Be Careful!! เด็กอันตราย ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
ตอนแรกhttp://ppantip.com/topic/33309892




2
พี่ชายจอมกวน


                     พระอาทิตย์สดใสพ้นจากขอบฟ้าอีกครั้งเพื่อบอกวันใหม่เหมือนอย่างเคย  แต่...จิตใจของใครบางคนยังคงมืดมนจนหาทางออกไม่เจอไม่ต่างจากวันวาน

                     วันนี้ครอบครัวรัตนากุลก็ยังเริ่มต้นขึ้นเหมือนทุกวัน  กุลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารให้ทุกคนทาน  สันรีบแต่งตัวลงมานั่งทานข้าวเช้าที่ภรรยาทำให้เพื่อเตรียมตัวไปทำงาน

                     ชีวิตอันแสนเรียบง่าย...แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงยามคิดถึงเรื่องเมื่อคืน

                     “โชคดีนะที่ช่วงนี้ปิดเทอม  ไม่งั้นคงแย่”  กุลพูดขณะวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าสัน

                     สันยกหนังสือพิมพ์ของเช้านี้ขึ้นมาอ่านทุกตัวอักษร  มีกุลยืนลุ้นตัวโก่งอยู่ข้างๆ  แต่สุดท้ายเขาก็วางหนังสือพิมพ์ลงพร้อมส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่มีข่าวที่พวกเขากังวลมาตลอดเช้านี้

                     หญิงสาวถอนหายใจ  โล่งอกก็จริงอยู่  ทว่าความสงสัยก็มีตามมาทันที  “แปลกจังมีคนตายแท้ๆ  ทำไมถึงไม่มีข่าวนะ”  

                     “หึ  เขาคงกลัวว่าประชาชนตาดำๆ จะกลัวจนหัวหดล่ะมั้ง”

                     ทั้งกุลและสันหันไปทางต้นเสียง  เห็นลูกชายคนโตเพิ่งลงมาจากชั้นสอง  มือวางพาดบันไดอีกข้างใช้ปิดปากหาว  ผมสีดำที่ไปย้อมสีทองแซมเข้ามาดูยุ่งไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่นนอน

                     “กินข้าวเช้าได้แล้วนะทิน”  กุลชี้อาหารที่วางเรียงรายบนโต๊ะ

                     ทินเดินเข้ามาดูว่ามีอะไรกินบ้าง  มีข้าวเปล่าสองจานวางอยู่  ของเขาจานหนึ่ง  พ่อกับแม่ก็คงกินกันแล้ว  แสดงว่าอีกจานก็ต้องเป็นของ...  
”เนียร์ยังไม่ลงมาอีกเหรอครับ”  เขาถามขณะนั่งลง

                     สีหน้าของกุลส่อแววกังวลขึ้นมาอีกครั้ง  มองไปทางห้องพักผ่อนของบ้าน  “ลงมาแล้วล่ะ  แต่ยังไม่ยอมมากินเลย”
ทินพยักหน้ารับรู้ก่อนจะวางแผนบางอย่างในใจ  แต่กลับถูกสันขัดขึ้นเสียก่อน

                     “อย่าห่วงน้องเลย  ห่วงตัวเองก่อนเถอะ  อยู่ม.6 แล้วก็ตั้งใจเรียนหน่อยละ”  ถึงจะเกิดเรื่องใหญ่อย่างเมื่อวาน  สันก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ความเป็นพ่อง่ายๆ

                     “คร้าบ”  ทินลากเสียงยาว  ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา  สันที่รู้นิสัยของลูกชายดีจึงพูดดักไว้ก่อน  “อย่าให้ฉันเห็นว่าเข้ามหาฯลัยไม่ได้ก็แล้วกัน”

                     “ครับ”  เขาลากเสียงเหมือนเดิม  ก่อนพึมพำ  “ความจริงไม่เห็นต้องอ่านก็ได้”

                     “มั่นใจในตัวเองนักนะเรา”  สันที่ยังได้ยินส่งเสียงหัวเราะลั่น  ช่วยลดความตึงเครียดเป็นอย่างดี  เขารู้ดีว่าทินไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน  ถึงจะได้รับโทรศัพท์จากทางโรงเรียนอยู่บ่อยๆ ว่าทินชอบโดดเรียนก็เถอะ  แต่ทินก็ยังสอบได้เกรดสี่ทุกวิชาอยู่ดี  ไม่รู้ว่าได้เชื้อฉลาดมาจากใคร  หึๆ

                     “ผมคงไม่ได้เชื้อฉลาดมาจากพ่อหรอก”  ทินพูดเหมือนจะรู้ใจคนเป็นพ่อ

                     คนโดนรู้ใจแทบสำลักกาแฟที่ตัวเองดื่มอยู่  แล้วแสร้งทำเป็นกระแอมไอกลับมาเก๊กท่าหนุ่มบริษัทสุดขรึมต่อ

                     ทินรู้ว่าสันพยายามทำตัวเป็นพ่อและหัวหน้าครอบครัวที่ดีมากแค่ไหน  เขาจึงไม่คิดทำตัวเหลวแหลกไปมากกว่านี้  อย่างน้อย...ก็ขอโดดแค่วิชาที่ไม่ชอบเท่านั้นเอง  ถ้าเพียงแต่...วิชาที่เขาไม่ชอบมันครบวิชาหลักคณิต-วิทย์ละก็นะ

                     หลังจากทานข้าวเสร็จ  สันก็บอกลาทุกคนในบ้านก่อนจะขับรถออกไปทำงาน  ทินหันมาสนใจข้าวตรงหน้าของตัวเองบ้าง  “แล้วแม่จะเอาไง  เรื่องเนียร์”  เขาถาม

                     กุลถอนใจ  “ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่านี้  ก็คงต้องปล่อยไปแล้วล่ะ”  เธอหันไปมองห้องที่เนียร์อยู่ด้วยความเคยตัว  เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาได้ยินเสียงลูกชายรวบช้อนส้อมเก็บจานไปล้างพอดี

                     “อิ่มแล้วครับ”

                     กุลอมยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อยๆ  กับการจัดการอาหารในเวลาอันรวดเร็วที่เหมือนสูบเข้าไปมากกว่าจะเรียกว่าทาน  บางที...’หลุมดำ’ อาจจะเหมาะเป็นชื่อมากกว่า ‘ทิวกาล’ ซะล่ะมั้ง


                      คนที่กำลังจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นหลุมดำมาถึงห้องพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว  เป็นห้องไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังดี  ฝั่งหนึ่งเป็นโทรทัศน์จอใหญ่พร้อมเครื่องเล่นต่างๆ วางอยู่ในชั้นวางโต๊ะที่ยังว่างอยู่  ด้านตรงข้ามเป็นโซฟายาวคู่บ้านตั้งแต่สร้างมา  สภาพจึงค่อนข้างถลอกปอกเปิก  อย่างน้อยสปริงข้างในไม่โผล่ออกมาเป็นใช้ได้

                      ด้านข้างโซฟามีโต๊ะตัวเล็กสำหรับวางหนังสือจำพวกการ์ตูนหรือไม่ก็เกมวางกองอยู่จนเรียกได้ว่ารก  ส่วนหนังสือเรียนส่วนใหญ่ถูกอัปเปหิไปไว้ในห้องเก็บของ

                      ทินมองเด็กสาวที่นั่งกอดหมอนบนโซฟา  ท่าทางจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขาอยู่ตรงนี้  จึงส่งเสียงทักไปก่อน

                      “ไม่ไปกินข้าวรึไง  หรือกะเก็บไว้ให้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นกัน”  

                      เนียร์มองอีกฝ่ายด้วยหางตาอย่างขุ่นเคือง  “ถ้าจะมากวนละก็...ไปไกลๆ เลย”

                      ร่างสูงล้มตัวลงนั่ง  จนเสียงสปริงของโซฟาดังออกมาอย่างน่ากลัวว่าจะพังเอา  เขานั่งไขว่ห้างมือทั้งสองพาดบนโซฟาแบบเอาสบายเต็มที่

                     “ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้นะ  ตัวเองเป็นเจ้าของมันแท้ๆ”

                     “ทิน  อย่ามายั่วโมโหฉันนะ”  เนียร์เอ่ยเสียงแข็ง  หน้าตาเอาเรื่องบ่งบอกว่าไม่ขำกับคำล้อนั่น  ในขณะที่อีกฝ่ายยังยิ้มให้อย่างใจเย็น

                     “ก็ลองโกรธดูสิ  เผื่อๆ ประหลาดตัวนั้นจะอาละวาดขึ้นมาอีกสักรอบ  เชิญเลย  ฉันเองก็อยากเห็นเหมือนกัน”  เขาท้าทาย  แต่เนียร์ไม่อยากลองดีจึงพยายามข่มใจให้เย็นลงแล้วกอดหมอนไว้แน่น

                     “เอาน่าเนียร์  มันก็ไม่ได้แย่นักหรอกที่จะมีสัตว์ประหลาดเลี้ยงไว้สักตัว”

                     “นายไม่ได้เห็นมันฆ่าคนนี่ถึงพูดได้  แล้วตอนนี้มันไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้  อาจจะหนีไปแล้วก็ได้มั้ง”  เนียร์หวังไว้อย่างนั้น  แต่อีกคนกลับคิดอีกแบบ

                     “มันมีเธอเป็นเจ้าของ  คงไม่หนีไปไหนหรอก”

                     “ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของมัน”  เนียร์ประกาศกร้าว

                     “อ้าว  ไหนเมื่อคืนบอกว่าใช่ไงล่ะ  อืม...ฉันว่าเธอไปให้หมอตรวจสมองบ้างก็ดีนะ  เผื่อมีตรงไหนได้รับกระทบกระเทือน”

                     เนียร์นับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างอดทน  พลางจ้องโทรทัศน์ตรงหน้าคล้ายว่าหากตัวเองมีพลังจิต  มันคงฉายภาพเธอกำลังกระทืบคนข้างตัวอยู่นี่เอง

                     เธอไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหนและมาได้อย่างไร  สิ่งที่รู้ในตอนนี้คือมันจะอาละวาดหากเธอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้  และเธอก็ทำอะไรเพื่อชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยสักอย่างเดียว

                     ชีวิต...ที่เธอพรากมันไป  เธอทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนี้และหวังว่าพวกเขาจะไม่อาฆาตแค้นตัวเอง

                     เมื่อคิดถึงตรงนี้เนียร์ก็เม้มปากแน่น  กอดหมอนแน่นขึ้นราวกับอยากได้ที่ยึดหลัก  

                     เอาอีกแล้ว...ความรู้สึกในตอนนั้นมันเกิดขึ้นมาอีกแล้ว...

                     ความรู้สึกผิดท่วมท้นจนไม่อาจทานไหว

                     “...หนักมั้ย”  จู่ๆ ทินก็ถามขึ้นมา  เนียร์มองเขา  สายตาสื่อถึงความไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาถาม  “สิ่งที่เธอแบกไว้อยู่น่ะ  หนักมั้ย”  
แววตาและน้ำเสียงของทินไม่ได้สื่อว่าจะยั่วหรือหยอกล้อเลยแม้แต่น้อย

                     “ฉัน...”  เนียร์ไม่อาจตอบได้ในทันที

                     สิ่งที่เธอกำลังแบกอยู่นั้นคือ...ความผิดที่เป็นเสมือนบาปติดตัวและยากที่จะลบออกไปจากใจ

                     “...หนัก  หนักมากเลยละ”  เนียร์ก้มหน้า  ความทรมานอัดแน่นอยู่ในอก  เล็บจิกหมอนแรงหวังให้มันช่วยลดทอนความรู้สึก  “จนฉันรับไม่ไหวแล้ว  ฉัน...”  

                     “โห  น้ำหนักเธอมันมากขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย  มิน่าล่ะถึงได้ไม่ยอมกินข้าว  ถ้าจะไดเอ็ทล่ะก็  ฉันจะเอาใจช่วยละกันนะ”

                     “หา?”  เนียร์ทำหน้าเหวอไปครู่จนเมื่อประมวลคำพูดนั้นเสร็จ  คราวนี้แหละเด็กสาวถึงกับกำหมัดแน่น  หางคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที  ไอ้เรารึก็นึกว่าเป็นห่วงมีน้ำใจถาม  ที่แท้...  

                     “ขอบพระคุณอย่างสูงเลยค่ะ!”  เนียร์ประชด  ขว้างหมอนใส่เด็กหนุ่มหัวดำแซมทองที่หัวเราะร่า

                     “แล้วนั่นเธอจะไปไหนน่ะ”  ทินถามที่เห็นเนียร์ลุกขึ้น

                     “ไปกินข้าวสิถามได้  น้ำหนักยังพอจะกินข้าวได้อีกจานอยู่”  เธอตอบ  ไม่วายแอบประชดเรื่องเมื่อกี้พร้อมเดินออกไปจากห้อง  ส่วนทินก็หยิบหนังสือการ์ตูนจากโต๊ะมาอ่าน  แต่แล้วเนียร์ที่น่าจะไปแล้วกลับโผล่หัวออกมาตรงทางเข้า  เธอพูดอ้อมแอ้ม

                     “แล้วก็...ขอบใจนะที่ช่วยทำให้ฉันร่าเริงขึ้น”

                     “ยินดีเสมอ”  ทินพูดโดยไม่หันไปมอง  มีมือพลิกหน้าหนังสือไปอีกแผ่น  ภายใต้หนังสือการ์ตูนนั้นบดบังรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาเอาไว้
ถึงเนียร์จะไม่เห็นรอยยิ้มนั่น  แต่เธอก็ยิ้มตอบก่อนจะออกไปกินข้าวเช้าตามปกติ


                     “จะไปไหนน่ะเนียร์”  กุลถามเมื่อเห็นเนียร์กำลังใส่รองเท้าเหมือนจะออกไปข้างนอก  แม้จะสบายใจที่เห็นลูกของตัวเองร่าเริงขึ้น  แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้  เผื่อลูกสาวเธอคิดสั้นขึ้นมา  ไปหาทางฆ่าตัวตายขึ้นมาล่ะจะทำไง  ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวเด็กวัยรุ่นฆ่าตัวตายเพราะกลุ้มใจเยอะอยู่ด้วย

                     “ไปในเมืองค่ะ”  เนียร์ตอบพลางลุกยืน  ใช้ปลายเท้ากระแทกพื้นให้รองเท้าเข้าที่  ส่วนกุลก็ไม่ได้ถามต่อว่าทำไมถึงอยากไป  แต่พอเดาได้และเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามด้วย  

                     เสียงปิดประตูรั้วเป็นการบอกว่าเนียร์ออกไปแล้ว

                     ให้ทินตามไปด้วยคงดี...  กุลคิดก่อนจะไปหาลูกชายที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักผ่อน

                     กุลเรียกชื่อทินพร้อมเปิดประตูเข้าไป  แต่พบเพียงความว่างเปล่า  มีแค่หนังสือการ์ตูนที่ถูกเปิดอ่านทิ้งไว้วางอยู่บนโซฟา

                     “ทิน  อยู่ไหนน่ะ”  เธอเรียกหาไปทั่วบ้าน  แต่กลับไม่มีวี่แววลูกชายตัวเองเลย


                     หลังจากเนียร์ออกมานอกประตูรั้วได้สักพักหนึ่ง  เธอก็แอบลอบถอนหายใจเมื่อมีคนตามมาทีหลัง

                     “นายน่าจะไปเป็นขโมยนะ  แวบตัวเก่งแบบนี้”  เนียร์พูดกับชายร่างสูงที่เดินตามหลังมา

                     “แต่ด้วยสมองอันชาญฉลาดอย่างฉัน  ไม่เหมาะจะไปเป็นหัวขโมยหรอก”  ทินเอามือประสานตรงท้ายทอย

                     บ้านของพวกเธออยู่ในซอย  จะเรียกว่าเป็นซอยที่ค่อนข้างลึกและเงียบสงบมาก  นานๆ ทีจะมีรถผ่านเข้ามาสักคันสองคัน  

                     สำหรับเนียร์  เธออยู่ที่นี่มาสิบห้าปีแล้วยังไม่เคยเข้าไปลึกเกินกว่าบ้านของตัวเองเลยเพราะในซอยค่อนข้างเปลี่ยวจนน่ากลัว  แต่สำหรับทิน  หมอนี่คงจะไปสำรวจตรวจตราทุกซอกทุกมุมในนั้นแล้วล่ะมั้ง  

                     เมื่อเดินพ้นซอยออกมา  ภาพตรงหน้าเรียกได้ว่าคนล่ะเรื่องกับข้างในเลยก็ว่าได้  ถึงแม้จะยังไม่ใช่ในตัวเมือง  แต่ก็มีรถวิ่งมาไม่ขาดสาย  และแถวนี้ยังเป็นเขตของร้านค้าร้านอาหาร  จึงเป็นธรรมดาที่บนทางเท้าจะมีผู้คนเดินกันขวักไขว่มากมาย  แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้แน่นจนทั้งสองคนต้องยืนเบียดกัน

                     มีบางคนมองสองพี่น้องออกมาจากซอยด้วยความสนใจ  เพราะไม่ค่อยได้เห็นคนในซอยนี้ออกมากันเท่าไหร่  แต่สายตาของคนที่มองมาก็ทำให้เนียร์อดห่วงเรื่องที่เธอกังวลมานานแล้วไม่ได้  จึงหันมาพูดกับทินด้วยเสียงกระซิบ

                     “อย่ามาเดินข้างฉันได้มั้ย  นายกำลังทำให้ฉันดูเตี้ย”

                     (ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่