ขึ้นอรูปาวจรภูมิ
แต่นี้จะกล่าวถึงอรูปาวจรภูมิ ผู้บำเพ็ญเจริญรูปฌานได้แล้ว ปรารถนาจะเจริญอรูปฌานให้เพิกกสิณทั้ง 7 เสียไว้แต่อากาศ ให้เพ่งอากาศว่างเปล่าเป็นอารมณ์ ทำบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สิ้นสุด โยคาวจรก็อาจเข้าสู่อรูปฌานเป็นประถมได้เมื่อโยคาวจรวางเสียซึ่งอากาศ ถือเอาวิญญาณเป็นอารมณ์บริกรรมว่า วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด ๆ ก็อาจเข้าสู่ทุติยอรูปฌานที่ 2 ได้
เมื่อโยคาวจรวางวิญญาณ เสียถือเอาสิ่งที่ไม่มีวิญญาณว่าอะไร ๆไม่มี ก็อาจเข้าตติยอรูปฌานที่ 3 ได้ เมื่อโยคาวจรวางสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ ถือเอาสิ่งที่ประณีตจะว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ ก็อาจจะเข้าสู่จตุตถอรูปฌานที่ 4 ได้ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ เป็นดรุกรรม เป็นกรรมหนักกว่ากรรมอื่น ทั้งสิ้น จะให้ผลก่อน
ฌานเสื่อมอย่างไร
ถ้าปรารถนาจะไปเกิดในพรหมโลกก็ให้รักษาไว้ อย่าให้เสื่อม ฌานเสื่อม กับฌานไม่เสื่อมเป็นอย่างไร ฌานจะเสื่อมอาศัยผู้นั้นยินดีในกามารมณ์ ผู้ที่ได้อัปปนาฌานไม่เสื่อมนั้นจิตของผู้นั้นหลุดพ้นจากกาม
ถ้าอยากรู้ฌานไม่เสื่อมหรือเสื่อมนั้น ให้ดูตัวทวารสมมุติกับทวารวิมุติ อันเป็นเครื่องสืบต่อกัน คือในเวลา เรานั่งทำสมาธิฌานเกิด นี้เป็น ทวารสมมุติ เรียกว่า ชวนะจิต เสพอารมณ์ครั้นเวลาเหนื่อยเรานอน เวลาเรานอนเราก็เพ่งอยู่ในฌานนี้เป็นทวารสมมุติ เวลาหลับเป็นทวารวิมุติ
ถ้าทวารวิมุติเป็นผู้รับต่อ นอนหลับไม่ฝัน ตื่นขึ้นก็ยังเพ่งอยู่ในฌาน เป็นผู้ละถีนะมิทธะ ไม่ติดในการนอน นี้จึงเรียกว่า ฌานไม่เสื่อม ถ้าทวารวิมุติไม่รับต่อ นอนหลับฝันเพราะละถีนะมิทธะไม่ได้ ตี่นขึ้นจิตเปลี่ยนเป็นกามารจร นี้ฌานเสื่อม แต่ผู้ที่มีฌานเสื่อมดีกว่าผู้ไม่มีฌาน
จะไปนิพพานได้หรือไม่ได้ในชาตินี้
ฝ่ายผู้ที่ได้อัปปนาชวนะโลกุตตระ คือถือเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์นั้นก็ดี ถ้าอยากรูเว่าจะไปนิพพานได้หรือไม่ได้ในชาตินี้ก็ให้ดูทวารสมมุติกับทวารวิมุติ ในขณะนั่งทำสมาธิจิต จิตหลุดพันออกจากสังขารนิมิตได้นี้เป็นทวารสมมุติ ในขณะนอนหลับตัวทวารวิมุตไม่รับต่อ นอนหลับแล้วฝัน เพราะละถีนะมิทธะไม่ได้นี้เป็น จิต ของพระเสขะ ยังไปนิพพานไม่ได้ เป็นตทังควิมุติ หลุดได้ชั่วคราว ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะเสขะมีกามาวจรญาณสัมปยุตกุศลเป็นที่ตั้งแห่งองค์อริยมรรค ถ้าจิตหลุดพ้นในการยืม เดิน นั่ง เวลานอนหลับ ทวารวิมุติรับต่อ นอนหลับจิตก็หลุดพ้น ตื่นขึ้นใหม่ไม่มีการฝัน เพราะละถีนะมิทธะได้ทวารวิมุติไม่กำเริบ นี้เป็นของพระอเสขะ เพราะท่านมีกามาวจรญาญสัมปยุตกิริยา เป็นที่ตั้งแห่งองค์อริยมรรค ผู้ที่มีฌานไม่เสื่อมย่อมไปเกิดในพรหมโลกที่ได้ฌานชั้นต่ำก็ไปเกิดในชั้น ต่ำ ผู้ที่ได้ชั้นสูงก็ไปเกิดชั้นสูง ตามชั้นตามภูมิของตน
สรุปความลงก็คือ ถ้าโลกีย์วิมุติไม่เสื่อม ก็ไปเกิดในรูปพรหม และอรูปพรหมได้ ถ้าเสื่อมก็ไปเกิดในกามโลก ฝ่ายโลกุตตรวิมุติก็เหมือนกัน ถ้าไม่เสื่อมก็ไปนิพพานได้ ถ้าเสื่อมก็ยังไปไม่ได้ ก็ต้องเกิดในกามโลกก่อน
ธาตุของจิต และวัตถุอันเป็นที่ตั้งของจิต
อนึ่งวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณในภพ 3 ในกามภพมีวัตถุ 6 มีจักขุวัตถุเป็นต้น มีหทัยวัตถุเป็นที่สุด มีธาตุจิต 7 คือ จักขุวิญญาณธาตุ 1 โสตะวิญญาณธาตุ 1 มานะวิญญาณธาตุ 1 ชิวหาวิญญาณธาตุ 1 กายวิญญาณธาตุ 1 มโน ธาตุ 1 มโนวิญญาณธาตุ 1
ในรูปภพมี วัตถุ 3 จักขุวัตถุ 1 โสตะวัตถุ 1 หทัยวัตถุ 1 มีธาตุจิต 4 คือจักขุวิญญาณธาตุ 1 โสตะวัญญาณธาตุ 1 มโนธาตุ 1 มโนวิญาณธาตุ 1
ในอรูปภพ ไม่มีวัตถุ เป็นที่ตั้ง มีแต่มโนวิญญาณธาตุอย่างเดียว วัตถุธาตุก็ดี มโนวิญญาณธาตุก็ดี เป็น สังขตะธาตุ
พระนิพพานเป็น อสังขตะธาตุ ออกจากธาตุเหล่านี้
การทำฌานเป็นของทำยาก ทำแล้วก็มักจะเสื่อมถึงไม่เสื่อมไปเกิดในพรหมโลก แล้วกลับมาเกิดในโลกนี้ ก็เป็นของไม่แน่นอน มาเกิดเป็นมนุษย์ อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่อบายภูมิไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ คล้ายกับทหารไปนอนอยู่ในหลุม เพลาะสบายชั่วคราว ยังไม่ได้ประจัญบานถึงขั้นแตกหัก
หรือดุจคนเป็นหนี้หลบหนีจากเจ้าหนี้ (ยังไม่พ้นหนี้สิน ) จึงไม่ควรเพลินในฌานมากนัก จักเป็นเหตุให้ล่าช้า ทำเอาแต่อุปจารสมาธิ อันเป็น กามาวจร มีวัตถุ 6 เป็นที่ตั้งแล้วดำเนินทาง วิปัสสนา ใช้ปัญญา ค้นหาเหตุผล ตัวของเราเป็นตัวผล ซึ่งเป็นตัวชาติ ชาติต้องมาจากภพ กรรมภพฝ่ายบาปก็นำไปเกิดที่อบายภูมิ 4 กรรมภพฝ่ายกุศลอย่างต่ำ ก็นำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ 1 สวรรค์ 1 ชั้น
