เทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือชีวิตของเราให้สบายขึ้น เข้ามาให้ความสะดวกในชีวิตของเรา หรือแม้กระทั่งเข้ามาจัดระเบียบสังคม ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์มาคิดค้นและดัดแปลงธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานการดำรงชีวิต ในที่นี้เราจะมาพูดคุยกันถึงเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่น่าสนใจ และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์ สิ่งประดิษฐ์ หรือ นวัตกรรม เพื่อที่จะได้รู้จักเทคโนโลยีต่างๆรอบๆตัวของเรามากยิ่งขึ้น
อันดับแรก เราจะมาพูดถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์กันก่อน เทคโนโลยีทีว่านี้ก็คือ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด การผ่าตัดในสมัยก่อน การจะผ่าตัดแต่ละครั้งจะต้องเปิดหน้าท้องเพื่อนำมีดผ่าตัดและนำอุปกรณ์ต่างๆเข้าไปได้ การผ่าตัดแบบนี้มีข้อเสียคือ เป็นแผลใหญ่ แผลหายช้า เจ็บมากกว่าเพราะมีการเปิดอวัยวะมากกว่า และบางครั้งเมื่อศัลยแพทย์มือสั่น ก็อาจทำให้การผ่าตัดผิดพลาดได้ ต่อมามีการพัฒนาการผ่าตัดเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง การผ่าตัดแบบส่องกล้องจะผ่าโดย เปิดแผลเป็นรูเล็กๆเพียงสอดเครื่องมือผ่าเข้าไป และศัลยแพทย์ก็ดูอวัยวะภายในผ่านกล้องที่สอดเข้าไปเท่านั้น การผ่าตัดแบบนี้มีจุดเด่นคือ แผลที่เกิดจากการผ่าน้อยกว่ามาก และก็ใช้เวลาน้อยกว่าด้วย แต่การผ่าตัดแบบส่องกล้องนี้ก็ยังถือว่ามีราคาสูง เพราะว่าอุปกรณ์ในการผ่าตัดมีราคาแพง ในปัจจุบันมีการพัฒนาการผ่าตัดแบบใช้หุ่นยนต์ช่วย โดยจะใช้มือกลที่พัฒนาขึ้น เป็นมือกลที่สามารถหมุนได้ถึง 7 ทิศทาง(ถือว่าเกินความสามารถของมือมนุษย์) รวมถึงสามารถผ่าตัดในระยะไกลได้ด้วย ผ่านระบบ MPLS มันคือการผ่าตัดแบบ real-time ผ่าน Internet ความเร็วสูง โดยสามารถผ่าตัดข้ามทวีปได้เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์ในกรณีที่ หากต้องการผ่าตัดกับหมอที่มีฝีมือในต่างประเทศแต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นอุปสรรค หรือมีเหตุจำเป็นที่เร่งด่วนมากๆที่จะต้องผ่าตัดกับหมอคนนี้ แต่ไม่สามารถเดินทางไปได้ เราก็ใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยได้ ส่วนข้อด้อยของของ เทคโนโลยีนี้คือ เราจะต้องมี Internet ที่เร็วมากและต้องไม่มีข้อขัดข้องในการเชื่อมต่อเครือข่าย เพราะมิฉะนั้นจะทำให้การผ่าตัด หยุดชะงักได้ นอกจากนี้การผ่าตัดแบบใช้หุ่นยนต์ ถือว่าเป็นการผ่าตัดที่มีราคาสูงที่สุด เพราะว่าหุ่นยนต์มีราคาแพง หุ่นยนต์ผ่าตัดมีราคาอยู่ในระดับร้อยล้านขึ้นไป และแพทย์ที่จะสามารถใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ได้ก็ต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อน ผมคิดว่า การที่เราจะนำ เทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นสิ่งที่เหมาะสม ประเทศไทยควรจะมีเทคโนโลยีหุ่นยนต์ผ่าตัดนี้อยู่บ้าง เพื่อไว้ใช้งานในเคสคนไข้ที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดจากหุ่นยนต์จริงๆ
    โรค บางโรค ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ยกตัวอย่างเช่นโรคมะเร็ง หากเป็นแล้วก็อาจจะต้องตัดอวัยวะนั้นๆ ทิ้งไปเพื่อป้องกัยไม่ให้เซลล์มะเร็งนั้นลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย แต่หากเราตัดอวัยวะนั้นทิ้งไปแล้ว เราจะหาอะไรมาทดแทนหละ? Stem Cell คือคำตอบของปัญหานี้ครับ Stem Cell คือเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถพัฒนาต่อไปเป็นเซลล์อะไรก็ได้ ตามที่ต้องการ และเพิ่มจำนวนตัวเองได้ ด้วยคุณสมบัตินี้ของมันทำให้เราสามารถนำ Stem Cell นี้มาช่วยรักษาในผู้ป่วยที่เป็นโรคที่จำเป็นต้องได้รับอวัยวะใหม่ได้ เช่น ผู้ป่วย โรคลูคีเมีย หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว สามารถรักษาได้โดยใช้ Stem Cell มาปลูกถ่ายในไขกระดูกเพื่อสร้างไขกระดูกใหม่ ทดแทนไขกระดูกที่เป็นมะเร็งไป หรือ ผู้ป่วยต้อกระจกที่ต้องเปลี่ยนกระจกตาใหม่ก็ต้องใช้เช่นกัน นอกจากนี้ในธุรกิจเสริมความงาม ก็ใช้ Stem Cell เข้ามาฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังบนใบหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอได้ Stem Cell แบ่งเป็น Stem Cell ที่ดึงมาจากผู้ใหญ่ และ Stem Cell ที่ดึงจากเด็กทารก หากพูดถึงผลเสียที่เกิดจากการใช้ Stem Cell ก็คือเมื่อ Stem Cell มีความนิยมมากขึ้น ก็มีข่าวต่างๆนาๆว่ามีการลักลอบทำแท้งเพื่อนำ Stem Cell จากทารกออกมาและนำไปขาย การกระทำเช่นนี้ถือว่า ผิดศีลธรรมอย่างรุนแรง ประเทศไทยควรจะมีกฎหมายคุ้มครองในส่วนนี้ หรือบางครั้ง Stem Cell ที่นำ ไปปลูกถ่ายในร่างกายก็พัฒนาไปเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ ก่อให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะศึกษาเกี่ยวกับ Stem Cell ให้เข้าใจถึงกลไลทั้งหมดก่อนนำมาใช้ ในอนาคตประชากรโลกจะได้รับการรักษาที่ดีขึ้น เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับมนุษย์ทุกคน
ประเทศไทยเราถือว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แต่อะไรหละที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศของเราไม่ก้าวหน้าเหมือนอารยประเทศซักที ทั้งๆที่เราก็มีทรัพยากรมากล้นแท้ๆ ต่างกับบางประเทศซึ่งเขาไม่มีทรัพยากรเลยแต่เข้าก็กลับ ทะยานไปสู่ประเทศอับดับต้นๆของโลกได้ คำตอบก็คือ “องค์ความรู้” ครับ ประเทศของเรามีทรัพยากรมากมาย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่องค์ความรู้ของเรานั้นแทบไม่มีเลย และผลที่เกิดขึ้น ก็ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นซึ้นยางพาราจากเราไปในราคา 100 บาท หลังจากนั้นเขานำไปแปรรูป ยางพาราของเราเอาไปทำเป็นยางรถ เล้วก็เอากลับมาขายเรา 200 บาท ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่านี่แหละที่ทำให้เกิดกำไร เห็นได้ว่า ความมั่งคั่งของแต่ละประเทศจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ในประเทศนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะทำก็คือ ควรพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศของเราให้ก้าวไกลไปกว่านี้ ควรจะทุ่มทุนพัฒนานักวิจัยในประเทศ คิดค้นอะไรที่มันเป็นของเราจริงๆซะบ้าง ตอนนี้ของส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ ก็ไม่ใช่ของๆเราทั้งนั้น มือถือ iPhone ก็ของอเมริกาเค้า ระบบ Software ก็ของ Microsoft รถยนต์ที่ใช้ขับกันอยู่ก็ของ ญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้นประเทศไทยของเราจึงออกกฎหมายมาตราหนึ่ง ออกมาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย กฎหมายนี้คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2551” สรุปได้คร่าวๆว่า 1.สนับสนุนให้ผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ต้องการเพิ่มจำนวนนักวิจัยในประเทศไทยให้มากๆ เพื่อที่จะได้มีกำลังในพัฒนาอะไรใหม่ๆต่อไป โรงเรียน Mwits ก็เป็นหนึ่งในนโยบายนี้ เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ให้แก่ประเทศ 2.คุ้มครองสิทธิทัพย์สินทางปัญญา ในที่นี้หมายความว่ามีการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้แก่ สิ่งประดิษฐ์ที่ไปจดสิทธิบัตร เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ ถูกขโมยทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต 3. สนับสนุนให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาตร์ด้วย 4.สนับสนุนให้ยกย่องเชิดชูเกียรติองค์กรหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น ให้รางวัลแก่นักวิทยาศาสตร์ ที่คิดค้นงานวิจัยเพื่อประเทศเพื่อเชิดชูเกียรติ ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ผู้อื่นหันมาสนใจงานด้านวิทยาศาสตร์ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากการตั้งกฎหมายวิทยาศาสตร์ ก็คือ การปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีกับเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตให้มีทัศนคติที่ดีกับนักวิทยาศาสตร์ ไม่เหมือนกับในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่มองว่า นักวิทยาศาสตร์จะเป็นไปทำไม รวยก็ไม่รวยวันๆนั่งอยู่ในแต่ห้องแลปน่าเบื่อจะตาย! ไม่ใช่อย่างงี้แต่ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่า นักวิทยาศาสตร์ดูเป็นคนที่ มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่เต็มเปี่ยม พร้อมที่จะสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ และบางทีอาจจะดังระดับโลก และได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์เหมือนกับ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่ผ่านๆมา เมื่อปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้กับ เยาวชนได้แล้วก็คาดว่าทางรัฐบาลจะสนับสนุน งบประมาณทางการวิจัยของประเทศไทยให้มากกว่านี้ จัดหาที่ทำงานรองรับให้นักวิทยาศาสตร์ และสร้างองค์กรซึ่งเป็นศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศซึ่งจะได้มีนักวิทยาศาสตร์มาวิจัยร่วมกันจะได้คิดค้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป
แสง เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั่วไปแต่ใครจะรู้หละว่าหาก เราเข้าใจหลักการของแสง แล้วเราจะนำมันมาประยุกต์ใช้ พัฒนาเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆได้ขนาดไหน ในที่นี้คือ Photonics นั่นเองมันคือ เทคโนโลยีที่มากจาก การนำสมบัติของแสงมาใช้งาน แสงมีสมบัติ การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน การประยุกต์ใช้คือการนำไปทำเป็น Laser เป็นการบีบแสงให้อยู่ในวงแคบเป็นจุดเล็ก ส่งผลให้มีพลังงานที่สูงมาก สามารถนำไปใช้งานได้มากมาย เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมตัดเหล็กตัดแก้ว การรักษาสายตาสั้นแบบ Lasik ก็ใช้เทคโนโลยีจากแสงเลซอร์เช่นกัน โดยอาศัย Laser พลังงานต่ำยิ่งเข้าในลูกตาเพื่อกระตุ้นดวงตาให้เหมือนกับสภาพตาของคนปกติ หรือแม้กระทั่ง จรวด ก็ใช้เลเซอร์ในการนำวิถีไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ แต่การนำ Laser ไปใช้ผิดวิธีก็ทำให้เกิดอันตรายได้ หากนำไปยิงใส่ดวงตา ตาอาจบอดได้ เพราะความเข้มแสงที่เลเซอร์มี มากกว่าความเข้มแสงปกติที่ตาได้รับเป็นล้านเท่า และเลเซอร์ความถี่สูงทำให้ผิวไหม้ได้ นอกจากนี้ Blue light ที่ออกมาจาก แสงหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ทำลายจอประสาทตาของคน ใช้งานมากๆจะทำให้จอประสาทตาเสื่อมเร็ว ดังนั้นก่อนการใช้งานอุปกรณ์อะไรก็ตามควรจะปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้อย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นอาจเกิดผลเสียต่อตัวคุณได้
    ในสมัยที่มนุษย์ยังอยู่ในยุคหิน เราใช้ไม้และหินมาสร้างเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ใช้ไม้สร้างบ้าน ใช้หินทำมีด ต่อมาพอถึงยุคโลหะ อะไรๆก็เปลี่ยนไปเป็นใช้โลหะในการสร้าง แต่บางครั้งโลหะก็มีน้ำหนักมาก ไม่สะดวกต่อการพกพา ในปัจจุบันเราจึงคิด วัสดุชิ้นหนึ่งขึ้นมาซึ่งมีความแข็งแรง มีน้ำหนักเบา และทนทาน วัสดุนั้นคือ “พอลิเมอร์” นั่นเอง พอลิเมอร์คือสารที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุลเล็กๆเข้าด้วยกัน กลายเป็นพอลิเมอร์ พอลิเมอร์ถูกนำไปใช้งานมากมายเช่น ใช้ทำเก้าอี้พลาสติก ของเล่นเด็ก ท่อ PVC ที่มีความแข็งแรง ยางรถยนต์ ตีนตุ๊กแก แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จาน ฯลฯ ซึ่งการนำพอลิเมอร์มาใช้เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเราสามารถลดการทำลายสิ่งแวดล้อมได้ ก่อนหน้านี้เราใช้ไม้ทำเก้าอี้ ใช้ไม้ทำกระดาษ แต่ถ้าเราคิดค้นกระดาษจากพอลิเมอร์ หรือใช้พอลิเมอร์ทำเก้าอี้แทนไม้ ก็จะช่วยลดการตัดไม้ได้เป็นจำนวนมาก แต่บางครั้งการใช้งานพอลิเมอร์ก็มีข้อเสียเช่นกัน ในชีวิตประจำวัน เราใช้ถุงพลาสติก ใช้จานโฟม ใช้แก้วพลาสติกมากมาย ซึ่งของเหล่านี้เป็นของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง พอทิ้งมากก็กลายเป็นขยะ หลังจากนั้นขยะก็ส่งผลให้เกิดมลพิษหากนำไปเผา ขยะจากพลาสติกนี้มีระยะเวลาการย่อยสลายยาวนานมากถึง 300-400 ปี ขยะจากพลาสติกสามารถเข้าไปอุดตันในท่อน้ำเสียของจังหวัด และเป็นปัจจัยทางอ้อมของการเกิดน้ำท่วมด้วย นอกจากนี้ หากถุงพลาสติกลงสู่ทะเล ก็จะเกิดผลเสียตามมามากมาย สัตว์ทะเลชนิดต่างๆ อาจกินถุงพลาสติกเข้าไปและทำให้ตายได้ อย่างที่เคยเห็นกันในข่าวว่า เต่านอนตายเกลื่อชายหาด พอไปสืบดูสาเหตุ ก็พบว่าเต่าเหล่านั้นกินถุงพลาสติกเข้าไป เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นแมงกระพรุน ปัญหาจากถุงพลาสติกยังไม่หมดแค่นั้น ที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นมะเร็งกันมาก ก็อาจจะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ ได้รับสารพิษปนเปื้อนจากพลาสติกก็ได้ เช่น การกินอาหารร้อนๆจากกล่องโฟม มีผลการววิจัยออกมาแล้วว่า สารเคมีในโฟมจะหลุดติดไปกับอาหารของเรา มีแนวทางการแก้ปัญหาคือใช้จานจากวัสดุธรรมชาติคือ จานจากชานอ้อยที่นิยมใช้กันอยู่ มันจะย่อยสลายได่ง่ายกว่า ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่