สวัสดีครับทุกท่านที่ให้ความกรุณาเปิดเข้ามาอ่าน
ผม afit(เอฟิธ) เพิ่งเคยลงนิยายลงในพันธ์ทิพย์เป็นครั้งแรก
ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับผม
เรื่องย่อ
เรื่องราวของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่จู่ๆก็ได้รับพลังประหลาดเข้ามา ทำให้มีความสามารถเหนือมนุษย์ และใช้พลังจากธรรมชาติได้ พวกเขาเป็นทั้งเด็กธรรมดาและทั้งเด็กมีปัญหาที่ล้วนมีเป้าหมายชัดเจน เพื่อปกป้อง...เพื่อทำลาย...เพื่อเปลี่ยนแปลง
หากความปรารถนาของผู้ใดกันจะถูกทำให้เป็นจริง
1
เหตุการณ์ประหลาด
“ น้ำ...ไหลริน
ลม...พัดโชย
ไฟ...โชติช่วง
ไม้...ร่มเงา ”
เสียงเปล่งออกมาเป็นท่วงทำนอง ลอยไปตามสายลมเพื่อค้นหาบางสิ่ง...บางสิ่งที่ได้รับการถูกเลือก
“ไม่จริง...ไม่... ”
ร่างบางแอบหลบอยู่ในตรอกแคบอาศัยความมืดในยามราตรีเป็นที่พรางกายไม่ให้ใครพบเห็น ทั้งร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังพยายามควบคุมสติไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้
คืนนี้คงจะสงบเหมือนทุกคืนถ้าไม่มีเสียงไซเรนจากรถตำรวจและโรงพยาบาลสลับกับเสียงร้องของผู้คน
เสียงร่ำไห้และเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังอยู่ท่ามกลางข้าวของที่กระจัดกระจาย เก้าอี้สาธารณะถูกปัดกระเด็นไปชนกับกระจกร้านค้า เศษกระจกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกอยู่ตามพื้น บางร้านถูกรื้อข้าวของถูกทำลายไม่มีชิ้นดี เหมือนเศษชิ้นอวัยวะของมนุษย์บางส่วนที่ถูกดึงออกมาจากร่างกายเกลื่อนตามท้องถนน
ค่ำคืนนี้มีผู้เสียหายมากมาย แม้ว่า ’เธอ’ จะไม่ใช่คนลงมือเองก็ตามแต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะเธอ
ร่างบางค่อยๆ พยุงตัวขึ้น พยายามออกมาจากตรอกเปลี่ยวนั้น ดวงตาสีดำพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันไปมองภาพในเมืองด้วยความรู้สึกผิดจับใจ
เธอเดินโซซัดโซเซพาร่างของตัวเองไปที่แห่งหนึ่ง มือทั้งสองกุมร่างสั่นเทาเหมือนคนที่หนาวจนจะเป็นไข้ไว้ ทั้งที่คืนนี้ไม่มีแม้กระทั่งลมและยังร้อนยิ่งกว่าคืนใดๆ
ความร้อนเป็นเหตุเสมอ เป็นสิ่งจุดชนวนความโกรธได้เป็นอย่างดี เธอบอกให้พี่ส่งของมา แต่พี่ก็ยังโอ้เอ้ไม่ยอมส่งมาให้เสียที
เพียงชั่วแวบเดียวที่อารมณ์โกรธพุ่งขึ้นจนควบคุมไม่ได้นั่นเอง
ภาพของสัตว์ประหลาดขนาดเท่าหมียักษ์วิ่งออกไปทำร้ายผู้คน เข่นฆ่าคน ยังติดตาเธออยู่อย่างไม่มีวันจะถูกลบเลือน
เท้าของเด็กสาวหยุดลงเมื่อมาอยู่ตรงหน้ารั้วบ้านของใครคนหนึ่งที่ยังมีแสงไฟเปิดอยู่ เธอเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดรวดเร็วราวกับเฝ้ารอเวลานี้อยู่นานแล้ว ใบหน้าของสาวสูงวัยที่เต็มไปด้วยความกังวลฉายชัดสู่สายตาเด็กสาว
“แม่คะ...หนู...” เธอพยายามจะพูด แต่ถูกมืออีกฝ่ายยกขึ้นห้ามเอาไว้
“เข้ามาก่อนเถอะจ้ะ แล้วค่อยคุยกัน”
ทันทีที่เนียร์เข้าไป ก็ต้องพบว่าครอบครัวรัตนากุลยังไม่มีใครนอนหลับ
ห้องสีขาวนี้ถูกกินที่ด้วยโต๊ะทานข้าว มีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ สองในนั้นถูกชายสองคนจับจองไว้แล้ว หนึ่งในนั้นคือ สัน พ่อของเธอที่นั่งตรงข้ามกับพี่ชายของเนียร์ กุลเข้าไปนั่งข้างสามีในขณะที่เนียร์ทรุดลงนั่งข้างพี่ชาย
เนียร์เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เรื่องที่ดูน่าเหลือเชื่อนั่นคงยากที่จะเชื่อหากไม่ได้เห็นด้วยตาจริงๆ แต่พวกเขาทุกคนได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นกับตาตัวเองมาแล้ว จึงไม่สงสัยในสิ่งที่เธอเล่าเลยสักนิด
“แม่คะ...หนูจะถูกตำรวจจับมั้ยคะ” เนียร์ถามเสียงสั่น
“แล้วลูกจะให้เขาจับในข้อหาอะไรล่ะ”
“...ข้อหาฆ่าคนตายยังไงล่ะคะ” เนียร์กอดตัวเองแน่น เมื่อตระหนักได้ว่าความจริงเป็นเช่นนั้น
กุลลุกพรวดตรงเข้าไปกอดปลอบลูกสาวทันที
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ นี่ไม่ใช่ฝีมือของลูกนะ เนียร์”
“แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะหนูนะคะ!” เนียร์เถียง ขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดแล้วจ้องตากุลตรงๆ “พอหนูโกรธ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็วิ่งออกไปอาละวาดในเมือง ถ้าไม่ใช่เพราะหนู...แล้วจะเป็นใครได้อีก” ประโยคหลังนั้นเริ่มอ่อนแรง
ชายที่อยู่ข้างๆ เนียร์ถอนหายใจเสียงดัง พี่ชายที่อายุมากกว่าเนียร์สองปี สีผมของเขาเป็นสีดำแต่กลับมีสีทองแซมเข้ามาไม่เหมือนใคร เขาดูเอือมระอากับสิ่งที่น้องสาวพูด
“แล้วเธอจะไปบอกพวกตำรวจรึไงว่า ‘หนูเป็นคนปล่อยสัตว์ประหลาดนั่นออกมาฆ่าคนค่ะ จับหนูสิคะ’ อย่างนั้นน่ะเหรอ ใครมันจะเชื่อว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่จริง”
“แต่พี่ก็เห็นไม่ใช่เหรอว่ามันมีอยู่จริง!”
เขาอ้าปากตั้งท่าจะพูดบางอย่างต่อ แต่ผู้หญิงอีกคนกลับห้ามไว้เสียก่อน
“ทิน! อย่าทำให้น้องต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย”
“เชอะ ก็แค่พูดตามความจริง” ทินบ่นอุบอิบจับมือขึ้นเสยผมสีดำแซมทองของตัวเองอย่างขัดใจ
“แล้วลูกรู้ได้ยังไงว่าสัตว์ประหลาดนั่นเกี่ยวข้องกับลูก” สันถามบ้าง
เนียร์เงียบไปพักหนึ่งเพื่อใช้เวลาคิด
“มัน...ตอนที่มันอยู่ในเมือง มันคลั่งมากเลยค่ะ แต่ว่า...พอมันเห็นหนูกลับสงบลงได้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันต้องเกี่ยวอะไรกับหนูแน่ๆ” น้ำเสียงสั่นเครืออย่างที่น้อยครั้งที่ลูกสาวของบ้านนี้จะเป็น ทำให้บทสนทนาต้องจบลงเพียงแค่นั้นด้วยการบอกให้เนียร์ขึ้นไปนอน
เนียร์ทำท่าจะปฏิเสธ เธอจะปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผ่านไปโดยไม่รับผิดชอบชีวิตของผู้คนที่ต้องมาตายเพราะเธอเชียวเหรอ
“ยังไงตอนนี้ลูกก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไปนอนพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน...นะ” กุลวอนทำให้เนียร์ไม่กล้าขัดแล้วยอมขึ้นไปนอนในห้องบนชั้นสองแต่โดยดี
“แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะกุล” สันถาม แม้แต่ตัวเขายังจนปัญญาจะแก้ไขเรื่องนี้ อย่าว่าแต่แก้ไขเลย สาเหตุของเรื่องเองก็ยังไม่รู้
ทั้งสันทั้งกุลต่างหนักใจ เห็นจะมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก
“แต่ก็ดีเหมือนกันนี่ ถ้าสัตว์นั่นมีเนียร์เป็นเจ้าของ คราวนี้บ้านเราก็เท่ไปเลย มีสัตว์ประหลาดไว้เป็นสัตว์เลี้ยง”
“ทิน!!” ทั้งคู่ร้องพร้อมกัน
“งั้นผมไปนอนก่อนละกัน” ทินรีบชิ่งหนีไปก่อนที่ผู้ปกครองทั้งสองจะได้ว่าอะไรอีก ไม่นานสันกับกุลที่จนปัญญากับเรื่องนี้เช่นกันก็ปิดไฟแล้วขึ้นไปนอนพักตามลูกๆ
ทุกคนเข้านอนแล้ว แต่เสียงแว่วมาจากภายนอกยังดังไม่หยุด ภายในเมืองที่สับสนวุ่นวายแม้จะอยากหลับอย่างไร ก็คงเป็นไปไม่ได้
เนียร์ยังคงลืมตาอยู่บนเตียง เธอเห็นภาพคนถูกฆ่าตายแบบนั้นคงยากที่จะข่มตาให้หลับ ดวงตาสีดำเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง จ้องมองท้องฟ้าในคืนมืดที่ไร้ทั้งเดือนและดาว
เธอไม่รู้หรอกว่าภายในเมืองนี้ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเช่นกัน
ในยามค่ำคืนเดียวกัน เกิดเรื่องเหมือนกัน โดยฝีมือคนล่ะคน!!
“ วารีไหล...เอ่อล้น
วายุพัด...โหมกระหน่ำ
อัคคีลุกโชน...ทำลายทุกสิ่ง
แมกไม้พงไพร...กวาดล้างไม่เหลือ ”
เสียงทำนองดังแว่วมาอีกครั้ง แต่ครานี้กลับมีเสียงหัวเราะเยียบเย็นแฝงมาด้วย
ปล.ตอนไหนที่ดูโหดเกินไปขออภัยด้วยนะครับ
ปลล.เชิญวิจารณ์ตามสะดวกเลยครับผม
ปลลล. มีใครรู้วิธีย่อหน้าง่ายๆ บ้างมั้ยคร้าบบบ พยายามใช้ tab แต่เหมือนจะใช้ในนี้ไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีเคาะเว้นวรรคเอาอย่างรากเลือดเล็กน้อย
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะครับผม
Be Careful!! เด็กอันตราย ตอนแรก (แนวแฟนตาซี)
ผม afit(เอฟิธ) เพิ่งเคยลงนิยายลงในพันธ์ทิพย์เป็นครั้งแรก
ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับผม
เรื่องย่อ
เรื่องราวของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่จู่ๆก็ได้รับพลังประหลาดเข้ามา ทำให้มีความสามารถเหนือมนุษย์ และใช้พลังจากธรรมชาติได้ พวกเขาเป็นทั้งเด็กธรรมดาและทั้งเด็กมีปัญหาที่ล้วนมีเป้าหมายชัดเจน เพื่อปกป้อง...เพื่อทำลาย...เพื่อเปลี่ยนแปลง
หากความปรารถนาของผู้ใดกันจะถูกทำให้เป็นจริง
เหตุการณ์ประหลาด
“ น้ำ...ไหลริน
ลม...พัดโชย
ไฟ...โชติช่วง
ไม้...ร่มเงา ”
เสียงเปล่งออกมาเป็นท่วงทำนอง ลอยไปตามสายลมเพื่อค้นหาบางสิ่ง...บางสิ่งที่ได้รับการถูกเลือก
“ไม่จริง...ไม่... ”
ร่างบางแอบหลบอยู่ในตรอกแคบอาศัยความมืดในยามราตรีเป็นที่พรางกายไม่ให้ใครพบเห็น ทั้งร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังพยายามควบคุมสติไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้
คืนนี้คงจะสงบเหมือนทุกคืนถ้าไม่มีเสียงไซเรนจากรถตำรวจและโรงพยาบาลสลับกับเสียงร้องของผู้คน
เสียงร่ำไห้และเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังอยู่ท่ามกลางข้าวของที่กระจัดกระจาย เก้าอี้สาธารณะถูกปัดกระเด็นไปชนกับกระจกร้านค้า เศษกระจกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกอยู่ตามพื้น บางร้านถูกรื้อข้าวของถูกทำลายไม่มีชิ้นดี เหมือนเศษชิ้นอวัยวะของมนุษย์บางส่วนที่ถูกดึงออกมาจากร่างกายเกลื่อนตามท้องถนน