กรรมภพอย่างหนักก็นำไป รูปภพ อรูปภพ ภพเหล่านี้มาจากอุปาทานการเข้ายึดถือ ถ้าถอนเสียซึ่งอุปาทานการยึดถืออุปาทานดับภพก็ดับ ภพดับชาติก็ดับ ชาติความเกิดเปรียบเหมือนไฟเพราะไฟร้อนไปด้วยทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตัวกรรมภพเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ตัวอุปาทานเป็นผู้ยึดเชื้อของไฟไว้ การที่นำเอารูปาวจร อรูปาวจรภูมิมาลงไว้ในฐานที่ 2 เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ ของนักปฏิบัติธรรมทุกชั้นทุกภูมิ จะเดินทางลัด หรือจะเดินทางอ้อม แล้วแต่ชอบใจ
สรุปลงในฐานที่ 1 ให้เพ่งหทัยวัตถุ เพื่อให้รู้สังขารแต่วางสังขารยังไม่ได้ จึงเป็นแต่กามาวจรภูมิเท่านั้น ๆ ฐานที่ 2 เมื่อเพ่งดูหทัยวัตถุ เป็นของว่างเปล่าไม่มีความคิดในสามกาล ดับสังขารที่เป็นกามาวจรได้แล้ว แต่ยังติดความรู้อันมีอยู่ในปัจจุบัน ออกจากอารมณ์ในปัจจุบันยังไม่ได้ จึงลงเคราะห์ลงในรูปาวจร และอรูปาวจรภูมิเท่านั้น เป็นขั้นสมถอุบายเครื่องสงบใจ ที่กล่าววิปัสสนาเจือไว้ด้วย ก็เป็นแต่ชีแนวทาง
รูปาวจรภูมิ-อรูปาวจรภูมิและโลกุตตรภูมิ ภาค4
แต่นี้จะกล่าวถึงอรูปาวจรภูมิ ผู้บำเพ็ญเจริญรูปฌานได้แล้ว ปรารถนาจะเจริญอรูปฌานให้เพิกกสิณทั้ง 7 เสียไว้แต่อากาศ ให้เพ่งอากาศว่างเปล่าเป็นอารมณ์ ทำบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สิ้นสุด โยคาวจรก็อาจเข้าสู่อรูปฌานเป็นประถมได้เมื่อโยคาวจรวางเสียซึ่งอากาศ ถือเอาวิญญาณเป็นอารมณ์บริกรรมว่า วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด ๆ ก็อาจเข้าสู่ทุติยอรูปฌานที่ 2 ได้
เมื่อโยคาวจรวางวิญญาณ เสียถือเอาสิ่งที่ไม่มีวิญญาณว่าอะไร ๆไม่มี ก็อาจเข้าตติยอรูปฌานที่ 3 ได้ เมื่อโยคาวจรวางสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ ถือเอาสิ่งที่ประณีตจะว่ามีวิญญาณก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ ก็อาจจะเข้าสู่จตุตถอรูปฌานที่ 4 ได้ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ เป็นดรุกรรม เป็นกรรมหนักกว่ากรรมอื่น ทั้งสิ้น จะให้ผลก่อน
ฌานเสื่อมอย่างไร
ถ้าปรารถนาจะไปเกิดในพรหมโลกก็ให้รักษาไว้ อย่าให้เสื่อม ฌานเสื่อม กับฌานไม่เสื่อมเป็นอย่างไร ฌานจะเสื่อมอาศัยผู้นั้นยินดีในกามารมณ์ ผู้ที่ได้อัปปนาฌานไม่เสื่อมนั้นจิตของผู้นั้นหลุดพ้นจากกาม
