พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด
ชุดที่ ๑๑ รักระหว่างรบ
ตอนที่ ๑ “หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย”
ฑ.มณฑา
หลังจากที่กรุงผลึกได้มีชัยชนะในสงครามเก้าทัพโดยเด็ดขาด เมื่อศึกสงบลง พี่น้องวงศาคณาญาติของพระอภัยมณี
ได้พบปะรู้จักกันหมดแล้ว สุดสาครก็ขอลาบิดา พาน้องหญิงชายทั้งสองกลับไปเมืองการเวก
พระอภัยมณีอยากจะเผด็จศึกกรุงลังกา ให้สิ้นเสี้ยนหนาม จึงยกกองทัพข้ามมหาสมุทรไปตีเมืองลังกาบ้าง
โดยให้ศรีสุวรรณ กับสินสมุทเป็นทัพหน้า พระอภัยมณีเป็นทัพหลวง พราหมณ์วิเชียรเป็นปีกขวา โมราเป็นปีกซ้าย และสานนเป็นกองหลัง
ฝ่ายนางละเวงวัณฬาเจ้ากรุงลังกา อายุเพียงสิบเก้าปี แต่มีความรู้ในเรื่องการรบ และเล่ห์กลของสตรี กับมีตราราหูประจำตัว
สามารถป้องกันอันตรายทั้งปวง เป็นแม่ทัพ ได้ให้เจ้าเมืองที่อาสาสมัครอีกสองราย จากเมืองแขกและเมืองฝรั่ง
เป็นแม่ทัพป้องกันนครลังกา เข้ารบกับกองทัพหน้าของเมืองผลึก ก็แตกพ่ายยับเยิน สินสมุทที่ถูกยิงตกลงไปในสะดือทะเล
เมื่อกลับฟื้นขึ้นมาก็บุกเข้าไปถึงตัว นางละเวงแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะนางแกว่งตราราหูป้องกัน มิให้เข้าใกล้
สินสมุทจึงจับแม่ทัพแขกและฝรั่งได้ เอาตัวไปจำขังไว้
และในเวลาค่ำพระอภัยก็ยกกองทัพหลวงขึ้นบก เข้าโจมตีเมืองใหม่ที่เป็นด่านหน้าของกรุงผลึกถึงขั้นแตกหัก เอาไฟเผาเมืองลุกไหม้ไปทั่ว
แต่ทางกองทัพของกรุงลังกา ก็ย้อนตลบหลังเอาไฟเผากองทัพเรือของกรุงผลึกวอดวายไปเหมือนกัน และแม่ทัพของพระอภัยมณี
ก็ถูกค่ายกลของนางละเวง ตกลงไปในกรงขังหมดทุกคน เหลือแต่พระอภัยมณีผู้เดียวถูกล้อมอยู่
เมื่อข้าศึกรุกล้อมเข้ามาใกล้รถทรงเข้ามาเต็มที หมดหนทางที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว พระอภัยมณีจึงเป่าปี่เพื่อสะกดทัพข้าศึก
ดูทัพหน้าขวาซ้ายหายไปหมด
เขาล้อมรถทรงไว้มิให้หนี
ตกพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี
จึงทรงปี่เป่าห้ามปรามณรงค์
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น
คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
ให้หวิววาบทราบทรวงต่างง่วงงง
ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต
ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง
อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้
ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย
น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำที่อัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น
ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน
จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง
วิเวกแจ้วแว่วเสียงสำเนียงปี่
พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง
ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง
เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป
จังหรีดหริ่งสิงสัตว์สงัดเงียบ
เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
น้ำค้างพรมลมสงัดไม่กวัดไกว
ทั้งเพลิงไฟโซมซาบไม่วาบวู ฯ
ในขณะที่พระเพลิงกำลังอาละวาดอยู่ทั่วเมืองใหม่นั้น นางละเวงได้หนีหลบไปอยู่ที่เขาพยนต์ คอยดูไพร่พลของนาง
ฆ่าฟันทหารของกรุงผลึก ที่แตกจากทัพเรือล้มตายลงเป็นอันมาก เมื่อได้ยินเสียงปี่ของพระอภัยมณีเป็นครั้งแรก
เห็นไพร่พลลงนอนกัน ระเกะระกะ แต่นางก็ไม่หลับ ใหลเหมือนคนอื่น เพราะมีตราราหูคุ้มครองอยู่ ก็อยากจะเห็นตัวผู้เป่า
ซึ่งได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์เล่าลือกันมา จึงขับม้าแอบย่องเข้าไปจนใกล้รถทรงของพระอภัยมณี
แล้วยิงธนูไปถูกปี่หลุดจากมือ พอยิงซ้ำอีกดอกก็ติดเกราะเสื้อ จึงขับม้าชักทวนออกสวนแทง
แต่พระอภัยมณีเอาพระแสงดาบปัดได้ทัน จึงไม่เป็นอันตราย แล้วเอาปืนยิงไปถูกปากม้าทรงของนางละเวง
ม้าก็กระโดดวิ่งโลดไป นางจึงเผลอหวีดร้องออกมาเป็นสำเนียงสตรี
พระอภัยมณีจึงรู้ว่าข้าศึกผู้นี้เป็นหญิง และสังสัยว่าคงจะเป็นนางละเวง พระธิดาเจ้ากรุงผลึก ที่มีตราราหูประจำตัว
จึงมิได้หลับไปตามเสียงปี่ พระอภัยมณีก็ลงจากรถขึ้นม้าควบตามไป พอทันกันก็เข้ารบประชิดตัวจนอาวุธหลุดจากมือทั้งสองฝ่าย
นางก็จับสายสร้อยคล้องตรากวัดแกว่งป้องกันตัว พระอภัยมณีจึงได้เห็นใบหน้าของนางละเวงได้ถนัด
แล้วก็หลงรักเสียยิ่งกว่าได้เห็นภาพเขียน จึงพยายามเจรจาพาทีด้วยคารมอ่อนหวานอันลือชื่อ
ตอบโต้กันอยู่ถึงห้าสิบแปดบรรทัด นางก็ไม่ยอมปลงใจด้วยและแกล้งขับม้าหลบหน้าไปเสียอีก
พระอภัยมณีจึงต้องใช้สำเนียงเสียงปี่เกี้ยวแทน
ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย
จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย
แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย
ฉุ ยฉา ยชื่นรื่นรวยระทวยทอด
จะกล่อมกอดกว่าจะหลับกับเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย
ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล
เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพรอด
เสียงฉอดฉอดชดช้อยละห้อยหวน
วิเวกแว่วแจ้วในใจรัญจวน
เป็นความชวนประโลมโฉมวัณฬา ฯ
ผลของการเป่าปี่ในครั้งนี้ สามารถสะกดจิตใจของนางละเวง ให้หวั่นไหวยิ่งนัก สำนวนของท่านครูสุนทรภู่
ได้แสดงความในใจของนางไว้อย่างกระจ่างแจ้ง จึงขอคัดมาให้ท่านอ่าน ดังต่อไปนี้
ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงฟังเพลงปี่
ให้รอรีรวนเรเสน่หา
คิดกำหนัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์
นึกนึกน่าจะใคร่ปะพระอภัย
เธอพูดดีปี่ดังฟังเสนาะ
จะฉอเลาะลูบต้องทำนองไหน
แม้ถนอมกล่อมกลอกเหมือนดอกไม้
จะชื่นใจน้องยาทุกราตรี
ยิ่งกลับฟังวังเวงเพลงสังวาส
ยิ่งหวั่นหวาดวิญญาณ์มารศรี
ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี
ด้วยเพลงปี่เป่าเชิญให้เพลินใจ
จนลืมองค์หลังรักชักสินธพ
กลับมาพบพิศวงด้วยหลงใหล
พระเห็นนางวางปี่ด้วยดีใจ
เข้าเคียงใกล้กล่าวประโลมโฉมวัณฬา
ขอเชิญนุชสุดสวาทไปราชรถ
อย่าระทดท้อจิตขนิษฐา
นางรู้สึกนึกพรั่นหวั่นวิญญาณ์
กลับชักม้าควบขับไปลับองค์
อ้อมออกทางข้างเขาด้วยเศร้าจิต
แล้วหยุดคิดแค้นใจด้วยใหลหลง
อันลมปี่นี้ละลวยให้งวยงง
สุดจะทรงวิญญาณ์รักษาตัว
ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง
ฉวยพลาดเพลี่ยงเพลงปี่ต้องมีผัว
จะพลอยพาหน้าน้องให้หมองมัว
เหมือนหญิงชั่วชายเกี้ยวประเดี๋ยวใจ
เหลือลำบากยากเย็นด้วยเป็นหญิง
จำจะทิ้งกองทัพที่หลับไหล
ไปลังกาอย่าให้มีราคีภัย
แล้วจะได้แต่งทหารมารานรอน
ดำริพลางนางขยับจับพระแสง
สะพายแล่งลูกเกาทัณฑ์ถือคันศร
เหน็บกระบี่มีหอกซัดข้างอัศดร
แล้วหยุดหย่อนยืนดูหมู่โยธา
ไม่ไหวติงนิ่งหลับระงับเงียบ
ยิ่งเย็นเยียบเยือกจิตขนิษฐา
สุดจะช่วยด้วยทัพอัปรา
ชลนานองเนตรสังเวชใจ ฯ
แล้วนางจึงต้องหลบหน้าไป ทิ้งให้พลโยธาทั้งปวงนอนสลบไสลไม่เป็นสมประดี อยู่ในกลางสมรภูมินั้นเอง.
พระอภัยมณีก็สุดแสนจะเสียดายที่นางละเวงได้หนีหน้าไปเสียแล้ว ด้วยความหลงใหลในเสน่ห์ของนาง
ซึ่งตัวจริงยิ่งร้อนแรงกว่ารูปวาดหลายเท่า จึงเป่าปี่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปลุกไพร่พลทั้งสองฝ่ายให้ฟื้นขึ้นทั้งหมด
แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้รบกันต่อ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปหาตัวนายของตน
กองทัพของเมืองลังกาก็ยกกลับเข้าเมืองไป กองทัพของพระอภัยมณีทั้งทัพเรือและทัพบก ก็ได้มาบรรจบพบกัน
ทั้งสินสมุท และศรีสุวรรณ
พระอภัยมณีก็เล่าเรื่องที่ตนได้พบแม่ทัพสตรีฝ่ายลังกา และเป่าปี่สะกดทัพ จนกระทั่งไพร่พลเลิกรบกัน
ลงนอนกลิ้งไปทั้งสองฝ่าย แล้วนางก็หลบหนีไป และพระอภัยมณีก็ห้ามแม่ทัพทั้งสองไม่ให้ทำร้ายข้าศึก
รวมทั้งทรัพย์สินและศาตราวุธที่ยึดมาได้ก็ให้เก็บเอาไว้คืนเขาไปด้วย
ทั้งสองอาหลานก็เกิดความสงสัยเป็นกำลัง ว่าพระอภัยมณีนั้นเกิดอะไรขึ้นมา จึงได้คิดแปลกไปเช่นนี้
ฟังพระพี่ศรีสุวรรณรำพันว่า
นางวัณฬาข้านี้เบื่อเห็นเหลือหญิง
แต่รูปเขียนใครได้ยังไม่ทิ้ง
ยิ่งรูปจริงแล้วก็เห็นจะเป็นการ
พลางเหลียวหน้ามาว่ากับสินสมุท
เห็นร้ายสุดเสียกว่าเสือเหลือแล้วหลาน
สินสมุทสุดแค้นแสนรำคาญ
จึงว่าวานนี้หม่อมฉันลั่นวาจา
ว่าขึ้นรบพบผู้หญิงอย่านิ่งไว้
สังหารให้ม้วยมุดสุดสังขาร์
พระบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็สัญญา
ว่าจะผ่าอกนางให้วางวาย
เหตุไฉนไม่สังหารผลาญชีวิต
กลับจะคิดแผ่เผื่อเป็นเชื้อสาย
ฉวยเสียทีผีผู้หญิงเข้าสิงกาย
จะมิอายเขาหรือนะพระเจ้าอา ฯ
พระอภัยมณีก็แก้ตัวไปข้าง ๆ คู ๆ แล้วก็สั่งให้ยกพลขึ้นบก เข้าไปยึดเมืองใหม่เป็นที่พัก เพื่อคิดการคืบหน้าต่อไป
พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๑ มี.ค.๕๘
ชุดที่ ๑๑ รักระหว่างรบ
ตอนที่ ๑ “หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย”
ฑ.มณฑา
หลังจากที่กรุงผลึกได้มีชัยชนะในสงครามเก้าทัพโดยเด็ดขาด เมื่อศึกสงบลง พี่น้องวงศาคณาญาติของพระอภัยมณี
ได้พบปะรู้จักกันหมดแล้ว สุดสาครก็ขอลาบิดา พาน้องหญิงชายทั้งสองกลับไปเมืองการเวก
พระอภัยมณีอยากจะเผด็จศึกกรุงลังกา ให้สิ้นเสี้ยนหนาม จึงยกกองทัพข้ามมหาสมุทรไปตีเมืองลังกาบ้าง
โดยให้ศรีสุวรรณ กับสินสมุทเป็นทัพหน้า พระอภัยมณีเป็นทัพหลวง พราหมณ์วิเชียรเป็นปีกขวา โมราเป็นปีกซ้าย และสานนเป็นกองหลัง
ฝ่ายนางละเวงวัณฬาเจ้ากรุงลังกา อายุเพียงสิบเก้าปี แต่มีความรู้ในเรื่องการรบ และเล่ห์กลของสตรี กับมีตราราหูประจำตัว
สามารถป้องกันอันตรายทั้งปวง เป็นแม่ทัพ ได้ให้เจ้าเมืองที่อาสาสมัครอีกสองราย จากเมืองแขกและเมืองฝรั่ง
เป็นแม่ทัพป้องกันนครลังกา เข้ารบกับกองทัพหน้าของเมืองผลึก ก็แตกพ่ายยับเยิน สินสมุทที่ถูกยิงตกลงไปในสะดือทะเล
เมื่อกลับฟื้นขึ้นมาก็บุกเข้าไปถึงตัว นางละเวงแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะนางแกว่งตราราหูป้องกัน มิให้เข้าใกล้
สินสมุทจึงจับแม่ทัพแขกและฝรั่งได้ เอาตัวไปจำขังไว้
และในเวลาค่ำพระอภัยก็ยกกองทัพหลวงขึ้นบก เข้าโจมตีเมืองใหม่ที่เป็นด่านหน้าของกรุงผลึกถึงขั้นแตกหัก เอาไฟเผาเมืองลุกไหม้ไปทั่ว
แต่ทางกองทัพของกรุงลังกา ก็ย้อนตลบหลังเอาไฟเผากองทัพเรือของกรุงผลึกวอดวายไปเหมือนกัน และแม่ทัพของพระอภัยมณี
ก็ถูกค่ายกลของนางละเวง ตกลงไปในกรงขังหมดทุกคน เหลือแต่พระอภัยมณีผู้เดียวถูกล้อมอยู่
เมื่อข้าศึกรุกล้อมเข้ามาใกล้รถทรงเข้ามาเต็มที หมดหนทางที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว พระอภัยมณีจึงเป่าปี่เพื่อสะกดทัพข้าศึก
ดูทัพหน้าขวาซ้ายหายไปหมด
เขาล้อมรถทรงไว้มิให้หนี
ตกพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี
จึงทรงปี่เป่าห้ามปรามณรงค์
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น
คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
ให้หวิววาบทราบทรวงต่างง่วงงง
ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต
ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง
อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้
ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย
น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำที่อัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น
ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน
จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง
วิเวกแจ้วแว่วเสียงสำเนียงปี่
พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง
ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง
เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป
จังหรีดหริ่งสิงสัตว์สงัดเงียบ
เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
น้ำค้างพรมลมสงัดไม่กวัดไกว
ทั้งเพลิงไฟโซมซาบไม่วาบวู ฯ
ในขณะที่พระเพลิงกำลังอาละวาดอยู่ทั่วเมืองใหม่นั้น นางละเวงได้หนีหลบไปอยู่ที่เขาพยนต์ คอยดูไพร่พลของนาง
ฆ่าฟันทหารของกรุงผลึก ที่แตกจากทัพเรือล้มตายลงเป็นอันมาก เมื่อได้ยินเสียงปี่ของพระอภัยมณีเป็นครั้งแรก
เห็นไพร่พลลงนอนกัน ระเกะระกะ แต่นางก็ไม่หลับ ใหลเหมือนคนอื่น เพราะมีตราราหูคุ้มครองอยู่ ก็อยากจะเห็นตัวผู้เป่า
ซึ่งได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์เล่าลือกันมา จึงขับม้าแอบย่องเข้าไปจนใกล้รถทรงของพระอภัยมณี
แล้วยิงธนูไปถูกปี่หลุดจากมือ พอยิงซ้ำอีกดอกก็ติดเกราะเสื้อ จึงขับม้าชักทวนออกสวนแทง
แต่พระอภัยมณีเอาพระแสงดาบปัดได้ทัน จึงไม่เป็นอันตราย แล้วเอาปืนยิงไปถูกปากม้าทรงของนางละเวง
ม้าก็กระโดดวิ่งโลดไป นางจึงเผลอหวีดร้องออกมาเป็นสำเนียงสตรี
พระอภัยมณีจึงรู้ว่าข้าศึกผู้นี้เป็นหญิง และสังสัยว่าคงจะเป็นนางละเวง พระธิดาเจ้ากรุงผลึก ที่มีตราราหูประจำตัว
จึงมิได้หลับไปตามเสียงปี่ พระอภัยมณีก็ลงจากรถขึ้นม้าควบตามไป พอทันกันก็เข้ารบประชิดตัวจนอาวุธหลุดจากมือทั้งสองฝ่าย
นางก็จับสายสร้อยคล้องตรากวัดแกว่งป้องกันตัว พระอภัยมณีจึงได้เห็นใบหน้าของนางละเวงได้ถนัด
แล้วก็หลงรักเสียยิ่งกว่าได้เห็นภาพเขียน จึงพยายามเจรจาพาทีด้วยคารมอ่อนหวานอันลือชื่อ
ตอบโต้กันอยู่ถึงห้าสิบแปดบรรทัด นางก็ไม่ยอมปลงใจด้วยและแกล้งขับม้าหลบหน้าไปเสียอีก
พระอภัยมณีจึงต้องใช้สำเนียงเสียงปี่เกี้ยวแทน
ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย
จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย
แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย
ฉุ ยฉา ยชื่นรื่นรวยระทวยทอด
จะกล่อมกอดกว่าจะหลับกับเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย
ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล
เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพรอด
เสียงฉอดฉอดชดช้อยละห้อยหวน
วิเวกแว่วแจ้วในใจรัญจวน
เป็นความชวนประโลมโฉมวัณฬา ฯ
ผลของการเป่าปี่ในครั้งนี้ สามารถสะกดจิตใจของนางละเวง ให้หวั่นไหวยิ่งนัก สำนวนของท่านครูสุนทรภู่
ได้แสดงความในใจของนางไว้อย่างกระจ่างแจ้ง จึงขอคัดมาให้ท่านอ่าน ดังต่อไปนี้
ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงฟังเพลงปี่
ให้รอรีรวนเรเสน่หา
คิดกำหนัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์
นึกนึกน่าจะใคร่ปะพระอภัย
เธอพูดดีปี่ดังฟังเสนาะ
จะฉอเลาะลูบต้องทำนองไหน
แม้ถนอมกล่อมกลอกเหมือนดอกไม้
จะชื่นใจน้องยาทุกราตรี
ยิ่งกลับฟังวังเวงเพลงสังวาส
ยิ่งหวั่นหวาดวิญญาณ์มารศรี
ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี
ด้วยเพลงปี่เป่าเชิญให้เพลินใจ
จนลืมองค์หลังรักชักสินธพ
กลับมาพบพิศวงด้วยหลงใหล
พระเห็นนางวางปี่ด้วยดีใจ
เข้าเคียงใกล้กล่าวประโลมโฉมวัณฬา
ขอเชิญนุชสุดสวาทไปราชรถ
อย่าระทดท้อจิตขนิษฐา
นางรู้สึกนึกพรั่นหวั่นวิญญาณ์
กลับชักม้าควบขับไปลับองค์
อ้อมออกทางข้างเขาด้วยเศร้าจิต
แล้วหยุดคิดแค้นใจด้วยใหลหลง
อันลมปี่นี้ละลวยให้งวยงง
สุดจะทรงวิญญาณ์รักษาตัว
ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง
ฉวยพลาดเพลี่ยงเพลงปี่ต้องมีผัว
จะพลอยพาหน้าน้องให้หมองมัว
เหมือนหญิงชั่วชายเกี้ยวประเดี๋ยวใจ
เหลือลำบากยากเย็นด้วยเป็นหญิง
จำจะทิ้งกองทัพที่หลับไหล
ไปลังกาอย่าให้มีราคีภัย
แล้วจะได้แต่งทหารมารานรอน
ดำริพลางนางขยับจับพระแสง
สะพายแล่งลูกเกาทัณฑ์ถือคันศร
เหน็บกระบี่มีหอกซัดข้างอัศดร
แล้วหยุดหย่อนยืนดูหมู่โยธา
ไม่ไหวติงนิ่งหลับระงับเงียบ
ยิ่งเย็นเยียบเยือกจิตขนิษฐา
สุดจะช่วยด้วยทัพอัปรา
ชลนานองเนตรสังเวชใจ ฯ
แล้วนางจึงต้องหลบหน้าไป ทิ้งให้พลโยธาทั้งปวงนอนสลบไสลไม่เป็นสมประดี อยู่ในกลางสมรภูมินั้นเอง.
พระอภัยมณีก็สุดแสนจะเสียดายที่นางละเวงได้หนีหน้าไปเสียแล้ว ด้วยความหลงใหลในเสน่ห์ของนาง
ซึ่งตัวจริงยิ่งร้อนแรงกว่ารูปวาดหลายเท่า จึงเป่าปี่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปลุกไพร่พลทั้งสองฝ่ายให้ฟื้นขึ้นทั้งหมด
แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้รบกันต่อ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปหาตัวนายของตน
กองทัพของเมืองลังกาก็ยกกลับเข้าเมืองไป กองทัพของพระอภัยมณีทั้งทัพเรือและทัพบก ก็ได้มาบรรจบพบกัน
ทั้งสินสมุท และศรีสุวรรณ
พระอภัยมณีก็เล่าเรื่องที่ตนได้พบแม่ทัพสตรีฝ่ายลังกา และเป่าปี่สะกดทัพ จนกระทั่งไพร่พลเลิกรบกัน
ลงนอนกลิ้งไปทั้งสองฝ่าย แล้วนางก็หลบหนีไป และพระอภัยมณีก็ห้ามแม่ทัพทั้งสองไม่ให้ทำร้ายข้าศึก
รวมทั้งทรัพย์สินและศาตราวุธที่ยึดมาได้ก็ให้เก็บเอาไว้คืนเขาไปด้วย
ทั้งสองอาหลานก็เกิดความสงสัยเป็นกำลัง ว่าพระอภัยมณีนั้นเกิดอะไรขึ้นมา จึงได้คิดแปลกไปเช่นนี้
ฟังพระพี่ศรีสุวรรณรำพันว่า
นางวัณฬาข้านี้เบื่อเห็นเหลือหญิง
แต่รูปเขียนใครได้ยังไม่ทิ้ง
ยิ่งรูปจริงแล้วก็เห็นจะเป็นการ
พลางเหลียวหน้ามาว่ากับสินสมุท
เห็นร้ายสุดเสียกว่าเสือเหลือแล้วหลาน
สินสมุทสุดแค้นแสนรำคาญ
จึงว่าวานนี้หม่อมฉันลั่นวาจา
ว่าขึ้นรบพบผู้หญิงอย่านิ่งไว้
สังหารให้ม้วยมุดสุดสังขาร์
พระบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็สัญญา
ว่าจะผ่าอกนางให้วางวาย
เหตุไฉนไม่สังหารผลาญชีวิต
กลับจะคิดแผ่เผื่อเป็นเชื้อสาย
ฉวยเสียทีผีผู้หญิงเข้าสิงกาย
จะมิอายเขาหรือนะพระเจ้าอา ฯ
พระอภัยมณีก็แก้ตัวไปข้าง ๆ คู ๆ แล้วก็สั่งให้ยกพลขึ้นบก เข้าไปยึดเมืองใหม่เป็นที่พัก เพื่อคิดการคืบหน้าต่อไป