ค่ำคืนนี้มีผู้เสียหายมากมาย แม้ว่า ’เธอ’ จะไม่ใช่คนลงมือเองก็ตามแต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะเธอ
ร่างบางค่อยๆ พยุงตัวขึ้น พยายามออกมาจากตรอกเปลี่ยวนั้น ดวงตาสีดำพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันไปมองภาพในเมืองด้วยความรู้สึกผิดจับใจ
เธอเดินโซซัดโซเซพาร่างของตัวเองไปที่แห่งหนึ่ง มือทั้งสองกุมร่างสั่นเทาเหมือนคนที่หนาวจนจะเป็นไข้ไว้ ทั้งที่คืนนี้ไม่มีแม้กระทั่งลมและยังร้อนยิ่งกว่าคืนใดๆ
ความร้อนเป็นเหตุเสมอ เป็นสิ่งจุดชนวนความโกรธได้เป็นอย่างดี เธอบอกให้พี่ส่งของมา แต่พี่ก็ยังโอ้เอ้ไม่ยอมส่งมาให้เสียที
เพียงชั่วแวบเดียวที่อารมณ์โกรธพุ่งขึ้นจนควบคุมไม่ได้นั่นเอง
ภาพของสัตว์ประหลาดขนาดเท่าหมียักษ์วิ่งออกไปทำร้ายผู้คน เข่นฆ่าคน ยังติดตาเธออยู่อย่างไม่มีวันจะถูกลบเลือน
เท้าของเด็กสาวหยุดลงเมื่อมาอยู่ตรงหน้ารั้วบ้านของใครคนหนึ่งที่ยังมีแสงไฟเปิดอยู่ เธอเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดรวดเร็วราวกับเฝ้ารอเวลานี้อยู่นานแล้ว ใบหน้าของสาวสูงวัยที่เต็มไปด้วยความกังวลฉายชัดสู่สายตาเด็กสาว
“แม่คะ...หนู...” เธอพยายามจะพูด แต่ถูกมืออีกฝ่ายยกขึ้นห้ามเอาไว้
“เข้ามาก่อนเถอะจ้ะ แล้วค่อยคุยกัน”
ทันทีที่เนียร์เข้าไป ก็ต้องพบว่าครอบครัวรัตนากุลยังไม่มีใครนอนหลับ
ห้องสีขาวนี้ถูกกินที่ด้วยโต๊ะทานข้าว มีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ สองในนั้นถูกชายสองคนจับจองไว้แล้ว หนึ่งในนั้นคือ สัน พ่อของเธอที่นั่งตรงข้ามกับพี่ชายของเนียร์ กุลเข้าไปนั่งข้างสามีในขณะที่เนียร์ทรุดลงนั่งข้างพี่ชาย
เนียร์เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เรื่องที่ดูน่าเหลือเชื่อนั่นคงยากที่จะเชื่อหากไม่ได้เห็นด้วยตาจริงๆ แต่พวกเขาทุกคนได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นกับตาตัวเองมาแล้ว จึงไม่สงสัยในสิ่งที่เธอเล่าเลยสักนิด
“แม่คะ...หนูจะถูกตำรวจจับมั้ยคะ” เนียร์ถามเสียงสั่น
“แล้วลูกจะให้เขาจับในข้อหาอะไรล่ะ”
“...ข้อหาฆ่าคนตายยังไงล่ะคะ” เนียร์กอดตัวเองแน่น เมื่อตระหนักได้ว่าความจริงเป็นเช่นนั้น
กุลลุกพรวดตรงเข้าไปกอดปลอบลูกสาวทันที
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ นี่ไม่ใช่ฝีมือของลูกนะ เนียร์”
“แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะหนูนะคะ!” เนียร์เถียง ขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดแล้วจ้องตากุลตรงๆ “พอหนูโกรธ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็วิ่งออกไปอาละวาดในเมือง ถ้าไม่ใช่เพราะหนู...แล้วจะเป็นใครได้อีก” ประโยคหลังนั้นเริ่มอ่อนแรง
ชายที่อยู่ข้างๆ เนียร์ถอนหายใจเสียงดัง พี่ชายที่อายุมากกว่าเนียร์สองปี สีผมของเขาเป็นสีดำแต่กลับมีสีทองแซมเข้ามาไม่เหมือนใคร เขาดูเอือมระอากับสิ่งที่น้องสาวพูด
“แล้วเธอจะไปบอกพวกตำรวจรึไงว่า ‘หนูเป็นคนปล่อยสัตว์ประหลาดนั่นออกมาฆ่าคนค่ะ จับหนูสิคะ’ อย่างนั้นน่ะเหรอ ใครมันจะเชื่อว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่จริง”
“แต่พี่ก็เห็นไม่ใช่เหรอว่ามันมีอยู่จริง!”
เขาอ้าปากตั้งท่าจะพูดบางอย่างต่อ แต่ผู้หญิงอีกคนกลับห้ามไว้เสียก่อน
“ทิน! อย่าทำให้น้องต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย”
“เชอะ ก็แค่พูดตามความจริง” ทินบ่นอุบอิบจับมือขึ้นเสยผมสีดำแซมทองของตัวเองอย่างขัดใจ
“แล้วลูกรู้ได้ยังไงว่าสัตว์ประหลาดนั่นเกี่ยวข้องกับลูก” สันถามบ้าง
เนียร์เงียบไปพักหนึ่งเพื่อใช้เวลาคิด
“มัน...ตอนที่มันอยู่ในเมือง มันคลั่งมากเลยค่ะ แต่ว่า...พอมันเห็นหนูกลับสงบลงได้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันต้องเกี่ยวอะไรกับหนูแน่ๆ” น้ำเสียงสั่นเครืออย่างที่น้อยครั้งที่ลูกสาวของบ้านนี้จะเป็น ทำให้บทสนทนาต้องจบลงเพียงแค่นั้นด้วยการบอกให้เนียร์ขึ้นไปนอน
เนียร์ทำท่าจะปฏิเสธ เธอจะปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผ่านไปโดยไม่รับผิดชอบชีวิตของผู้คนที่ต้องมาตายเพราะเธอเชียวเหรอ
“ยังไงตอนนี้ลูกก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไปนอนพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน...นะ” กุลวอนทำให้เนียร์ไม่กล้าขัดแล้วยอมขึ้นไปนอนในห้องบนชั้นสองแต่โดยดี
“แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะกุล” สันถาม แม้แต่ตัวเขายังจนปัญญาจะแก้ไขเรื่องนี้ อย่าว่าแต่แก้ไขเลย สาเหตุของเรื่องเองก็ยังไม่รู้
ทั้งสันทั้งกุลต่างหนักใจ เห็นจะมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก
“แต่ก็ดีเหมือนกันนี่ ถ้าสัตว์นั่นมีเนียร์เป็นเจ้าของ คราวนี้บ้านเราก็เท่ไปเลย มีสัตว์ประหลาดไว้เป็นสัตว์เลี้ยง”
“ทิน!!” ทั้งคู่ร้องพร้อมกัน
“งั้นผมไปนอนก่อนละกัน” ทินรีบชิ่งหนีไปก่อนที่ผู้ปกครองทั้งสองจะได้ว่าอะไรอีก ไม่นานสันกับกุลที่จนปัญญากับเรื่องนี้เช่นกันก็ปิดไฟแล้วขึ้นไปนอนพักตามลูกๆ
ทุกคนเข้านอนแล้ว แต่เสียงแว่วมาจากภายนอกยังดังไม่หยุด ภายในเมืองที่สับสนวุ่นวายแม้จะอยากหลับอย่างไร ก็คงเป็นไปไม่ได้
เนียร์ยังคงลืมตาอยู่บนเตียง เธอเห็นภาพคนถูกฆ่าตายแบบนั้นคงยากที่จะข่มตาให้หลับ ดวงตาสีดำเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง จ้องมองท้องฟ้าในคืนมืดที่ไร้ทั้งเดือนและดาว
เธอไม่รู้หรอกว่าภายในเมืองนี้ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเช่นกัน
ในยามค่ำคืนเดียวกัน เกิดเรื่องเหมือนกัน โดยฝีมือคนล่ะคน!!
วายุพัด...โหมกระหน่ำ
อัคคีลุกโชน...ทำลายทุกสิ่ง
แมกไม้พงไพร...กวาดล้างไม่เหลือ ”
เสียงทำนองดังแว่วมาอีกครั้ง แต่ครานี้กลับมีเสียงหัวเราะเยียบเย็นแฝงมาด้วย
ปล.ตอนไหนที่ดูโหดเกินไปขออภัยด้วยนะครับ
ปลล.เชิญวิจารณ์ตามสะดวกเลยครับผม
ปลลล. มีใครรู้วิธีย่อหน้าง่ายๆ บ้างมั้ยคร้าบบบ พยายามใช้ tab แต่เหมือนจะใช้ในนี้ไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีเคาะเว้นวรรคเอาอย่างรากเลือดเล็กน้อย
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะครับผม