เรามีความคิดว่า
ประเทศไทยเราถือว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แต่อะไรหละที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศของเราไม่ก้าวหน้าเหมือนอารยประเทศซักที ทั้งๆที่เราก็มีทรัพยากรมากล้นแท้ๆ ต่างกับบางประเทศซึ่งเขาไม่มีทรัพยากรเลยแต่เข้าก็กลับ ทะยานไปสู่ประเทศอับดับต้นๆของโลกได้ คำตอบก็คือ “องค์ความรู้” ครับ ประเทศของเรามีทรัพยากรมากมาย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่องค์ความรู้ของเรานั้นแทบไม่มีเลย และผลที่เกิดขึ้น ก็ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นซึ้นยางพาราจากเราไปในราคา 100 บาท หลังจากนั้นเขานำไปแปรรูป ยางพาราของเราเอาไปทำเป็นยางรถ เล้วก็เอากลับมาขายเรา 200 บาท ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่านี่แหละที่ทำให้เกิดกำไร เห็นได้ว่า ความมั่งคั่งของแต่ละประเทศจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ในประเทศนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะทำก็คือ ควรพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศของเราให้ก้าวไกลไปกว่านี้ ควรจะทุ่มทุนพัฒนานักวิจัยในประเทศ คิดค้นอะไรที่มันเป็นของเราจริงๆซะบ้าง ตอนนี้ของส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ ก็ไม่ใช่ของๆเราทั้งนั้น มือถือ iPhone ก็ของอเมริกาเค้า ระบบ Software ก็ของ Microsoft รถยนต์ที่ใช้ขับกันอยู่ก็ของ ญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้นประเทศไทยของเราจึงออกกฎหมายมาตราหนึ่ง ออกมาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย กฎหมายนี้คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2551” สรุปได้คร่าวๆว่า 1.สนับสนุนให้ผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ต้องการเพิ่มจำนวนนักวิจัยในประเทศไทยให้มากๆ เพื่อที่จะได้มีกำลังในพัฒนาอะไรใหม่ๆต่อไป โรงเรียน Mwits ก็เป็นหนึ่งในนโยบายนี้ เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ให้แก่ประเทศ 2.คุ้มครองสิทธิทัพย์สินทางปัญญา ในที่นี้หมายความว่ามีการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้แก่ สิ่งประดิษฐ์ที่ไปจดสิทธิบัตร เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ ถูกขโมยทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต 3. สนับสนุนให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาตร์ด้วย 4.สนับสนุนให้ยกย่องเชิดชูเกียรติองค์กรหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น ให้รางวัลแก่นักวิทยาศาสตร์ ที่คิดค้นงานวิจัยเพื่อประเทศเพื่อเชิดชูเกียรติ ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ผู้อื่นหันมาสนใจงานด้านวิทยาศาสตร์ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากการตั้งกฎหมายวิทยาศาสตร์ ก็คือ การปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีกับเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตให้มีทัศนคติที่ดีกับนักวิทยาศาสตร์ ไม่เหมือนกับในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่มองว่า นักวิทยาศาสตร์จะเป็นไปทำไม รวยก็ไม่รวยวันๆนั่งอยู่ในแต่ห้องแลปน่าเบื่อจะตาย! ไม่ใช่อย่างงี้แต่ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่า นักวิทยาศาสตร์ดูเป็นคนที่ มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่เต็มเปี่ยม พร้อมที่จะสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ และบางทีอาจจะดังระดับโลก และได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์เหมือนกับ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่ผ่านๆมา เมื่อปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้กับ เยาวชนได้แล้วก็คาดว่าทางรัฐบาลจะสนับสนุน งบประมาณทางการวิจัยของประเทศไทยให้มากกว่านี้ จัดหาที่ทำงานรองรับให้นักวิทยาศาสตร์ และสร้างองค์กรซึ่งเป็นศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศซึ่งจะได้มีนักวิทยาศาสตร์มาวิจัยร่วมกันจะได้คิดค้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป
ทุกคนคิดยังไงกันกับ เหตุปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยไม่เป็นประเทศอันดับต้นๆของโลก ทั้งๆที่มีทรัพยากรเยอะมากเเท้ๆ
ประเทศไทยเราถือว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แต่อะไรหละที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศของเราไม่ก้าวหน้าเหมือนอารยประเทศซักที ทั้งๆที่เราก็มีทรัพยากรมากล้นแท้ๆ ต่างกับบางประเทศซึ่งเขาไม่มีทรัพยากรเลยแต่เข้าก็กลับ ทะยานไปสู่ประเทศอับดับต้นๆของโลกได้ คำตอบก็คือ “องค์ความรู้” ครับ ประเทศของเรามีทรัพยากรมากมาย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่องค์ความรู้ของเรานั้นแทบไม่มีเลย และผลที่เกิดขึ้น ก็ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นซึ้นยางพาราจากเราไปในราคา 100 บาท หลังจากนั้นเขานำไปแปรรูป ยางพาราของเราเอาไปทำเป็นยางรถ เล้วก็เอากลับมาขายเรา 200 บาท ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่านี่แหละที่ทำให้เกิดกำไร เห็นได้ว่า ความมั่งคั่งของแต่ละประเทศจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ในประเทศนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะทำก็คือ ควรพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศของเราให้ก้าวไกลไปกว่านี้ ควรจะทุ่มทุนพัฒนานักวิจัยในประเทศ คิดค้นอะไรที่มันเป็นของเราจริงๆซะบ้าง ตอนนี้ของส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ ก็ไม่ใช่ของๆเราทั้งนั้น มือถือ iPhone ก็ของอเมริกาเค้า ระบบ Software ก็ของ Microsoft รถยนต์ที่ใช้ขับกันอยู่ก็ของ ญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้นประเทศไทยของเราจึงออกกฎหมายมาตราหนึ่ง ออกมาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย กฎหมายนี้คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2551” สรุปได้คร่าวๆว่า 1.สนับสนุนให้ผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ต้องการเพิ่มจำนวนนักวิจัยในประเทศไทยให้มากๆ เพื่อที่จะได้มีกำลังในพัฒนาอะไรใหม่ๆต่อไป โรงเรียน Mwits ก็เป็นหนึ่งในนโยบายนี้ เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ให้แก่ประเทศ 2.คุ้มครองสิทธิทัพย์สินทางปัญญา ในที่นี้หมายความว่ามีการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้แก่ สิ่งประดิษฐ์ที่ไปจดสิทธิบัตร เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ ถูกขโมยทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต 3. สนับสนุนให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาตร์ด้วย 4.สนับสนุนให้ยกย่องเชิดชูเกียรติองค์กรหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น ให้รางวัลแก่นักวิทยาศาสตร์ ที่คิดค้นงานวิจัยเพื่อประเทศเพื่อเชิดชูเกียรติ ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ผู้อื่นหันมาสนใจงานด้านวิทยาศาสตร์ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากการตั้งกฎหมายวิทยาศาสตร์ ก็คือ การปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีกับเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตให้มีทัศนคติที่ดีกับนักวิทยาศาสตร์ ไม่เหมือนกับในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่มองว่า นักวิทยาศาสตร์จะเป็นไปทำไม รวยก็ไม่รวยวันๆนั่งอยู่ในแต่ห้องแลปน่าเบื่อจะตาย! ไม่ใช่อย่างงี้แต่ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่า นักวิทยาศาสตร์ดูเป็นคนที่ มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่เต็มเปี่ยม พร้อมที่จะสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ และบางทีอาจจะดังระดับโลก และได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์เหมือนกับ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่ผ่านๆมา เมื่อปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้กับ เยาวชนได้แล้วก็คาดว่าทางรัฐบาลจะสนับสนุน งบประมาณทางการวิจัยของประเทศไทยให้มากกว่านี้ จัดหาที่ทำงานรองรับให้นักวิทยาศาสตร์ และสร้างองค์กรซึ่งเป็นศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศซึ่งจะได้มีนักวิทยาศาสตร์มาวิจัยร่วมกันจะได้คิดค้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป