ขอแชร์ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองนะคะ เรื่องเกี่ยวกับ ซีสต์ ฝี เพราะเราเป็นบ่อยมาก
อาการ : เป็นตุ่มเล็กๆที่ขึ้นบนผิวหนัง ลักษณะคล้ายสิว มีหัวสิว และบ้างครั้งไม่มี
พอทิ้งไว้สักช่วงก็จะร่วมเป็นไตแข็ง ต่อมาก็จะบวม แดง คัน อักเสบค่ะ
ดูเผินๆเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆนะคะ แต่พอเจอบ่อยๆเข้า จะว่าเล็กคงไม่ใช่ ใหญ่ก็คงไม่เชิง
เพราะมาถึง ณ ปัจจุบันนี้ เราเข้าๆออกๆห้องผ่าตัด เจอการ ฉีด กรีด ผ่า เลาะ กด ควัก คว้าน เย็บ
มาแล้ว 6 ครั้ง อาการแต่ละที่เริ่มจาก
1หน้าอกข้างซ้าย
2เปลือกตาบนข้างขวา
3โหนกแก้มข้างขวา
4ส่วนหลังใกล้รักแร้ขวา
5ในกระพุ้งปากฝั่งซ้าย
ุล่าสุดคือ """" ตามรูปที่แนบมา ณ วันที่ 8/7/56 """"ลำดับที่ 6 คือกลางหลังค่ะ
การรักษา :
ถ้าปล่อยให้อักเสบ หมอก็จะใช้วิธี ผ่าและเจาะ หรือคว้านเอาหนองหรือของเสียออก
ถ้ามีขนาดใหญ่ก็จะกินเนื้อบางส่วนไปด้วย วิธีการแบบนี้จะไม่มีการเย็บแผลนะคะ ต้องรอให้เนื้อที่
คว้านไปงอกเกิดใหม่ขึ้นมาเอง กินเวลาก็เป็นเดือน จะเจ็บมากก็ตอนที่ล้างแผล เพราะต้องยัดผ้าก๊อต
เข้าไปในรูของแผลเพื่อซับหนอง ก่อนที่จะมีเนื้อใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่
ส่วนอาการ"""ตามรูปที่แนบ คือตุ่มแข็งกลางหลัง"""" ยังไม่อักเสบค่ะ จากประสบการณ์อันโชกโชน
ทำให้เราไม่ปล่อยทิ้งไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง มาพบหมอ ยอมรับเลยว่าต้องเปลี่ยนรพ. ไม่ใช่ว่าหมอคนเก่าไม่ดีนะคะ
แต่เกรงใจ อาย กลัวเบื่อ เพราะไปหาบ่อย และคิดว่า การเปลี่ยนหมออาจจะได้รับคำแนะนำที่แตกต่าง ชัดเจน และเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ
พอพบคุณหมอก็บอกเลยว่า ต้องผ่าออก เราไม่รอช้าค่ะ ให้คุณหมอจัดการเลย ตอนเข้าห้องผ่าตัด ได้อารมณ์เหมือน
ไปทำสปาแต่เป็นในห้องผ่าตัด ใส่เสื้อคลุม นอนคว่ำ มีเสียงเพลงบรรเลงเป็นเสียงคลื่นหัวใจ แขนถูกบีบนวดเป็นจังหวะด้วยเครื่องวัดความดัน
มีผู้ชาย(ศัลยแพทย์) และผู้ช่วย มาทำหน้าที่ กดๆ ลูบๆ คลำๆ
คราวนี้ หมอฉีดยาชา2เข็ม ปวดมาก และใช้วิธีกรีดเปิดหนัง
และเลาะเอาก้อนไขมันใต้ผิวหนังออก ก่อนเย็บปิด เมื่อเสร็จขั้นตอนก่อนออกจากห้องหมอก็มี ก้อนไขมันขนาดเท่ากันกับ
ลูกองุ่นเมืองนอก มาให้ดู และเก็บกลับบ้านเป็นระลึกอีกด้วย !!!!
