Be Careful!! เด็กอันตราย ตอนแรก (แนวแฟนตาซี)

สวัสดีครับทุกท่านที่ให้ความกรุณาเปิดเข้ามาอ่าน
ผม afit(เอฟิธ) เพิ่งเคยลงนิยายลงในพันธ์ทิพย์เป็นครั้งแรก
ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับผม

เรื่องย่อ
เรื่องราวของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่จู่ๆก็ได้รับพลังประหลาดเข้ามา ทำให้มีความสามารถเหนือมนุษย์ และใช้พลังจากธรรมชาติได้  พวกเขาเป็นทั้งเด็กธรรมดาและทั้งเด็กมีปัญหาที่ล้วนมีเป้าหมายชัดเจน  เพื่อปกป้อง...เพื่อทำลาย...เพื่อเปลี่ยนแปลง
หากความปรารถนาของผู้ใดกันจะถูกทำให้เป็นจริง




1
เหตุการณ์ประหลาด

“  น้ำ...ไหลริน
    ลม...พัดโชย
    ไฟ...โชติช่วง
    ไม้...ร่มเงา   ”

                    เสียงเปล่งออกมาเป็นท่วงทำนอง  ลอยไปตามสายลมเพื่อค้นหาบางสิ่ง...บางสิ่งที่ได้รับการถูกเลือก

                    “ไม่จริง...ไม่... ”
                    
                    ร่างบางแอบหลบอยู่ในตรอกแคบอาศัยความมืดในยามราตรีเป็นที่พรางกายไม่ให้ใครพบเห็น  ทั้งร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว  แต่ก็ยังพยายามควบคุมสติไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้

                    คืนนี้คงจะสงบเหมือนทุกคืนถ้าไม่มีเสียงไซเรนจากรถตำรวจและโรงพยาบาลสลับกับเสียงร้องของผู้คน

                    เสียงร่ำไห้และเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังอยู่ท่ามกลางข้าวของที่กระจัดกระจาย  เก้าอี้สาธารณะถูกปัดกระเด็นไปชนกับกระจกร้านค้า  เศษกระจกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกอยู่ตามพื้น  บางร้านถูกรื้อข้าวของถูกทำลายไม่มีชิ้นดี  เหมือนเศษชิ้นอวัยวะของมนุษย์บางส่วนที่ถูกดึงออกมาจากร่างกายเกลื่อนตามท้องถนน

                    ค่ำคืนนี้มีผู้เสียหายมากมาย  แม้ว่า ’เธอ’ จะไม่ใช่คนลงมือเองก็ตามแต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะเธอ

                    ร่างบางค่อยๆ พยุงตัวขึ้น  พยายามออกมาจากตรอกเปลี่ยวนั้น  ดวงตาสีดำพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันไปมองภาพในเมืองด้วยความรู้สึกผิดจับใจ

                    เธอเดินโซซัดโซเซพาร่างของตัวเองไปที่แห่งหนึ่ง  มือทั้งสองกุมร่างสั่นเทาเหมือนคนที่หนาวจนจะเป็นไข้ไว้  ทั้งที่คืนนี้ไม่มีแม้กระทั่งลมและยังร้อนยิ่งกว่าคืนใดๆ

                    ความร้อนเป็นเหตุเสมอ  เป็นสิ่งจุดชนวนความโกรธได้เป็นอย่างดี  เธอบอกให้พี่ส่งของมา  แต่พี่ก็ยังโอ้เอ้ไม่ยอมส่งมาให้เสียที
เพียงชั่วแวบเดียวที่อารมณ์โกรธพุ่งขึ้นจนควบคุมไม่ได้นั่นเอง

                    ภาพของสัตว์ประหลาดขนาดเท่าหมียักษ์วิ่งออกไปทำร้ายผู้คน  เข่นฆ่าคน  ยังติดตาเธออยู่อย่างไม่มีวันจะถูกลบเลือน

                    เท้าของเด็กสาวหยุดลงเมื่อมาอยู่ตรงหน้ารั้วบ้านของใครคนหนึ่งที่ยังมีแสงไฟเปิดอยู่   เธอเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น  เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดรวดเร็วราวกับเฝ้ารอเวลานี้อยู่นานแล้ว  ใบหน้าของสาวสูงวัยที่เต็มไปด้วยความกังวลฉายชัดสู่สายตาเด็กสาว

                    “แม่คะ...หนู...”  เธอพยายามจะพูด  แต่ถูกมืออีกฝ่ายยกขึ้นห้ามเอาไว้

                    “เข้ามาก่อนเถอะจ้ะ  แล้วค่อยคุยกัน”

                    ทันทีที่เนียร์เข้าไป  ก็ต้องพบว่าครอบครัวรัตนากุลยังไม่มีใครนอนหลับ

                    ห้องสีขาวนี้ถูกกินที่ด้วยโต๊ะทานข้าว  มีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ  สองในนั้นถูกชายสองคนจับจองไว้แล้ว  หนึ่งในนั้นคือ สัน พ่อของเธอที่นั่งตรงข้ามกับพี่ชายของเนียร์  กุลเข้าไปนั่งข้างสามีในขณะที่เนียร์ทรุดลงนั่งข้างพี่ชาย

                    เนียร์เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นทั้งหมดให้ทุกคนฟัง  เรื่องที่ดูน่าเหลือเชื่อนั่นคงยากที่จะเชื่อหากไม่ได้เห็นด้วยตาจริงๆ แต่พวกเขาทุกคนได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นกับตาตัวเองมาแล้ว  จึงไม่สงสัยในสิ่งที่เธอเล่าเลยสักนิด

                    “แม่คะ...หนูจะถูกตำรวจจับมั้ยคะ”  เนียร์ถามเสียงสั่น

                    “แล้วลูกจะให้เขาจับในข้อหาอะไรล่ะ”

                    “...ข้อหาฆ่าคนตายยังไงล่ะคะ”  เนียร์กอดตัวเองแน่น  เมื่อตระหนักได้ว่าความจริงเป็นเช่นนั้น

                    กุลลุกพรวดตรงเข้าไปกอดปลอบลูกสาวทันที

                   “อย่าคิดอย่างนั้นสิ  นี่ไม่ใช่ฝีมือของลูกนะ  เนียร์”

                   “แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะหนูนะคะ!”  เนียร์เถียง  ขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดแล้วจ้องตากุลตรงๆ  “พอหนูโกรธ  สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็วิ่งออกไปอาละวาดในเมือง  ถ้าไม่ใช่เพราะหนู...แล้วจะเป็นใครได้อีก”  ประโยคหลังนั้นเริ่มอ่อนแรง

                   ชายที่อยู่ข้างๆ เนียร์ถอนหายใจเสียงดัง  พี่ชายที่อายุมากกว่าเนียร์สองปี  สีผมของเขาเป็นสีดำแต่กลับมีสีทองแซมเข้ามาไม่เหมือนใคร  เขาดูเอือมระอากับสิ่งที่น้องสาวพูด  

                  “แล้วเธอจะไปบอกพวกตำรวจรึไงว่า ‘หนูเป็นคนปล่อยสัตว์ประหลาดนั่นออกมาฆ่าคนค่ะ  จับหนูสิคะ’ อย่างนั้นน่ะเหรอ  ใครมันจะเชื่อว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่จริง”  

                  “แต่พี่ก็เห็นไม่ใช่เหรอว่ามันมีอยู่จริง!”  

