http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000032695
ศาลสั่งจำคุกคนละ 50 ปี 4 โจ๋ชายแดนใต้ลอบวางระเบิดในถังขยะหน้าร้านทำผมออกัส ซอยรามคำแหง 43/1 เมื่อปี 56 ชี้พยานหลักฐานโจทก์แน่นหนา
ที่ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.15 น. วันนี้ (20 มี.ค.) ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีลอบวางระเบิด หมายเลขดำ อ.3723/2556 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัฟฟาฮัม สะอะ อายุ 26 ปี ชาว จ.ปัตตานี และนายอิดริส สะตาปอ อายุ 26 ปี ชาว จ.นราธิวาส นายคัมคีร์ ลาเต๊ะ ชาว จ.ปัตตานี นายอิลรอเฮ็ง แวแม ชาว จ.ปัตตานี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล
คดีนี้โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสี่ ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่องแล้วนำไปวางไว้บริเวณจุดทิ้งขยะ หน้าร้านออกัส รามคำแหง 43/1 จนระเบิดขึ้นทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 402,000 บาท หลังเกิดเหตุทั้งหมดพากันหลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและได้จับกุมจำเลยดำเนินคดีตามกฎหมาย เกิดเหตุที่หน้าร้านทำผมออกัส ปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว โจทก์มีพนักงานสอบสวนหลายปากเป็นพยานเบิกความว่า จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ พบจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ได้เดินย้อนไปมาบริเวณจุดเกิดเหตุโดยจำเลยที่ 3 สวมหมวกแก๊ป ผ้าปิดปาก อำพรางใบหน้า เดินถือถุงหิ้วไปที่จุดเกิดเหตุ และหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือของจำเลย รวมทั้งเมื่อได้ประสานงานจากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดภาคใต้ก็พบความเชื่อมโยงการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างจำเลยทั้งสี่ในวันเกิดเหตุและก่อนเกิดเหตุ ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุและยังให้การสอดคล้องกับภาพในกล้องวงจรปิด
นอกจากนี้ ในชั้นสอบสวนพวกจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้เดินทางโดยรถไฟจากจังหวัดยะลามาลงที่สถานีหัวลำโพง โดยนำสารระเบิดบรรจุลงในกระป๋องแป้งมาด้วย โดยมาพักอาศัยอยู่ภายในบ้านพักซอยรามคำแหง 53 ต่อมาวันที่ 25 พ.ค. 2556 จำเลยได้ไปซื้อ ตะปู ท่อน้ำ สีโป๊ว แอลกอฮอล์ และนาฬิกาตั้งเวลาซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบระเบิด ที่ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าย่านรามคำแหง หลังจากวางระเบิดในวันที่เกิดเหตุแล้วจำเลยทั้งสี่คนได้หลบหนีโดยนั่งรถไฟกลับไปที่จังหวัดยะลา
จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาและบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน แม้จะเป็นเพียงคำบอกเล่า แต่ก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับสาระสำคัญเรื่องการประกอบระเบิด ที่จำเลย 3 เป็นผู้ประกอบระเบิด โดยมีจำเลยที่ 2 เชื่อมแผงจร จำเลยที่ 1 และสอบจัดหาอุปกรณ์ประกอบระเบิด โดยจำเลยทั้งสี่ให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด หากจำเลยทั้งสองไม่ได้เปให้การไว้จริงก็ยากที่พยานโจทก์จะบันทึกคำให้การขึ้นมาเอง นอกจากนี้ก็ยังสอดคล้องกับภาพจากกล้องวงจรปิด หลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ และหลักฐานที่พบในห้องพักซึ่งพวกจำเลยใช้ประกอบระเบิด ดังนั้นการที่จำเลยสี่นำระเบิดแสวงเครื่องที่มีความรุนแรงระยะทำลายรัศมี 10-15 เมตร ไปวางในบริเวณหน้าม.รามคำแหง ซึ่งเป็นสถานที่มีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 224, 289, 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 55 มาตรา 78 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และ 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ฐานร่วมกันพยามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต, ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครอง ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต โดยให้ปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 90 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านฯ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นฯ และจำคุกอีกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานกระทำให้เกิดระเบิดฯ และปรับคนละ 60 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมืองฯ แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้วให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และให้ริบของกลาง รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ร้านค้าและหน่วยงานรัฐที่ได้รับความเสียหายด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสี่คนมีใบหน้าเรียบเฉย และมีญาติจำนวนหลายรายมาเยี่ยมให้กำลังใจ หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะได้นำตัวจำเลยทั้งสี่ไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป
จุดจบโจรใต้ มือวางระเบิดหน้า ม.รามคำแหง
ศาลสั่งจำคุกคนละ 50 ปี 4 โจ๋ชายแดนใต้ลอบวางระเบิดในถังขยะหน้าร้านทำผมออกัส ซอยรามคำแหง 43/1 เมื่อปี 56 ชี้พยานหลักฐานโจทก์แน่นหนา
ที่ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.15 น. วันนี้ (20 มี.ค.) ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีลอบวางระเบิด หมายเลขดำ อ.3723/2556 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัฟฟาฮัม สะอะ อายุ 26 ปี ชาว จ.ปัตตานี และนายอิดริส สะตาปอ อายุ 26 ปี ชาว จ.นราธิวาส นายคัมคีร์ ลาเต๊ะ ชาว จ.ปัตตานี นายอิลรอเฮ็ง แวแม ชาว จ.ปัตตานี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล
คดีนี้โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสี่ ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่องแล้วนำไปวางไว้บริเวณจุดทิ้งขยะ หน้าร้านออกัส รามคำแหง 43/1 จนระเบิดขึ้นทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 402,000 บาท หลังเกิดเหตุทั้งหมดพากันหลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและได้จับกุมจำเลยดำเนินคดีตามกฎหมาย เกิดเหตุที่หน้าร้านทำผมออกัส ปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว โจทก์มีพนักงานสอบสวนหลายปากเป็นพยานเบิกความว่า จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ พบจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ได้เดินย้อนไปมาบริเวณจุดเกิดเหตุโดยจำเลยที่ 3 สวมหมวกแก๊ป ผ้าปิดปาก อำพรางใบหน้า เดินถือถุงหิ้วไปที่จุดเกิดเหตุ และหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือของจำเลย รวมทั้งเมื่อได้ประสานงานจากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดภาคใต้ก็พบความเชื่อมโยงการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างจำเลยทั้งสี่ในวันเกิดเหตุและก่อนเกิดเหตุ ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุและยังให้การสอดคล้องกับภาพในกล้องวงจรปิด
นอกจากนี้ ในชั้นสอบสวนพวกจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้เดินทางโดยรถไฟจากจังหวัดยะลามาลงที่สถานีหัวลำโพง โดยนำสารระเบิดบรรจุลงในกระป๋องแป้งมาด้วย โดยมาพักอาศัยอยู่ภายในบ้านพักซอยรามคำแหง 53 ต่อมาวันที่ 25 พ.ค. 2556 จำเลยได้ไปซื้อ ตะปู ท่อน้ำ สีโป๊ว แอลกอฮอล์ และนาฬิกาตั้งเวลาซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบระเบิด ที่ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าย่านรามคำแหง หลังจากวางระเบิดในวันที่เกิดเหตุแล้วจำเลยทั้งสี่คนได้หลบหนีโดยนั่งรถไฟกลับไปที่จังหวัดยะลา
จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาและบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน แม้จะเป็นเพียงคำบอกเล่า แต่ก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับสาระสำคัญเรื่องการประกอบระเบิด ที่จำเลย 3 เป็นผู้ประกอบระเบิด โดยมีจำเลยที่ 2 เชื่อมแผงจร จำเลยที่ 1 และสอบจัดหาอุปกรณ์ประกอบระเบิด โดยจำเลยทั้งสี่ให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด หากจำเลยทั้งสองไม่ได้เปให้การไว้จริงก็ยากที่พยานโจทก์จะบันทึกคำให้การขึ้นมาเอง นอกจากนี้ก็ยังสอดคล้องกับภาพจากกล้องวงจรปิด หลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ และหลักฐานที่พบในห้องพักซึ่งพวกจำเลยใช้ประกอบระเบิด ดังนั้นการที่จำเลยสี่นำระเบิดแสวงเครื่องที่มีความรุนแรงระยะทำลายรัศมี 10-15 เมตร ไปวางในบริเวณหน้าม.รามคำแหง ซึ่งเป็นสถานที่มีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 224, 289, 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 55 มาตรา 78 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และ 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ฐานร่วมกันพยามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต, ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครอง ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต โดยให้ปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 90 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านฯ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นฯ และจำคุกอีกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานกระทำให้เกิดระเบิดฯ และปรับคนละ 60 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมืองฯ แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้วให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และให้ริบของกลาง รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ร้านค้าและหน่วยงานรัฐที่ได้รับความเสียหายด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสี่คนมีใบหน้าเรียบเฉย และมีญาติจำนวนหลายรายมาเยี่ยมให้กำลังใจ หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะได้นำตัวจำเลยทั้งสี่ไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป