ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 41
http://ppantip.com/topic/33358814
“แล้วทำไมเราดำน้ำจนหมดลมหายใจที่กลั้นไว้ยังไม่โผล่อีกทางล่ะครับ” โจตั้งคำถาม
“คำตอบง่ายๆคือยังไม่ถึงเวลาจะได้ออกไป ใช่มั้ยครับเหมียว” พีหันไปพูดกับหญิงสาว
“ใช่ค่ะ ตอบอย่างนั้นจะได้ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมองมากนัก” เหมียวพูด
“ถึงตอนนี้ทำได้อย่างเดียวคือเก็บของ อธิษฐานจิต แล้วดำน้ำลงไป”ท่านลุงพูด
“ภาวนาว่าดำลงไปแล้วได้โผล่ที่ผิวน้ำอีกด้านเลยแล้วกันนะ” โจพูด
“ลุงว่าไม่น่าจะง่ายแบบนั้นนะ” ท่านลุงพูด
“เราต้องทำยังไงอีกครับคุณลุง” พีถาม
“เหมียว ว่ามาซิลูก” ลุงไกรให้เหมียวออกความเห็น
“หนูก็ภาวนาให้ง่ายอย่างที่พี่โจพูดนะคะ” เหมียวพูด
“แต่หนูก็เห็นด้วยกับคุณลุงว่าอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น” เธอพูดต่อ
“เก็บของ ดำน้ำลงไป ดำลงไปเรื่อยๆด้วยความเชื่อมั่นด้วยศรัทธา”
“ถ้ายังไม่โผล่ขึ้นผิวน้ำ ก็ไปให้ลมหายใจขาดไปเลย แล้วจะได้ขึ้นจากผิวน้ำแน่นอน” เหมียวพูดจบ
ทั้งหกคนมองสบตาให้เข้าใจตามนั้นด้วยกัน พวกเขาจับมือกันอีกครั้งเพื่อเรียกกำลังใจ
“ไปพวกเรา เก็บของให้ดี เตรียมลงน้ำ” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
ข้าวของถูกเก็บลงเป้หลังปิดฝากระเป๋าทุกช่องอย่างเรียบร้อย อาวุธปืนทุกกระบอกถูกถอดกระสุนออกเพื่อเก็บแยกไว้ต่างหาก ครอบครัวทั้งหกออกเดินสำรวจรอบถ้ำอีกครั้งเพื่อเก็บเศษสิ่งของทุกชิ้นที่มาจากน้ำมือมนุษย์มิให้หลงเหลืออยู่ในถ้ำทิพย์อันถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แปดเปื้อน จากนั้นจึงแบกเป้หลังขึ้นรัดลำตัวด้วยสายรัดจนแน่ใจว่ามั่นคง
พีใช้เชือกเล็กๆพันด้ามดาบทั้งสองเล่มผูกติดกับฝักไว้แน่นหนากันไม่ให้แยกออกจากกันเมื่อดำอยู่ในน้ำ จากนั้นจึงสะพายไขว้ไว้ด้านหลังผูกสายสะพายไว้ที่แผ่นอกจนแน่ใจตามด้วยเป้หลังขึ้นทับรัดกับลำตัวอีกครั้ง
ท่านพ่อไกรศักดิ์ สร้อยแก้วและเหมียวช่วยกันนำถุงพลาสติกที่ติดมาด้วยบรรจงห่อหุ้มผ้าห่อกระดูกของลอยาจนมิดชิดแล้วติดด้วยเทปใสที่มีติดตัวมาจนแน่ใจว่าจะเปียกน้ำให้น้อยที่สุดแล้วจึงใส่ลงในเป้หลัง
“เจ้าไปกับพี่กับลูกนะลอยา” ท่านไกรศักดิ์วางฝ่ามือบนห่อกระดูกหลับตาลงบอกกล่าว
บัดนี้ พวกเขาได้มายืนรวมตัวกันอีกครั้งริมแอ่งน้ำกลางถ้ำทิพย์เพื่อตั้งจิตเดินทางต่อไป ท่านไกรศักดิ์มองส่งยิ้มไปให้ครอบครัวทุกคน
“มาพวกเรา คุกเข่าลงพนมมือ” เขาพูดแล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ลูกหลานที่เหลือจึงนั่งลงตาม
“ตั้งจิตให้ดีนะ เราจะบอกกล่าว” ท่านไกรศักดิ์พูดแล้วพนมมือไหว้หลับตาลงอธิษฐานบอกกล่าว
“เหล่าข้าพระพุทธเจ้า ขอตั้งจิตสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์”
“มหาเทพฯ มหาเทวีฯ ปุรุษะโคตะระยี่สิบโศลก แม่พระคงคา แม่พระธรณี องค์พญายมราช”