เราเอาก้อนเนื้อกลับมาบ้าน อวดลูก และสามี ก่อนที่จะฝังลงดินหลังบ้าน ใต้ต้นลีลาวดี
ให้กลืนหายไปกับธาตุดิน เฉกเช่น ณ วันหนึ่งในอนาคตที่เราต้องฝังร่างที่หมดสิ้นลมหายใจ
สาเหตุการเกิด : ไปหาหมอทุกครั้งก็จะถาม และหาข้อมูลอ่าน อาการของซีสต์ และฝี เกิดจาก กลุ่ม ก้อนเซลล์ไขมัน
ที่เกิดขึ้นตามใต้ผิวหนัง แต่ไม่มีทางออก ก็จะเกิดการดันตัวเอง บางคนก็สามารถรักษาเองได้โดยการหลุดตัวเป็นหัวฝี
ทะลุออกจากผิวหนัง แต่กรณีของเรามันไม่สามารถเป็นแบบนั้น ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง ไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่มีสาเหตุจากการ
รับประทานอาหารผิดสำแดงแต่อย่างใด
หมอ และสามีที่บ้าน พูดเป็นทำนองเดียวกันว่า
" มันคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เขาเกิดจากเลือด เนื้อ และเชลล์ต่างในตัวเรา เพราะฉนั้น ต้องมีความสุขกับมัน
ต้องปรับตัวเอง ไม่ได้มีการการันตีว่าจะเป็นแล้วหาย เกิดและรักษาตรงนี้เสร็จ ก็ไม่แปลกที่จะไปมีที่จุดอื่นๆเพิ่มเติมอีกได้"
ได้ฟังแบบนี้แล้วก็เหมือนเป็นกำลังใจ เข้าใจ น้อมรับ
" ว่าเราต้องอยู่กับมันให้ได้" จริงๆนะ
เรื่องเป็นเหมือนจะชิลล์ๆ จะด้วยซ้ำไป เพราะครั้งล่าสุดก็ไปหาหมอผ่าตัดก็ขับรถไป-กลับเอง ไม่ต้องให้สามีพาไป
ผ่าเสร็จก็เดินช้อปปิ้งต่อ กลับมาบ้านก็ใช้ชีวิตปกติ ปวดแผลก็กินยา เจ็บก็หัวเราะแบบ ฮาๆ ขำๆ โอดโอยบ้างก็ถือว่าเป็นรสชาติของชีวิต
อาบน้ำทีละครึ่งตัวก็บ่อยครั้ง เพราะกลัวแผลที่ยังไม่หายจะเปียกน้ำ
พอรักษาตรงไหนเสร็จ หายดี ก็ใช้ชีวิตในช่วงนั้นให้คุ้มค่า
พอเป็นตรงจุดไหนใหม่ก็หมั่นสังเกตุอาการ เคลียร์ตัวเองให้ว่าง เพื่อเตรียมรับการรักษาในครั้งต่อไป
บอกกลับตัวเองว่า
" ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วต่อจากนี้ เธอเกิดได้ ฉันก็รักษาได้"
ที่บรรจงเขียนเก็บไว้เป็นบันทึกในครั้งนี้ เผื่อว่า ใครที่มีอาการเดียวกันมาอ่าน จะได้ลองสังเกตุตัวเอง
และเข้าใจซีสต์ มากขึ้น อย่าคิดชะล่าใจว่าเป็นเพียงแค่สิว เดี๋ยวก็หายนะคะ ถ้ามีอาการข้างเคียงกับข้างต้น
ทางออกที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์ เถอค่ะ เอาใจช่วยเราด้วยนะคะ
"ซีสต์ อีกส่วนหนึ่งในกายของฉัน"ตลอดไป ประสบการณ์จริง อยากให้อ่านค่ะ
อาการ : เป็นตุ่มเล็กๆที่ขึ้นบนผิวหนัง ลักษณะคล้ายสิว มีหัวสิว และบ้างครั้งไม่มี
พอทิ้งไว้สักช่วงก็จะร่วมเป็นไตแข็ง ต่อมาก็จะบวม แดง คัน อักเสบค่ะ
ดูเผินๆเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆนะคะ แต่พอเจอบ่อยๆเข้า จะว่าเล็กคงไม่ใช่ ใหญ่ก็คงไม่เชิง
เพราะมาถึง ณ ปัจจุบันนี้ เราเข้าๆออกๆห้องผ่าตัด เจอการ ฉีด กรีด ผ่า เลาะ กด ควัก คว้าน เย็บ
มาแล้ว 6 ครั้ง อาการแต่ละที่เริ่มจาก
1หน้าอกข้างซ้าย
2เปลือกตาบนข้างขวา
3โหนกแก้มข้างขวา
4ส่วนหลังใกล้รักแร้ขวา
5ในกระพุ้งปากฝั่งซ้าย
ุล่าสุดคือ """" ตามรูปที่แนบมา ณ วันที่ 8/7/56 """"ลำดับที่ 6 คือกลางหลังค่ะ
การรักษา :
ถ้าปล่อยให้อักเสบ หมอก็จะใช้วิธี ผ่าและเจาะ หรือคว้านเอาหนองหรือของเสียออก
ถ้ามีขนาดใหญ่ก็จะกินเนื้อบางส่วนไปด้วย วิธีการแบบนี้จะไม่มีการเย็บแผลนะคะ ต้องรอให้เนื้อที่
คว้านไปงอกเกิดใหม่ขึ้นมาเอง กินเวลาก็เป็นเดือน จะเจ็บมากก็ตอนที่ล้างแผล เพราะต้องยัดผ้าก๊อต
เข้าไปในรูของแผลเพื่อซับหนอง ก่อนที่จะมีเนื้อใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่
ส่วนอาการ"""ตามรูปที่แนบ คือตุ่มแข็งกลางหลัง"""" ยังไม่อักเสบค่ะ จากประสบการณ์อันโชกโชน
ทำให้เราไม่ปล่อยทิ้งไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง มาพบหมอ ยอมรับเลยว่าต้องเปลี่ยนรพ. ไม่ใช่ว่าหมอคนเก่าไม่ดีนะคะ
แต่เกรงใจ อาย กลัวเบื่อ เพราะไปหาบ่อย และคิดว่า การเปลี่ยนหมออาจจะได้รับคำแนะนำที่แตกต่าง ชัดเจน และเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ
พอพบคุณหมอก็บอกเลยว่า ต้องผ่าออก เราไม่รอช้าค่ะ ให้คุณหมอจัดการเลย ตอนเข้าห้องผ่าตัด ได้อารมณ์เหมือน
ไปทำสปาแต่เป็นในห้องผ่าตัด ใส่เสื้อคลุม นอนคว่ำ มีเสียงเพลงบรรเลงเป็นเสียงคลื่นหัวใจ แขนถูกบีบนวดเป็นจังหวะด้วยเครื่องวัดความดัน
มีผู้ชาย(ศัลยแพทย์) และผู้ช่วย มาทำหน้าที่ กดๆ ลูบๆ คลำๆ คราวนี้ หมอฉีดยาชา2เข็ม ปวดมาก และใช้วิธีกรีดเปิดหนัง
และเลาะเอาก้อนไขมันใต้ผิวหนังออก ก่อนเย็บปิด เมื่อเสร็จขั้นตอนก่อนออกจากห้องหมอก็มี ก้อนไขมันขนาดเท่ากันกับ
ลูกองุ่นเมืองนอก มาให้ดู และเก็บกลับบ้านเป็นระลึกอีกด้วย !!!!