ถ้าอยากรู้ฌานไม่เสื่อมหรือเสื่อมนั้น ให้ดูตัวทวารสมมุติกับทวารวิมุติ อันเป็นเครื่องสืบต่อกัน คือในเวลา เรานั่งทำสมาธิฌานเกิด นี้เป็น ทวารสมมุติ เรียกว่า ชวนะจิต เสพอารมณ์ครั้นเวลาเหนื่อยเรานอน เวลาเรานอนเราก็เพ่งอยู่ในฌานนี้เป็นทวารสมมุติ เวลาหลับเป็นทวารวิมุติ
ถ้าทวารวิมุติเป็นผู้รับต่อ นอนหลับไม่ฝัน ตื่นขึ้นก็ยังเพ่งอยู่ในฌาน เป็นผู้ละถีนะมิทธะ ไม่ติดในการนอน นี้จึงเรียกว่า ฌานไม่เสื่อม ถ้าทวารวิมุติไม่รับต่อ นอนหลับฝันเพราะละถีนะมิทธะไม่ได้ ตี่นขึ้นจิตเปลี่ยนเป็นกามารจร นี้ฌานเสื่อม แต่ผู้ที่มีฌานเสื่อมดีกว่าผู้ไม่มีฌาน
จะไปนิพพานได้หรือไม่ได้ในชาตินี้
ฝ่ายผู้ที่ได้อัปปนาชวนะโลกุตตระ คือถือเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์นั้นก็ดี ถ้าอยากรูเว่าจะไปนิพพานได้หรือไม่ได้ในชาตินี้ก็ให้ดูทวารสมมุติกับทวารวิมุติ ในขณะนั่งทำสมาธิจิต จิตหลุดพันออกจากสังขารนิมิตได้นี้เป็นทวารสมมุติ ในขณะนอนหลับตัวทวารวิมุตไม่รับต่อ นอนหลับแล้วฝัน เพราะละถีนะมิทธะไม่ได้นี้เป็น จิต ของพระเสขะ ยังไปนิพพานไม่ได้ เป็นตทังควิมุติ หลุดได้ชั่วคราว ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะเสขะมีกามาวจรญาณสัมปยุตกุศลเป็นที่ตั้งแห่งองค์อริยมรรค ถ้าจิตหลุดพ้นในการยืม เดิน นั่ง เวลานอนหลับ ทวารวิมุติรับต่อ นอนหลับจิตก็หลุดพ้น ตื่นขึ้นใหม่ไม่มีการฝัน เพราะละถีนะมิทธะได้ทวารวิมุติไม่กำเริบ นี้เป็นของพระอเสขะ เพราะท่านมีกามาวจรญาญสัมปยุตกิริยา เป็นที่ตั้งแห่งองค์อริยมรรค ผู้ที่มีฌานไม่เสื่อมย่อมไปเกิดในพรหมโลกที่ได้ฌานชั้นต่ำก็ไปเกิดในชั้น ต่ำ ผู้ที่ได้ชั้นสูงก็ไปเกิดชั้นสูง ตามชั้นตามภูมิของตน
สรุปความลงก็คือ ถ้าโลกีย์วิมุติไม่เสื่อม ก็ไปเกิดในรูปพรหม และอรูปพรหมได้ ถ้าเสื่อมก็ไปเกิดในกามโลก ฝ่ายโลกุตตรวิมุติก็เหมือนกัน ถ้าไม่เสื่อมก็ไปนิพพานได้ ถ้าเสื่อมก็ยังไปไม่ได้ ก็ต้องเกิดในกามโลกก่อน
ธาตุของจิต และวัตถุอันเป็นที่ตั้งของจิต
อนึ่งวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณในภพ 3 ในกามภพมีวัตถุ 6 มีจักขุวัตถุเป็นต้น มีหทัยวัตถุเป็นที่สุด มีธาตุจิต 7 คือ จักขุวิญญาณธาตุ 1 โสตะวิญญาณธาตุ 1 มานะวิญญาณธาตุ 1 ชิวหาวิญญาณธาตุ 1 กายวิญญาณธาตุ 1 มโน ธาตุ 1 มโนวิญญาณธาตุ 1