“การณ์อันเหล่าข้าพระพุทธเจ้าขอเดินไปยังวะสะธาราทิพย์สถาน”
“เพื่อชดใช้เพื่อขอขมานั้น บัดนี้เหล่าข้าพระพุทธเจ้าได้มาสุดทางของมนุษย์”
“เบื้องหน้านี้คือแอ่งน้ำทิพย์อันเป็นประตูข้ามสู่ภพอื่น”
“เหล่าข้าพระพุทธเจ้าขอตั้งจิตมั่นคงในความเชื่อและความศรัทธา”
“ขอพระกรุณาธิคุณเมตตาอนุญาตให้เหล่าข้าพระพุทธเจ้า”
“ผ่านประตูทิพย์นี้ไปได้ด้วยเถิด” ท่านไกรศักดิ์อธิษฐานจิตจบลง
ครอบครัวหกชีวิตมองสบตากันอีกครั้ง ความประหวั่นพรั่นพรึงเริ่มผุดขึ้นมาในความรู้สึก พวกเขามิได้ครั่นคร้ามต่อความตาย มิได้ครั่นคร้ามต่อสิ่งใดก็ตามที่จะไปพบเจอข้างหน้า แต่สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือเมื่อผ่านประตูนี้ไปแล้วจะยังได้อยู่เห็นหน้ากันครบทั้งหกชีวิตอีกหรือไม่
“ถ้าผ่านประตูนี้ไปแล้วคุณไม่พบเหมียว” เหมียวพูดขึ้นขณะก้มหน้ามองผิวน้ำ
“ขอให้คุณรู้ไว้ว่า เหมียวรักคุณมากนะ” หญิงสาวเงยขึ้นสบตาโจด้วยน้ำตาที่รินออกมา
โจสวมกอดหญิงสาวที่เขารักไว้แน่นทันที
“อย่าพูดอย่างนั้น” ชายหนุ่มซบหน้าบนเรือนผมของเธอหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน
“เราจะรอดไปอยู่ด้วยกันจนวันตายนะ ที่รักของผม” เขาบอกความเชื่อให้เธอรู้
คำพูดของเหมียวกับโจนั้นมิได้เกิดผลเฉพาะเธอกับเขาเท่านั้น แต่เป็นคำพูดที่เป็นตัวแทนความรู้สึกที่ทุกคนมีเหมือนกันอยู่แล้ว พีดึงสร้อยแก้วเข้ามากอดไว้ ท่านไกรศักดิ์กับพรานโละก็เข้ามากอดคู่รักทั้งสองคู่พร้อมกันไปด้วย
“ไปกันเถอะ” พีพูดเมื่อเขาปล่อยสร้อยแก้วออกจากอ้อมกอด
ทัพหน้ากลับมาทำหน้าที่ของเขาอีกครั้ง กวาดสายตามุ่งมั่นไปยังทุกคน มองสำรวจข้าวของที่บรรทุกอยู่บนร่างกายตัวเองครั้งสุดท้ายแล้วสบสายตากับสร้อยแก้วหญิงสาว
“ตามพี่มา” พีพูดกับเธอแล้วจึงตบไหล่พรานสาวเบาๆเป็นสัญญาณ เขาพุ่งตัวลงผิวน้ำทันที
สร้อยแก้วตั้งท่ารออยู่แล้ว เธอพุ่งตัวตามแม่ทัพหน้าผู้เป็นที่รักไปติดๆ
เหมียว โจพุ่งตัวลงไปพร้อมกันตามติดด้วยท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละ
บัดนี้ มนุษย์หกคนทิ้งร่างแหวกว่ายดำดิ่งลึกหายลงไปอย่างไม่คิดจะหวนกลับขึ้นมาอีกแล้ว ผิวน้ำของแอ่งที่กระเพื่อมอยู่ไปมากลับนิ่งสนิทลงในพริบตา รอยเท้ามนุษย์จางหายไป ผลไม้ทิพย์ที่ถูกปลิดเพื่อให้ประทังชีวิตด้วยความเมตตากลับผลิผลออกมาทดแทนจนเต็มพุ่ม คืนสภาวะเงียบงันสะอาดใสดั่งที่เคยเป็น เพื่อรอคอยผู้มากด้วยวาสนาบารมีคนต่อไปจะเข้ามาพึ่งพิง
น้ำใสดังกระจก การมองเห็นในน้ำด้วยตาเปล่านั้นชัดใส ผนังหินของโพรงแอ่งน้ำที่เคยดำน้ำสัมผัสเพื่อหาช่องทางออกอันตรธานหายไป ลึกลงไปเบื้องล่างยังมองไม่เห็นจุดหมาย สัมภาระที่ติดอยู่กับตัวของทุกคนช่วยถ่วงให้จมดิ่งลงไป เมื่อได้แรงจากการแหวกน้ำด้วยสองฝ่ามือและถีบน้ำด้วยสองเท้าแล้วยิ่งส่งให้ทั้งหกดำดิ่งลึกลงไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งหกชีวิตกลั้นหายใจดำลงต่อไปด้วยความหวังว่าจะพบทางออกให้เร็วที่สุด มองซ้ายมองขวาเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยในใจของทุกคนห่วงหากันอยู่ไปมา สภาพการมองเห็นเวลานี้นั้น น้ำใสเหมือนกระจก ไม่มีผนังรอบข้าง ไม่มีผิวน้ำที่พุ่งตัวลงมาให้ได้เหลียวหลังไปมองเห็น และที่สำคัญคือยังไม่มีทางออกเบื้องล่าง
มนุษย์หกชีวิตอยู่ในอากัปกิริยาที่แหวกสองมือถีบสองเท้าเพื่อพุ่งลงไปเบื้องล่างในความว่างเปล่าที่ยังสว่างเจิดจ้า ไม่มีแม้แต่ฟองอากาศที่ผุดออกจากปากและจมูกให้ปรากฏเมื่อต้องเริ่มคลายลมหายใจออก ถึงเวลานี้อากาศที่ถูกเก็บกักไว้ในปอดกำลังจะหมดลงแล้ว ทั้งหมดเริ่มหันมองกันไปมาอีกครั้งเพื่อเตรียมบอกลา
ในที่สุด ลมหายใจสุดท้ายก็หมดลง ครอบครัวทั้งหกชีวิตมองลงไปเบื้องล่างที่ไร้จุดหมายพร้อมกัน หันมองหน้ากันอย่างอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในใจยังมุ่งมั่นด้วยสติถึงคำว่า”ดำลงให้ขาดใจไปเลย”อยู่เช่นเดิม อาการขาดอากาศเริ่มส่งผลให้สติพร่ามัวหูอื้อตาลาย หน้าอกเริ่มแน่นหนักขึ้น แขนขาสะบัดไปมาด้วยธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ที่ทุรนทุรายเพื่อไขว่คว้าหาอากาศมาต่อชีวิต แต่สำหรับพวกเขาผู้ตั้งใจมั่นมาล่วงหน้าแล้ว อาการของคนจมน้ำตายปรากฏให้เห็นเพียงน้อยนิด พวกเขาหลับตาหยุดการเคลื่อนไหวแขนขาลงแล้ว ปล่อยร่างกายให้หยุดนิ่งตั้งสำนึกสุดท้ายเพื่อรอรับความตาย ภาพของหกชีวิตขณะนี้ดูเหมือนล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ในความว่างเปล่า
แล้ววินาทีแห่งความตายก็มาถึง มันเจ็บปวดจนต้องเกร็งเปลือกตาให้ปิดสนิทกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อยังคงสติไว้ขณะสิ้นลมให้ได้ จนสุดท้ายสติสัมปชัญญะที่พร่ามัวก็ดับวูบลง เหลือติดร่างไว้เพียงวิญญาณที่ยังคงความเชื่อและศรัทธาอยู่เต็มเปี่ยม ให้ได้ประจักษ์ในสายพระเนตรของทุกพระองค์ผู้เป็นทิพย์
ดรรชนีของผู้ทรงฤทธิ์ ชี้ด้วยพระกรุณาธิคุณลงไปยังสัญชาตญาณที่ธรรมชาติใส่ไว้ในร่างกายมนุษย์ ให้พวกเขากระตุกขึ้นสูดลมหายใจอีกครั้งต่อสู้กับความตาย
หกร่างที่หลับตาล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ในความว่างเปล่ากระชากร่างกายสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง พวกเขายังอยู่ในสภาพของการสลบไสลไม่มีสติ ไม่มีการรับรู้ว่าสิ่งที่สูดเข้าไปจนเต็มปอดนั้นมิใช่น้ำอย่างที่พวกเขาคิดตั้งแต่พุ่งตัวลงในแอ่งแล้วด้วยซ้ำ นั่นเท่ากับว่ามนุษย์ทั้งหกกลั้นลมหายใจตนเองจนเริ่มเข้าสู่สภาวะของความตายโดยไม่รู้ตัว
แล้วพลังงานหนึ่งก็พัดผ่านดุจสายลม ส่งให้ร่างของครอบครัวทั้งหกที่หยุดนิ่งหายใจรวยรินอยู่นั้นล่องลอยหมุนคว้างปะทะกันไปมาแล้วกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ปลิวหายไปกับแสงสว่างโพลนของความว่างเปล่าจนลับไป
ม้าทรงทำศึกพ่วงพีสีดำขลับ ประดับด้วยเครื่องเกราะข้างลำตัวแล้วห่อหุ้มส่วนหัวไว้ด้วยเกราะหนังขลิบทองคำ เป็นลวดลาย มันพุ่งทะยานปลดปล่อยความทรงพลังเต็มฝีเท้าไปข้างหน้าดั่งลมพายุ นำหน้าม้าศึกทุกตัวที่ตามมาทั้งซ้ายขวาลดหลั่นแปรขบวนโจมตีดุจหัวธนูแล่นเข้าหาข้าศึกเพื่อโรมรัน มันคือ”ฟ้าลั่น” ม้าศึกเยี่ยมยอดที่สุดแห่งอาณาจักร
อุเทนธิกะ แม่ทัพม้าผู้ควบอยู่บนหลังดึงขลุมขี่ไว้ด้วยมือข้างเดียว โน้มตัวไปข้างหน้าโหย่งตัวรับจังหวะก้าวควบดุจเป็นร่างเดียวกัน ฝ่ามือของขุนศึกอีกข้างกำด้ามดาบใบคมกริบชูชี้ไปข้างหน้า ส่งเสียงตะโกนกู่ก้องให้เหล่าทแกล้วทัพม้าตามหลังข้ามาด้วยฮึกเหิม
ทัพใหญ่ของอริราชกลุ้มรุมล้อมทัพหน้าไว้แน่นหนาเมื่ออุเทนธิกะทะลวงเข้าไป การศึกระหว่างสองอาณาจักรนั้นเดือดระอุ ทหารกล้าสองฝ่ายพลีชีพทับถมกันเป็นใบไม่ร่วง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นลั่นไปทั้งทุ่งทั้งป่า เสียงตะโกนร้องสั่งทัพปะปนกันเซ็งแซ่ระคนเสียงของความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว
“เร่งไปยังน้องข้า” อุเทนธิกะตะโกนสั่ง
ขุนศึกข้างกายแม่ทัพกว่าสิบม้าโผนทะยานฟันฝ่าข้าศึกออกไปอีกทาง หนึ่งในขุนศึกนั้นจูงม้าศึกตัวเปล่าติดตามไปด้วยเพื่อจะนำไปยังแม่ทัพหน้าผู้เป็นพระอนุชาใช้สู้รบ
อุเทนธิกะเหลือบหางตามองยอดธงทัพหลวงของข้าศึกในพริบตาขณะร้องสั่ง แม่ทัพดึงกระชากขลุมขี่อย่างแรงเพื่อให้ม้าศึก”ฟ้าลั่น”พลิกตัวไปอีกทางเปลี่ยนทิศตรงเข้าหาแม่ทัพใหญ่ของข้าศึก นักรบของอุเทนธิกะเผ่นฝีเท้าม้าตะลุยทะลวงฟันออกไปทิศทางนั้นทันทีโดยมิต้องให้นายทัพสั่ง
ทัพหลวงฝ่ายศัตรูเริ่มถอยเมื่อบาทของอุเทนธิกะย่างเข้าเหยียบสมรภูมิ
บนแผ่นดินทุกทิศนั้นครั่นคร้ามทัพม้าพระยุพราชแห่งอินทปัตนครไปถ้วนทั่ว เล่าขานว่าหากคิดเผชิญหน้าแล้วจงนับตัวให้มีเปรียบถึงสิบต่อหนึ่ง หากนับได้มิถึงก็จงเร่งถอนทัพกลับพระนครเสียโดยไว
การศึกครั้งนี้ทัพหน้าผู้อนุชาแต่งกลล่อให้ข้าศึกหลงตามเข้ามาห้ำหั่นอย่างกระหยิ่มในชัยชนะแค่เอื้อม ย่ามใจว่าจะบดขยี้ทัพหน้าอันมีไพร่พลน้อยกว่าให้แหลกลงกับมือจนถึงทุ่งราบ มิได้สำเหนียกว่าบัดนี้หลงกลเดินลงสู่ทุ่งประหารจนเมื่อทัพม้าอันเกรียงไกรปรากฏตัวขึ้น
ทุ่งสงครามละเลงโลหิตกันหลายชั่วโมงสิ้นสุดลง ชัยชนะอยู่ในกำมือ เมื่อทัพหลวงของข้าศึกจำต้องถอยร่นกลับด้วยต้องเสียไพร่พลไปมากประมาณ อุเทนธิกะสั่งการให้หยุดทัพไว้เพื่อสงวนกำลัง
พยัคฆราชแม่ทัพหน้าคุกเข่าข้างเดียวกำด้ามดาบคู่ปักปลายลงดิน ก้มเศียรค้อมลงเคารพเมื่อพระเชษฐาก้าวลงจากหลังม้าศึก
“เจ้าเป็นเยี่ยงไรน้องข้า” อุเทนธิกะถามเมื่อดึงพระอนุชาให้ลุกขึ้น
“ข้ามิเป็นอันใดท่านพี่” พยัคฆราชตอบ
“ข้าห่วงหานักเพลาที่เจ้าถูกมันอ้อมวงตี” ท่านพี่พูด