                  เขาอ้าปากตั้งท่าจะพูดบางอย่างต่อ  แต่ผู้หญิงอีกคนกลับห้ามไว้เสียก่อน

                 “ทิน! อย่าทำให้น้องต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย”

                 “เชอะ  ก็แค่พูดตามความจริง”  ทินบ่นอุบอิบจับมือขึ้นเสยผมสีดำแซมทองของตัวเองอย่างขัดใจ

                 “แล้วลูกรู้ได้ยังไงว่าสัตว์ประหลาดนั่นเกี่ยวข้องกับลูก”  สันถามบ้าง

                 เนียร์เงียบไปพักหนึ่งเพื่อใช้เวลาคิด  

                 “มัน...ตอนที่มันอยู่ในเมือง  มันคลั่งมากเลยค่ะ  แต่ว่า...พอมันเห็นหนูกลับสงบลงได้  แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันต้องเกี่ยวอะไรกับหนูแน่ๆ”  น้ำเสียงสั่นเครืออย่างที่น้อยครั้งที่ลูกสาวของบ้านนี้จะเป็น  ทำให้บทสนทนาต้องจบลงเพียงแค่นั้นด้วยการบอกให้เนียร์ขึ้นไปนอน

                 เนียร์ทำท่าจะปฏิเสธ  เธอจะปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผ่านไปโดยไม่รับผิดชอบชีวิตของผู้คนที่ต้องมาตายเพราะเธอเชียวเหรอ

                 “ยังไงตอนนี้ลูกก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว  ไปนอนพักก่อนเถอะ  พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน...นะ”  กุลวอนทำให้เนียร์ไม่กล้าขัดแล้วยอมขึ้นไปนอนในห้องบนชั้นสองแต่โดยดี

                 “แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะกุล”  สันถาม  แม้แต่ตัวเขายังจนปัญญาจะแก้ไขเรื่องนี้  อย่าว่าแต่แก้ไขเลย  สาเหตุของเรื่องเองก็ยังไม่รู้
ทั้งสันทั้งกุลต่างหนักใจ  เห็นจะมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก

                 “แต่ก็ดีเหมือนกันนี่  ถ้าสัตว์นั่นมีเนียร์เป็นเจ้าของ  คราวนี้บ้านเราก็เท่ไปเลย  มีสัตว์ประหลาดไว้เป็นสัตว์เลี้ยง”

                 “ทิน!!”  ทั้งคู่ร้องพร้อมกัน

                 “งั้นผมไปนอนก่อนละกัน”  ทินรีบชิ่งหนีไปก่อนที่ผู้ปกครองทั้งสองจะได้ว่าอะไรอีก  ไม่นานสันกับกุลที่จนปัญญากับเรื่องนี้เช่นกันก็ปิดไฟแล้วขึ้นไปนอนพักตามลูกๆ

                 ทุกคนเข้านอนแล้ว  แต่เสียงแว่วมาจากภายนอกยังดังไม่หยุด  ภายในเมืองที่สับสนวุ่นวายแม้จะอยากหลับอย่างไร  ก็คงเป็นไปไม่ได้
เนียร์ยังคงลืมตาอยู่บนเตียง  เธอเห็นภาพคนถูกฆ่าตายแบบนั้นคงยากที่จะข่มตาให้หลับ  ดวงตาสีดำเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง  จ้องมองท้องฟ้าในคืนมืดที่ไร้ทั้งเดือนและดาว

                 เธอไม่รู้หรอกว่าภายในเมืองนี้ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเช่นกัน  

                 ในยามค่ำคืนเดียวกัน  เกิดเรื่องเหมือนกัน  โดยฝีมือคนล่ะคน!!


“  วารีไหล...เอ่อล้น
    วายุพัด...โหมกระหน่ำ
     อัคคีลุกโชน...ทำลายทุกสิ่ง
     แมกไม้พงไพร...กวาดล้างไม่เหลือ  ”


                 เสียงทำนองดังแว่วมาอีกครั้ง  แต่ครานี้กลับมีเสียงหัวเราะเยียบเย็นแฝงมาด้วย




ปล.ตอนไหนที่ดูโหดเกินไปขออภัยด้วยนะครับ
ปลล.เชิญวิจารณ์ตามสะดวกเลยครับผม
ปลลล. มีใครรู้วิธีย่อหน้าง่ายๆ บ้างมั้ยคร้าบบบ พยายามใช้ tab แต่เหมือนจะใช้ในนี้ไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีเคาะเว้นวรรคเอาอย่างรากเลือดเล็กน้อย

ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะครับผม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่