ในรูปภพมี วัตถุ 3 จักขุวัตถุ 1 โสตะวัตถุ 1 หทัยวัตถุ 1 มีธาตุจิต 4 คือจักขุวิญญาณธาตุ 1 โสตะวัญญาณธาตุ 1 มโนธาตุ 1 มโนวิญาณธาตุ 1
ในอรูปภพ ไม่มีวัตถุ เป็นที่ตั้ง มีแต่มโนวิญญาณธาตุอย่างเดียว วัตถุธาตุก็ดี มโนวิญญาณธาตุก็ดี เป็น สังขตะธาตุ
พระนิพพานเป็น อสังขตะธาตุ ออกจากธาตุเหล่านี้
การทำฌานเป็นของทำยาก ทำแล้วก็มักจะเสื่อมถึงไม่เสื่อมไปเกิดในพรหมโลก แล้วกลับมาเกิดในโลกนี้ ก็เป็นของไม่แน่นอน มาเกิดเป็นมนุษย์ อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่อบายภูมิไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ คล้ายกับทหารไปนอนอยู่ในหลุม เพลาะสบายชั่วคราว ยังไม่ได้ประจัญบานถึงขั้นแตกหัก
หรือดุจคนเป็นหนี้หลบหนีจากเจ้าหนี้ (ยังไม่พ้นหนี้สิน ) จึงไม่ควรเพลินในฌานมากนัก จักเป็นเหตุให้ล่าช้า ทำเอาแต่อุปจารสมาธิ อันเป็น กามาวจร มีวัตถุ 6 เป็นที่ตั้งแล้วดำเนินทาง วิปัสสนา ใช้ปัญญา ค้นหาเหตุผล ตัวของเราเป็นตัวผล ซึ่งเป็นตัวชาติ ชาติต้องมาจากภพ กรรมภพฝ่ายบาปก็นำไปเกิดที่อบายภูมิ 4 กรรมภพฝ่ายกุศลอย่างต่ำ ก็นำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ 1 สวรรค์ 1 ชั้น
กรรมภพอย่างหนักก็นำไป รูปภพ อรูปภพ ภพเหล่านี้มาจากอุปาทานการเข้ายึดถือ ถ้าถอนเสียซึ่งอุปาทานการยึดถืออุปาทานดับภพก็ดับ ภพดับชาติก็ดับ ชาติความเกิดเปรียบเหมือนไฟเพราะไฟร้อนไปด้วยทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตัวกรรมภพเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ตัวอุปาทานเป็นผู้ยึดเชื้อของไฟไว้ การที่นำเอารูปาวจร อรูปาวจรภูมิมาลงไว้ในฐานที่ 2 เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ ของนักปฏิบัติธรรมทุกชั้นทุกภูมิ จะเดินทางลัด หรือจะเดินทางอ้อม แล้วแต่ชอบใจ
สรุปลงในฐานที่ 1 ให้เพ่งหทัยวัตถุ เพื่อให้รู้สังขารแต่วางสังขารยังไม่ได้ จึงเป็นแต่กามาวจรภูมิเท่านั้น ๆ ฐานที่ 2 เมื่อเพ่งดูหทัยวัตถุ เป็นของว่างเปล่าไม่มีความคิดในสามกาล ดับสังขารที่เป็นกามาวจรได้แล้ว แต่ยังติดความรู้อันมีอยู่ในปัจจุบัน ออกจากอารมณ์ในปัจจุบันยังไม่ได้ จึงลงเคราะห์ลงในรูปาวจร และอรูปาวจรภูมิเท่านั้น เป็นขั้นสมถอุบายเครื่องสงบใจ ที่กล่าววิปัสสนาเจือไว้ด้วย ก็เป็นแต่ชีแนวทาง