ธารทิพย์ บทที่ 42
ธารทิพย์ บทที่ 41 http://ppantip.com/topic/33358814
“แล้วทำไมเราดำน้ำจนหมดลมหายใจที่กลั้นไว้ยังไม่โผล่อีกทางล่ะครับ” โจตั้งคำถาม
“คำตอบง่ายๆคือยังไม่ถึงเวลาจะได้ออกไป ใช่มั้ยครับเหมียว” พีหันไปพูดกับหญิงสาว
“ใช่ค่ะ ตอบอย่างนั้นจะได้ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมองมากนัก” เหมียวพูด
“ถึงตอนนี้ทำได้อย่างเดียวคือเก็บของ อธิษฐานจิต แล้วดำน้ำลงไป”ท่านลุงพูด
“ภาวนาว่าดำลงไปแล้วได้โผล่ที่ผิวน้ำอีกด้านเลยแล้วกันนะ” โจพูด
“ลุงว่าไม่น่าจะง่ายแบบนั้นนะ” ท่านลุงพูด
“เราต้องทำยังไงอีกครับคุณลุง” พีถาม
“เหมียว ว่ามาซิลูก” ลุงไกรให้เหมียวออกความเห็น
“หนูก็ภาวนาให้ง่ายอย่างที่พี่โจพูดนะคะ” เหมียวพูด
“แต่หนูก็เห็นด้วยกับคุณลุงว่าอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น” เธอพูดต่อ
“เก็บของ ดำน้ำลงไป ดำลงไปเรื่อยๆด้วยความเชื่อมั่นด้วยศรัทธา”
“ถ้ายังไม่โผล่ขึ้นผิวน้ำ ก็ไปให้ลมหายใจขาดไปเลย แล้วจะได้ขึ้นจากผิวน้ำแน่นอน” เหมียวพูดจบ
ทั้งหกคนมองสบตาให้เข้าใจตามนั้นด้วยกัน พวกเขาจับมือกันอีกครั้งเพื่อเรียกกำลังใจ
“ไปพวกเรา เก็บของให้ดี เตรียมลงน้ำ” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
ข้าวของถูกเก็บลงเป้หลังปิดฝากระเป๋าทุกช่องอย่างเรียบร้อย อาวุธปืนทุกกระบอกถูกถอดกระสุนออกเพื่อเก็บแยกไว้ต่างหาก ครอบครัวทั้งหกออกเดินสำรวจรอบถ้ำอีกครั้งเพื่อเก็บเศษสิ่งของทุกชิ้นที่มาจากน้ำมือมนุษย์มิให้หลงเหลืออยู่ในถ้ำทิพย์อันถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แปดเปื้อน จากนั้นจึงแบกเป้หลังขึ้นรัดลำตัวด้วยสายรัดจนแน่ใจว่ามั่นคง
พีใช้เชือกเล็กๆพันด้ามดาบทั้งสองเล่มผูกติดกับฝักไว้แน่นหนากันไม่ให้แยกออกจากกันเมื่อดำอยู่ในน้ำ จากนั้นจึงสะพายไขว้ไว้ด้านหลังผูกสายสะพายไว้ที่แผ่นอกจนแน่ใจตามด้วยเป้หลังขึ้นทับรัดกับลำตัวอีกครั้ง
ท่านพ่อไกรศักดิ์ สร้อยแก้วและเหมียวช่วยกันนำถุงพลาสติกที่ติดมาด้วยบรรจงห่อหุ้มผ้าห่อกระดูกของลอยาจนมิดชิดแล้วติดด้วยเทปใสที่มีติดตัวมาจนแน่ใจว่าจะเปียกน้ำให้น้อยที่สุดแล้วจึงใส่ลงในเป้หลัง
“เจ้าไปกับพี่กับลูกนะลอยา” ท่านไกรศักดิ์วางฝ่ามือบนห่อกระดูกหลับตาลงบอกกล่าว
บัดนี้ พวกเขาได้มายืนรวมตัวกันอีกครั้งริมแอ่งน้ำกลางถ้ำทิพย์เพื่อตั้งจิตเดินทางต่อไป ท่านไกรศักดิ์มองส่งยิ้มไปให้ครอบครัวทุกคน
“มาพวกเรา คุกเข่าลงพนมมือ” เขาพูดแล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ลูกหลานที่เหลือจึงนั่งลงตาม
“ตั้งจิตให้ดีนะ เราจะบอกกล่าว” ท่านไกรศักดิ์พูดแล้วพนมมือไหว้หลับตาลงอธิษฐานบอกกล่าว
“เหล่าข้าพระพุทธเจ้า ขอตั้งจิตสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์”
“มหาเทพฯ มหาเทวีฯ ปุรุษะโคตะระยี่สิบโศลก แม่พระคงคา แม่พระธรณี องค์พญายมราช”
“การณ์อันเหล่าข้าพระพุทธเจ้าขอเดินไปยังวะสะธาราทิพย์สถาน”
“เพื่อชดใช้เพื่อขอขมานั้น บัดนี้เหล่าข้าพระพุทธเจ้าได้มาสุดทางของมนุษย์”
“เบื้องหน้านี้คือแอ่งน้ำทิพย์อันเป็นประตูข้ามสู่ภพอื่น”
“เหล่าข้าพระพุทธเจ้าขอตั้งจิตมั่นคงในความเชื่อและความศรัทธา”
“ขอพระกรุณาธิคุณเมตตาอนุญาตให้เหล่าข้าพระพุทธเจ้า”
“ผ่านประตูทิพย์นี้ไปได้ด้วยเถิด” ท่านไกรศักดิ์อธิษฐานจิตจบลง
ครอบครัวหกชีวิตมองสบตากันอีกครั้ง ความประหวั่นพรั่นพรึงเริ่มผุดขึ้นมาในความรู้สึก พวกเขามิได้ครั่นคร้ามต่อความตาย มิได้ครั่นคร้ามต่อสิ่งใดก็ตามที่จะไปพบเจอข้างหน้า แต่สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือเมื่อผ่านประตูนี้ไปแล้วจะยังได้อยู่เห็นหน้ากันครบทั้งหกชีวิตอีกหรือไม่
“ถ้าผ่านประตูนี้ไปแล้วคุณไม่พบเหมียว” เหมียวพูดขึ้นขณะก้มหน้ามองผิวน้ำ
“ขอให้คุณรู้ไว้ว่า เหมียวรักคุณมากนะ” หญิงสาวเงยขึ้นสบตาโจด้วยน้ำตาที่รินออกมา
โจสวมกอดหญิงสาวที่เขารักไว้แน่นทันที
“อย่าพูดอย่างนั้น” ชายหนุ่มซบหน้าบนเรือนผมของเธอหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน
“เราจะรอดไปอยู่ด้วยกันจนวันตายนะ ที่รักของผม” เขาบอกความเชื่อให้เธอรู้
คำพูดของเหมียวกับโจนั้นมิได้เกิดผลเฉพาะเธอกับเขาเท่านั้น แต่เป็นคำพูดที่เป็นตัวแทนความรู้สึกที่ทุกคนมีเหมือนกันอยู่แล้ว พีดึงสร้อยแก้วเข้ามากอดไว้ ท่านไกรศักดิ์กับพรานโละก็เข้ามากอดคู่รักทั้งสองคู่พร้อมกันไปด้วย
“ไปกันเถอะ” พีพูดเมื่อเขาปล่อยสร้อยแก้วออกจากอ้อมกอด
ทัพหน้ากลับมาทำหน้าที่ของเขาอีกครั้ง กวาดสายตามุ่งมั่นไปยังทุกคน มองสำรวจข้าวของที่บรรทุกอยู่บนร่างกายตัวเองครั้งสุดท้ายแล้วสบสายตากับสร้อยแก้วหญิงสาว
“ตามพี่มา” พีพูดกับเธอแล้วจึงตบไหล่พรานสาวเบาๆเป็นสัญญาณ เขาพุ่งตัวลงผิวน้ำทันที
สร้อยแก้วตั้งท่ารออยู่แล้ว เธอพุ่งตัวตามแม่ทัพหน้าผู้เป็นที่รักไปติดๆ
เหมียว โจพุ่งตัวลงไปพร้อมกันตามติดด้วยท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละ
บัดนี้ มนุษย์หกคนทิ้งร่างแหวกว่ายดำดิ่งลึกหายลงไปอย่างไม่คิดจะหวนกลับขึ้นมาอีกแล้ว ผิวน้ำของแอ่งที่กระเพื่อมอยู่ไปมากลับนิ่งสนิทลงในพริบตา รอยเท้ามนุษย์จางหายไป ผลไม้ทิพย์ที่ถูกปลิดเพื่อให้ประทังชีวิตด้วยความเมตตากลับผลิผลออกมาทดแทนจนเต็มพุ่ม คืนสภาวะเงียบงันสะอาดใสดั่งที่เคยเป็น เพื่อรอคอยผู้มากด้วยวาสนาบารมีคนต่อไปจะเข้ามาพึ่งพิง
น้ำใสดังกระจก การมองเห็นในน้ำด้วยตาเปล่านั้นชัดใส ผนังหินของโพรงแอ่งน้ำที่เคยดำน้ำสัมผัสเพื่อหาช่องทางออกอันตรธานหายไป ลึกลงไปเบื้องล่างยังมองไม่เห็นจุดหมาย สัมภาระที่ติดอยู่กับตัวของทุกคนช่วยถ่วงให้จมดิ่งลงไป เมื่อได้แรงจากการแหวกน้ำด้วยสองฝ่ามือและถีบน้ำด้วยสองเท้าแล้วยิ่งส่งให้ทั้งหกดำดิ่งลึกลงไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งหกชีวิตกลั้นหายใจดำลงต่อไปด้วยความหวังว่าจะพบทางออกให้เร็วที่สุด มองซ้ายมองขวาเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยในใจของทุกคนห่วงหากันอยู่ไปมา สภาพการมองเห็นเวลานี้นั้น น้ำใสเหมือนกระจก ไม่มีผนังรอบข้าง ไม่มีผิวน้ำที่พุ่งตัวลงมาให้ได้เหลียวหลังไปมองเห็น และที่สำคัญคือยังไม่มีทางออกเบื้องล่าง
มนุษย์หกชีวิตอยู่ในอากัปกิริยาที่แหวกสองมือถีบสองเท้าเพื่อพุ่งลงไปเบื้องล่างในความว่างเปล่าที่ยังสว่างเจิดจ้า ไม่มีแม้แต่ฟองอากาศที่ผุดออกจากปากและจมูกให้ปรากฏเมื่อต้องเริ่มคลายลมหายใจออก ถึงเวลานี้อากาศที่ถูกเก็บกักไว้ในปอดกำลังจะหมดลงแล้ว ทั้งหมดเริ่มหันมองกันไปมาอีกครั้งเพื่อเตรียมบอกลา
ในที่สุด ลมหายใจสุดท้ายก็หมดลง ครอบครัวทั้งหกชีวิตมองลงไปเบื้องล่างที่ไร้จุดหมายพร้อมกัน หันมองหน้ากันอย่างอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในใจยังมุ่งมั่นด้วยสติถึงคำว่า”ดำลงให้ขาดใจไปเลย”อยู่เช่นเดิม อาการขาดอากาศเริ่มส่งผลให้สติพร่ามัวหูอื้อตาลาย หน้าอกเริ่มแน่นหนักขึ้น แขนขาสะบัดไปมาด้วยธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ที่ทุรนทุรายเพื่อไขว่คว้าหาอากาศมาต่อชีวิต แต่สำหรับพวกเขาผู้ตั้งใจมั่นมาล่วงหน้าแล้ว อาการของคนจมน้ำตายปรากฏให้เห็นเพียงน้อยนิด พวกเขาหลับตาหยุดการเคลื่อนไหวแขนขาลงแล้ว ปล่อยร่างกายให้หยุดนิ่งตั้งสำนึกสุดท้ายเพื่อรอรับความตาย ภาพของหกชีวิตขณะนี้ดูเหมือนล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ในความว่างเปล่า
แล้ววินาทีแห่งความตายก็มาถึง มันเจ็บปวดจนต้องเกร็งเปลือกตาให้ปิดสนิทกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อยังคงสติไว้ขณะสิ้นลมให้ได้ จนสุดท้ายสติสัมปชัญญะที่พร่ามัวก็ดับวูบลง เหลือติดร่างไว้เพียงวิญญาณที่ยังคงความเชื่อและศรัทธาอยู่เต็มเปี่ยม ให้ได้ประจักษ์ในสายพระเนตรของทุกพระองค์ผู้เป็นทิพย์
ดรรชนีของผู้ทรงฤทธิ์ ชี้ด้วยพระกรุณาธิคุณลงไปยังสัญชาตญาณที่ธรรมชาติใส่ไว้ในร่างกายมนุษย์ ให้พวกเขากระตุกขึ้นสูดลมหายใจอีกครั้งต่อสู้กับความตาย
หกร่างที่หลับตาล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ในความว่างเปล่ากระชากร่างกายสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง พวกเขายังอยู่ในสภาพของการสลบไสลไม่มีสติ ไม่มีการรับรู้ว่าสิ่งที่สูดเข้าไปจนเต็มปอดนั้นมิใช่น้ำอย่างที่พวกเขาคิดตั้งแต่พุ่งตัวลงในแอ่งแล้วด้วยซ้ำ นั่นเท่ากับว่ามนุษย์ทั้งหกกลั้นลมหายใจตนเองจนเริ่มเข้าสู่สภาวะของความตายโดยไม่รู้ตัว
แล้วพลังงานหนึ่งก็พัดผ่านดุจสายลม ส่งให้ร่างของครอบครัวทั้งหกที่หยุดนิ่งหายใจรวยรินอยู่นั้นล่องลอยหมุนคว้างปะทะกันไปมาแล้วกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ปลิวหายไปกับแสงสว่างโพลนของความว่างเปล่าจนลับไป
ม้าทรงทำศึกพ่วงพีสีดำขลับ ประดับด้วยเครื่องเกราะข้างลำตัวแล้วห่อหุ้มส่วนหัวไว้ด้วยเกราะหนังขลิบทองคำ เป็นลวดลาย มันพุ่งทะยานปลดปล่อยความทรงพลังเต็มฝีเท้าไปข้างหน้าดั่งลมพายุ นำหน้าม้าศึกทุกตัวที่ตามมาทั้งซ้ายขวาลดหลั่นแปรขบวนโจมตีดุจหัวธนูแล่นเข้าหาข้าศึกเพื่อโรมรัน มันคือ”ฟ้าลั่น” ม้าศึกเยี่ยมยอดที่สุดแห่งอาณาจักร
อุเทนธิกะ แม่ทัพม้าผู้ควบอยู่บนหลังดึงขลุมขี่ไว้ด้วยมือข้างเดียว โน้มตัวไปข้างหน้าโหย่งตัวรับจังหวะก้าวควบดุจเป็นร่างเดียวกัน ฝ่ามือของขุนศึกอีกข้างกำด้ามดาบใบคมกริบชูชี้ไปข้างหน้า ส่งเสียงตะโกนกู่ก้องให้เหล่าทแกล้วทัพม้าตามหลังข้ามาด้วยฮึกเหิม
ทัพใหญ่ของอริราชกลุ้มรุมล้อมทัพหน้าไว้แน่นหนาเมื่ออุเทนธิกะทะลวงเข้าไป การศึกระหว่างสองอาณาจักรนั้นเดือดระอุ ทหารกล้าสองฝ่ายพลีชีพทับถมกันเป็นใบไม่ร่วง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นลั่นไปทั้งทุ่งทั้งป่า เสียงตะโกนร้องสั่งทัพปะปนกันเซ็งแซ่ระคนเสียงของความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว
“เร่งไปยังน้องข้า” อุเทนธิกะตะโกนสั่ง
ขุนศึกข้างกายแม่ทัพกว่าสิบม้าโผนทะยานฟันฝ่าข้าศึกออกไปอีกทาง หนึ่งในขุนศึกนั้นจูงม้าศึกตัวเปล่าติดตามไปด้วยเพื่อจะนำไปยังแม่ทัพหน้าผู้เป็นพระอนุชาใช้สู้รบ
อุเทนธิกะเหลือบหางตามองยอดธงทัพหลวงของข้าศึกในพริบตาขณะร้องสั่ง แม่ทัพดึงกระชากขลุมขี่อย่างแรงเพื่อให้ม้าศึก”ฟ้าลั่น”พลิกตัวไปอีกทางเปลี่ยนทิศตรงเข้าหาแม่ทัพใหญ่ของข้าศึก นักรบของอุเทนธิกะเผ่นฝีเท้าม้าตะลุยทะลวงฟันออกไปทิศทางนั้นทันทีโดยมิต้องให้นายทัพสั่ง
ทัพหลวงฝ่ายศัตรูเริ่มถอยเมื่อบาทของอุเทนธิกะย่างเข้าเหยียบสมรภูมิ
บนแผ่นดินทุกทิศนั้นครั่นคร้ามทัพม้าพระยุพราชแห่งอินทปัตนครไปถ้วนทั่ว เล่าขานว่าหากคิดเผชิญหน้าแล้วจงนับตัวให้มีเปรียบถึงสิบต่อหนึ่ง หากนับได้มิถึงก็จงเร่งถอนทัพกลับพระนครเสียโดยไว
การศึกครั้งนี้ทัพหน้าผู้อนุชาแต่งกลล่อให้ข้าศึกหลงตามเข้ามาห้ำหั่นอย่างกระหยิ่มในชัยชนะแค่เอื้อม ย่ามใจว่าจะบดขยี้ทัพหน้าอันมีไพร่พลน้อยกว่าให้แหลกลงกับมือจนถึงทุ่งราบ มิได้สำเหนียกว่าบัดนี้หลงกลเดินลงสู่ทุ่งประหารจนเมื่อทัพม้าอันเกรียงไกรปรากฏตัวขึ้น
ทุ่งสงครามละเลงโลหิตกันหลายชั่วโมงสิ้นสุดลง ชัยชนะอยู่ในกำมือ เมื่อทัพหลวงของข้าศึกจำต้องถอยร่นกลับด้วยต้องเสียไพร่พลไปมากประมาณ อุเทนธิกะสั่งการให้หยุดทัพไว้เพื่อสงวนกำลัง
พยัคฆราชแม่ทัพหน้าคุกเข่าข้างเดียวกำด้ามดาบคู่ปักปลายลงดิน ก้มเศียรค้อมลงเคารพเมื่อพระเชษฐาก้าวลงจากหลังม้าศึก
“เจ้าเป็นเยี่ยงไรน้องข้า” อุเทนธิกะถามเมื่อดึงพระอนุชาให้ลุกขึ้น
“ข้ามิเป็นอันใดท่านพี่” พยัคฆราชตอบ
“ข้าห่วงหานักเพลาที่เจ้าถูกมันอ้อมวงตี” ท่านพี่พูด