ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า ธรรมะหรือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในตำรา ดังนั้นชาวพุทธจึงได้ยึดถือตำรากันมาก ถ้าพบว่าใครสอนผิดจากตำรา ก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้สนใจศึกษาตำรานั้นอย่างจริงจังเลย
แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ในตำรานั่นเองก็มีหลักการสำหรับเอาไว้ตรวจสอบ ว่าข้อความในตำราทั้งหลายนั้น เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่? (ที่เรียกว่าหลักกาลามสูตร ที่เป็นหลักในการสร้างความเชื่อที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า) แต่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้สนใจที่จะนำเอาหลักการนี้มาศึกษาและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง คงเอาแต่เชื่อตามตำราในส่วนที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีความจริงมารองรับกันอย่างหักปักหัวปำ จนถูกคนมีปัญญาเขามองว่ามีแต่ศรัทธาที่งมงายกันไปหมด
ถ้าเราจะได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ากันอย่างถูกต้องแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน โดยใช้ปัญญา (ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่ามันไม่มีตัวเราอยู่จริง) ศีล (ความปกติของจิต) และสมาธิ (จิตที่บริสุทธิ์ ตั้งมั่น อ่อนโยน) มาทำงานร่วมกัน ซึ่งขั้นต้นเราก็ต้องอ่านหรือฟังมาก่อนจนจำได้ แล้วจึงนำสิ่งที่จำได้นั้นมาคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุด้วยผล จนเกิดเป็นความเข้าใจอย่างแจ่มชัด เมื่อเข้าใจแล้วก็นำความเข้าใจนั้นมาปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ว่าความเข้าใจนั้นถูกต้องหรือไม่? ถ้าปฏิบัติแล้วพบว่าไม่เกิดผลจริง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเกิดผลจริงจึงค่อยปลงใจเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งการปฏิบัตินี้ก็คือการเพ่งพิจารณาดูร่างกายและจิตใจของเราเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ว่ามันไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนของเราจริง จนจิตหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีทุกข์ก็จะทำให้นิพพานหรือความสงบเย็นก็ปรากฏ เมื่อนิพพานปรากฏก็แสดงว่าการปฏิบัติของเรานี้ถูกต้องแล้ว และเป็นการพิสูจน์ว่านี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน หรือดับทุกข์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ โดยสอนให้เราศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง ดังนั้นจึงเท่ากับว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้อยู่ที่จิตใจของเราทุกคน ไม่ได้อยู่ในตำราอย่างที่คนที่ไม่เข้าใจเชื่อกันอยู่ โดยตำรานั้นเป็นแค่สิ่งที่ใช้ในการบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าก็สอนว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุว่ามีตำราอ้างอิง เพราะตำรานั้นอาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับได้ ถ้าบังเอิญตำรานั้นถูกแก้ไขให้ผิดเพี้ยนมาก่อน แล้วเราเชื่อตำรานั้นเข้า ก็จะทำให้เราได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยนมาปฏิบัติทันที ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ โดยไม่อาศัยเชื่อจากใครหรือจากตำราใดๆ และไม่มีทางที่จะได้คำสอนที่ผิดเพี้ยนอีกด้วย
ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง เรื่องธรรมะอยู่ที่ไหน?
แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ในตำรานั่นเองก็มีหลักการสำหรับเอาไว้ตรวจสอบ ว่าข้อความในตำราทั้งหลายนั้น เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่? (ที่เรียกว่าหลักกาลามสูตร ที่เป็นหลักในการสร้างความเชื่อที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า) แต่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้สนใจที่จะนำเอาหลักการนี้มาศึกษาและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง คงเอาแต่เชื่อตามตำราในส่วนที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีความจริงมารองรับกันอย่างหักปักหัวปำ จนถูกคนมีปัญญาเขามองว่ามีแต่ศรัทธาที่งมงายกันไปหมด
ถ้าเราจะได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ากันอย่างถูกต้องแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน โดยใช้ปัญญา (ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่ามันไม่มีตัวเราอยู่จริง) ศีล (ความปกติของจิต) และสมาธิ (จิตที่บริสุทธิ์ ตั้งมั่น อ่อนโยน) มาทำงานร่วมกัน ซึ่งขั้นต้นเราก็ต้องอ่านหรือฟังมาก่อนจนจำได้ แล้วจึงนำสิ่งที่จำได้นั้นมาคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุด้วยผล จนเกิดเป็นความเข้าใจอย่างแจ่มชัด เมื่อเข้าใจแล้วก็นำความเข้าใจนั้นมาปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ว่าความเข้าใจนั้นถูกต้องหรือไม่? ถ้าปฏิบัติแล้วพบว่าไม่เกิดผลจริง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเกิดผลจริงจึงค่อยปลงใจเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งการปฏิบัตินี้ก็คือการเพ่งพิจารณาดูร่างกายและจิตใจของเราเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ว่ามันไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนของเราจริง จนจิตหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีทุกข์ก็จะทำให้นิพพานหรือความสงบเย็นก็ปรากฏ เมื่อนิพพานปรากฏก็แสดงว่าการปฏิบัติของเรานี้ถูกต้องแล้ว และเป็นการพิสูจน์ว่านี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน หรือดับทุกข์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ โดยสอนให้เราศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง ดังนั้นจึงเท่ากับว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้อยู่ที่จิตใจของเราทุกคน ไม่ได้อยู่ในตำราอย่างที่คนที่ไม่เข้าใจเชื่อกันอยู่ โดยตำรานั้นเป็นแค่สิ่งที่ใช้ในการบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าก็สอนว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุว่ามีตำราอ้างอิง เพราะตำรานั้นอาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับได้ ถ้าบังเอิญตำรานั้นถูกแก้ไขให้ผิดเพี้ยนมาก่อน แล้วเราเชื่อตำรานั้นเข้า ก็จะทำให้เราได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยนมาปฏิบัติทันที ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ โดยไม่อาศัยเชื่อจากใครหรือจากตำราใดๆ และไม่มีทางที่จะได้คำสอนที่ผิดเพี้ยนอีกด้วย