ศิริราช เพราะคุณหมอบอกว่าต้องไปตรวจเพิ่มที่นั้น และการตรวจชิ้นเนื้องอกของลูกสาวผมจะต้องใช้คุณหมอระดับอาจารย์ใหญ่ของศิริราชมาประชุมเพื่อหาข้อสรุปกันเลย ซึ่งในกรณีลูกสาวผมอาจต้องใช้เงินรักษาเยอะมากประมาณ 6 - 7 หลักเลย คุณหมอพยายามเอาหลักฐานทั้งหมดที่มีทั้งผลตรวจรวมถึงชิ้นเนื้อด้วย คุณหมอพูดปลอบผมว่าเจอช้ายังดีกว่าไม่มา ผมฟังที่คุณหมอพูดแล้วมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย และเริ่มกัลวนมากขึ้นไปอีก หลังกลับมาหาคุณหมอลูกสาวผมเขาก็ถามผมโดยมีที่ท่าแบบร่าเริงเหมือนทุกวันแต่กลับถามคำถามที่ทำให้ผมจุกอีกครั้ง เขาถามผมว่า "ถ้าคนที่พ่อรักมากตายพ่อจะเสียใจไหม" ผมถึงกับตอบไม่ถูกอีกครั้ง เขาไม่รอฟังคำตอบจากผมแต่เขากลับวิ่งไปเล่นของเขาปรกติ ส่วนผมคิดในใจว่าไม่ใช่แค่ผมหรือแฟนเท่านั้นที่คิดมาก แต่ผมคิดว่าลูกผมเขาก็คิดเหมือนกัน แต่เขายังไม่รู้ว่าทุกอย่างมันซีเรียสขนาดไหน
หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นผมก็พาลูกไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะขอใช้สิทธิ์บัตรทองแต่จะให้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ศิริราช พอไปพบคุณหมอเพื่อให้คุณหมอวินิจฉัย ผมเลยเล่าเรื่องราวต่างๆพร้อมยื่นเอกสารทั้งหมดให้คุณหมอดู คุณหมอก็เข้ามาจับก้อนเนื้อก้อนนั้นแล้วบอกว่าหมอลองดูแล้วมันยังไม่กินเข้ากระดูก คุณหมอก็บอกว่างานนี้เรื่องใหญ่ และก็ให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมค่ารักษาไว้เลยอาจจะมีซัก 6 - 7 หลัก และคุณหมอก็ทำเรื่องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราชให้ตามที่ผมต้องการ หลังจากที่ลูกและแฟนผมเดินออกจากห้องตรวจผมก็กำลังจะลุกไป คุณหมอได้เรียกผมไว้แล้วบอกกับผมว่า "พยายามรีบรักษาให้เร็วที่สุด แต่ไม่ต้องกังวลมาก เข้าใจที่หมอบอกนะ เข้าใจนะ" เหมือนคุณหมอกำลังจะบอกอะไรผมบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าฟังดูไม่ดีเลย
ตอนนี้ผมอยากให้ถึงวันที่คุณหมอนัดเร็วๆ ผมกังวลใจนอนไม่หลับไม่ใช่ไม่ง่วงนะครับแต่หลับตาก็จะมีแต่เรื่องนี้มันลอยออกมาให้คิดตลอด เมื่อวานลูกสาวชี้ที่แผลที่ผ่าตัดว่ามีเหมือนน้ำหนองไหลออกมา ผมจึงพาเขาไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆบ้านพอคุณหมอเห็นแผลก็เหมือนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมก็เลยถามคุณหมอที่คลินิคว่าลูกผมต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง คุณหมอบอกผมว่าให้ทำอย่างเดียวสวดมนต์ภาวนา ตั้งแต่ที่ผมพาลูกไปรักษาต้องบอกว่าผมรู้สึกแย่กับเรื่องนี้มาโดยตลอดและก็คิดแต่เรื่องนี้จนผมไม่สามารถทำงานที่ใช้เกี่ยวกับความคิดได้เลย เพราะคิดเรื่องอะไรก็ตามเรื่องนี้ก็จะลอยมาแทนที่เสมอ วันพฤหัสนี้ (26/3/58) เป็นวันที่จะต้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราชผมหวังว่าเรื่องดีๆจะมีให้ได้ยินบ้าง แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังต่อไปครับ