เราเอาก้อนเนื้อกลับมาบ้าน อวดลูก และสามี ก่อนที่จะฝังลงดินหลังบ้าน ใต้ต้นลีลาวดี
ให้กลืนหายไปกับธาตุดิน เฉกเช่น ณ วันหนึ่งในอนาคตที่เราต้องฝังร่างที่หมดสิ้นลมหายใจ
สาเหตุการเกิด : ไปหาหมอทุกครั้งก็จะถาม และหาข้อมูลอ่าน อาการของซีสต์ และฝี เกิดจาก กลุ่ม ก้อนเซลล์ไขมัน
ที่เกิดขึ้นตามใต้ผิวหนัง แต่ไม่มีทางออก ก็จะเกิดการดันตัวเอง บางคนก็สามารถรักษาเองได้โดยการหลุดตัวเป็นหัวฝี
ทะลุออกจากผิวหนัง แต่กรณีของเรามันไม่สามารถเป็นแบบนั้น ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง ไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่มีสาเหตุจากการ
รับประทานอาหารผิดสำแดงแต่อย่างใด
หมอ และสามีที่บ้าน พูดเป็นทำนองเดียวกันว่า
" มันคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เขาเกิดจากเลือด เนื้อ และเชลล์ต่างในตัวเรา เพราะฉนั้น ต้องมีความสุขกับมัน
ต้องปรับตัวเอง ไม่ได้มีการการันตีว่าจะเป็นแล้วหาย เกิดและรักษาตรงนี้เสร็จ ก็ไม่แปลกที่จะไปมีที่จุดอื่นๆเพิ่มเติมอีกได้"
ได้ฟังแบบนี้แล้วก็เหมือนเป็นกำลังใจ เข้าใจ น้อมรับ" ว่าเราต้องอยู่กับมันให้ได้" จริงๆนะ
เรื่องเป็นเหมือนจะชิลล์ๆ จะด้วยซ้ำไป เพราะครั้งล่าสุดก็ไปหาหมอผ่าตัดก็ขับรถไป-กลับเอง ไม่ต้องให้สามีพาไป
ผ่าเสร็จก็เดินช้อปปิ้งต่อ กลับมาบ้านก็ใช้ชีวิตปกติ ปวดแผลก็กินยา เจ็บก็หัวเราะแบบ ฮาๆ ขำๆ โอดโอยบ้างก็ถือว่าเป็นรสชาติของชีวิต
อาบน้ำทีละครึ่งตัวก็บ่อยครั้ง เพราะกลัวแผลที่ยังไม่หายจะเปียกน้ำ พอรักษาตรงไหนเสร็จ หายดี ก็ใช้ชีวิตในช่วงนั้นให้คุ้มค่า
พอเป็นตรงจุดไหนใหม่ก็หมั่นสังเกตุอาการ เคลียร์ตัวเองให้ว่าง เพื่อเตรียมรับการรักษาในครั้งต่อไป
บอกกลับตัวเองว่า " ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วต่อจากนี้ เธอเกิดได้ ฉันก็รักษาได้"
ที่บรรจงเขียนเก็บไว้เป็นบันทึกในครั้งนี้ เผื่อว่า ใครที่มีอาการเดียวกันมาอ่าน จะได้ลองสังเกตุตัวเอง
และเข้าใจซีสต์ มากขึ้น อย่าคิดชะล่าใจว่าเป็นเพียงแค่สิว เดี๋ยวก็หายนะคะ ถ้ามีอาการข้างเคียงกับข้างต้น
ทางออกที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์ เถอค่ะ เอาใจช่วยเราด้วยนะคะ