เปลว สีเงิน
Saturday, 21 February, 2015 - 00:00
'โกงแบ่งกัน-โกงแล้วคืน' ไม่ผิด!
ประเสริฐแท้พระคุณเจ้า..........!
ในนาม "กรรมการมหาเถรสมาคม" ทั้ง ๒๐ รูป ประกอบด้วย ฝ่ายธรรมกาย ๑๐ รูป และฝ่ายธรรมยุต ๑๐ รูป คือ
ฝ่ายมหานิกาย
๑.สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ
๒.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวราราม
๓.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม
๔.สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม
๕.พระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา
๖.พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดปากน้ำ
๗.พระพรหมดิลก วัดสามพระยา
๘.พระพรหมโมลี วัดปากน้ำภาษีเจริญ
๙.พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๑๐.พระพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาส
ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
๑.สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศาราม
๒.สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๓.สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร
๔.สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส
๕.พระพรหมเมธาจารย์ วัดบุรณศิริมาตยาราม
๖.พระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศาราม
๗.พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๘.พระพรหมวิสุทธาจารย์ วัดเครือวัลย์
๙.พระธรรมธัชมุนี วัดปทุมวนาราม
๑๐.พระธรรมบัณฑิต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
นี้คือ "คณะรัฐบาลสงฆ์" อันมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ วัดต้นสังกัด "วัดธรรมกาย" เป็นองค์ปฏิบัติหน้าที่ประมุข
บ่ายวาน (๒๐ ก.พ.๕๘) พระคุณเจ้าได้ประชุมพิจารณากัน กรณี "ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"
ผลประชุม ด้วยยึด "พระธรรมและพระวินัย" อันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติไว้ดีแล้วเป็นบรรทัดฐานวินิจฉัย (ตรงนี้ผมพูดผิดหรือพูดถูกครับ พระคุณเจ้า?)
พระพรหมเมธี โฆษกมหาเถรนำมติที่ประชุมแถลงว่า.....
"พระธัมมชโย ไม่มีเจตนาขัดพระลิขิต และไม่มีเจตนาฉ้อโกง จึงถือว่าพ้นมลทิน และในปี ๒๕๔๙ ได้มีมติถวายคืนสมณศักดิ์ให้กับพระธัมมชโย อีกทั้งในปี ๒๕๕๔ ยังได้เลื่อนสมณศักดิ์จากยศพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็น พระเทพญาณมหามุนี"
โฆษกมหาเถรยังแจกแจงหลักการวินิจฉัยด้วยมาตรฐานมหาเถรธรรมกายด้วยว่า....
"หลักการพิจารณาทางสงฆ์ว่า ความผิดยักยอกทรัพย์สำเร็จหรือไม่นั้น จะดูที่เจตนาเป็นหลัก ซึ่งในกรณีนี้มีที่มาของทรัพย์สินถูกต้อง คือมาจากพุทธศาสนิกชน และเมื่อมีพระลิขิต ก็ได้มีการทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดทันที จึงถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง
เรื่องนี้ผ่านมาแล้วกว่า ๑๗ ปี ประเทศอยู่ในช่วงสร้างความปรองดอง อีกทั้งเป็นยุคที่ล่อแหลมต่อสื่อ ประเทศไทยถูกจับตามองจากต่างชาติ เพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่อยากให้นำเรื่องเก่ามาพูดถึง"
ขอประทานคลานกราบเรียนถามพระคุณเจ้าว่า......
"ยศช้าง-ขุนนางพระ" เป็นเครื่องชี้ความผิด-ความถูกได้ด้วยหรือครับ และนี่ไปลอกถ้อยคำใน fb ที่วัดธรรมกายแถลงวานซืนมาหรือเปล่า
หรือว่าข้อสอบมหาเถรรั่ว ประเด็นที่มหาเถรแถลงกับที่ธรรมกายแถลง จึงยังกะแพะกะแกะต้อนรับตรุษจีน "ปีแพะ" อย่างนั้นแหละ?
ที่พระคุณเจ้าบอกว่า เมื่อมีพระลิขิตก็ทยอยคืนทรัพย์แก่วัดทันที จึงถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง นั้น
ถูกต้องตาม "พระวินัยบัญญัติ" ของพระพุทธองค์แน่นะขอรับ....?
ไม่ใช่ "ปัจจัยบัญญัติ" ตามลัทธิ-นิกาย "ธรรมกลาย" ที่กำลังคืบคลาน ชอนไช บิดทั้งคำสอนและพระวินัยพระพุทธองค์ ตามเป้าหมาย "อาณาจักร-พุทธจักร" ตีโอบเข้าหากัน............
เป็น "แดงทั้งแผ่นดิน" ทักษิณอาณาจักร นะพระคุณเจ้า!
เรื่องอาบัติปาราชิกหรือไม่ปาราชิก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครชี้ให้เป็น-ไม่เป็น ฉะนั้น อย่าเฉไฉอ้างพระลิขิตเป็นตาลปัตรบังหน้า
สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง "เป็น-ไม่เป็น" กรรมคือการกระทำและเจ้าตัวรู้ อีกทั้งองค์ประกอบแห่งการบ่งชี้ว่าผิดพระวินัยข้อนี้ "ตามพุทธบัญญัติ" มีอะไรบ้าง พระคุณเจ้าแต่ละรูป...รู้ดี
ก็ระดับเปรียญธรรมเอกแทบทั้งนั้น ดังนั้น ผมมิบังอาจทำตัวอย่างที่พูดกันว่า "สอนหนังสือสังฆราช" หรอกครับ!
ด้วยพระคุณเจ้ารู้ผิด-รู้ถูกด้วย "ภูมิปริยัติ" ชัดอยู่แล้ว แต่จะมีหรือจะใช้ "ภูมิปฏิบัติ" ประกอบการวินิจฉัย-ตัดสินหรือไม่ ขนาดไหน นั้น
เกล้ากระผม "ละอาย" มิบังอาจจริงๆ!
คำว่า "ทยอยคืนทรัพย์แก่วัดทันที".....ทันที ตามนัยพระคุณเจ้า เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นปีๆ หรือฉับพลันทันใด อยากทราบ?
เอาว่าไม่ต้องนับตั้งแต่ "เหลือบธัมมชโย" มีเถยจิตคิดเอาเงินและที่ดินของเขามาเป็นของตนหรอก เอาแค่วัน-เวลาที่ "สมเด็จพระสังฆราช" มีพระลิขิต ๔ ฉบับ ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ ก็พอ
เหลือบธัมมชโย คืนมั้ย?
ฉบับที่ ๑ ก็..เฉย ฉบับที่ ๒...ก็เฉย ฉบับที่ ๓...ก็เฉย ฉบับที่ ๔ ก็ยังเฉย!
จากปี ๒๕๔๒ จนกระทั่งถึงปี ๒๕๔๙ นับมือ-นับเท้าแล้วก็ประมาณ ๗ ปี ถึงอิดๆ เอื้อนๆ ยอมคืน
๗ ปีนี่ใช่มั้ย คือ "ทันที" ของมหาเถร ชุดที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธรรมกายชนิด...ติฉินกันกระฉ่อน ทั้งทางโลกและทางธรรม?
และที่คืน ก็มิใช่ "มีเจตนาไม่ฉ้อโกง" อย่างที่โฆษกมหาเถรแถลง เหตุที่จำต้องอ้วกเงินและที่ดินร่วมพันล้านคืนวัด เพราะคดีอาญาจวนตัว
ศาลใกล้ตัดสิน ด้วยพยานหลักฐานชัดแจ้ง หนีมาตรฐานกฎหมายไปไม่ได้หรอก ตัดสินวันไหน เข้าคุกวันนั้น ตายทั้งทางโลกและทางศาสนา
มหาเถรยุคนั้น พระมหารัชมังคลาจารย์ร่วมอยู่ด้วย ฝ่ายรัฐบาลก็ทักษิณ ผู้อุปถัมภ์ธรรมกายสุดด้าม ฝ่ายอัยการก็..."ของผม" อย่างที่ทักษิณชอบเรียก ยุคนั้น "นายพชร ยุติธรรมดำรง" เป็น อสส.
สรุปว่า....อัยการสูงสุดไปขอถอนฟ้องต่อศาล ก็อ้างอย่างว่าที่มหาเถรวันนี้อ้างนั่นแหละ ปฏิบัติตามพระลิขิตแล้วบ้าง เพื่อบ้านเมืองปรองดองบ้าง เปลี่ยนคำสอนให้ถูกต้องแล้วบ้าง
เป็นการช่วยกันดึงเจ้า "โล้นแต๋ว" รอดจากโทษคุกได้หวุดหวิด พอถอนฟ้อง มหาเถรก็สรุปเปรี้ยงว่า "ไม่ผิด" เพราะถอนฟ้องแล้ว คืนยศ-คืนตำแหน่ง กันยกใหญ่
อมไว้ ๗ ปีถึงยอมคาย ๗ ปี คือ "ทันที" ในความเห็นมหาเถรธรรมกาย!
และการเอาทรัพย์เขาไป ๗ ปี ถึงขั้น "สมเด็จพระสังฆราช" ต้องมีพระลิขิตให้คืน กระนั้นก็ยังไม่ยอมคืน
มหาเถรชุด "ธรรมายุปถัมภก" วินิจฉัยว่า นั่น....
"มีเจตนาไม่ฉ้อโกง"!
ครับ...ธัมมชโยไม่เพียงบิดเบือนพระพุทธธรรม ทำให้สงฆ์แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง ดังพระลิขิต และมหาเถรวินิจฉัยว่าไม่ผิดเท่านั้น
ณ วันนี้ ด้านพระวินัยที่พุทธองค์ทรงบัญญัติ มหาเถรชุดนี้ ทำคล้ายอาศัยพฤติกรรมชั่วธัมมชโยเป็น "ต้นบัญญัติ" พยายามให้นิยามองค์ประกอบแห่งโทษปาราชิกใหม่
เป็นว่า...การ "เอาทรัพย์เขามา" มากกว่า ๑ บาท ขึ้นไป ถ้าเขาจับได้ คืนเขาไป ถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง ไม่ผิดศีล!?
นี่คือวินัยสงฆ์ฉบับ "มหาเถรธรรมกาย" บัญญัติใหม่ ใช่มั้ยจ๊ะ...โยมขอถาม?
สอดคล้องที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาฯ ปปง.ที่ถือกำเนิดจากระบอบทักษิณแถลงเมื่อวานว่า........
"พบมีการสั่งจ่ายเช็คโดยนายศุภชัยให้วัดธรรมกายจริงหลายครั้ง ครั้งละกว่า ๑๐๐ ล้าน ก่อนหน้านี้เชิญตัวแทนวัดธรรมกายมาให้ปากคำแล้ว พบเงินทั้งหมดถูกนำไปสร้างศาสนสถานแล้ว วัดนำเอกสารใบเสร็จต่างๆ มายืนยัน
ปปง.เรียกดูเอกสารความเคลื่อนไหวทางการเงินจากธนาคารเพื่อตรวจสอบก็พบเส้นทางการเงินถูกนำออกไปใช้ก่อสร้างจริง อย่างไรก็ตาม กฎหมายกำหนดว่าที่ธรณีสงฆ์และศาสนสถานถือเป็นเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ทำให้ ปปง.ไม่สามารถยึดทรัพย์ที่เป็นของแผ่นดินอีกได้
ประเด็น ปปง.ยึดรถยนต์ลัมโบร์กีนีนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย นักแสดงชื่อดัง มาเปรียบเทียบกับกรณีวัดธรรมกาย พ.ต.อ.สีหนาทยอมรับว่า กรณีของนายปกรณ์ และวัดธรรมกายถือว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเหมือนกันทั้ง ๒ กรณี แต่เนื่องจากกรณีวัดธรรมกายมีกฎหมายกำหนดชัดว่าที่ธรณีสงฆ์ห้ามยึด ปปง.จึงไม่สามารถดำเนินการได้"
ผมจึงขอบอกผ่านตรงนี้ไปถึงนายปกรณ์ว่า รีบไปเขียนใบปวารณา "ถวายรถลัมโบร์กีนี" แก่ธัมมชโยด่วน เป็นของวัดแล้ว ปปง.ก็จะยึดไม่ได้ แล้วค่อยไปเจรจาซื้อคืนกับเจ้าโล้นแต๋วทีหลัง
ประเด็นอัยการถอนฟ้องนี่ น่าหยิบขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา การฟ้องศาลคดีธัมมชโย เป็นโทษทางอาญา หลักกฎหมายมีว่า "โทษอาญาถอนฟ้องไม่ได้"
แต่อัยการถอนฟ้องเพราะเหตุใด ทั้งที่ตัวเองตรวจสำนวนชัดก่อนแล้วว่าหลักฐานธัมมชโยฉ้อโกงครบสมบูรณ์ จึงฟ้อง?
และความจริง มหาเถรจะยึดมาตรฐานคดีทางโลก ไปสรุปกับคดีทางพระวินัยกับธัมมชโยก็ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน อีกอย่าง คดีนี้ไม่ใช่ศาลตัดสินแล้วว่าธัมมชโยไม่ผิด
ยังผิดเต็มตีน-เต็มกระบาลโล้น ความผิดยังอยู่ เพียงแต่อัยการถอนฟ้องออกไปเท่านั้น!
๑๗ ปี มหาเถรบอกอยู่ในช่วงปรองดอง ไม่อยากให้เอา "เรื่องเก่า" มาพูด นี่ถ้าไม่เห็นว่าโฆษกมหาเถรเป็นผู้พูด เกล้ากระผมเป็นต้องนึกว่า "แกนนำแดง" พูดแน่เลย.
'โกงแบ่งกัน-โกงแล้วคืน' ไม่ผิด! ประเสริฐแท้พระคุณเจ้า..........! เปลว สีเงิน
Saturday, 21 February, 2015 - 00:00
'โกงแบ่งกัน-โกงแล้วคืน' ไม่ผิด!
ประเสริฐแท้พระคุณเจ้า..........!
ในนาม "กรรมการมหาเถรสมาคม" ทั้ง ๒๐ รูป ประกอบด้วย ฝ่ายธรรมกาย ๑๐ รูป และฝ่ายธรรมยุต ๑๐ รูป คือ
ฝ่ายมหานิกาย
๑.สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ
๒.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวราราม
๓.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม
๔.สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม
๕.พระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา
๖.พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดปากน้ำ
๗.พระพรหมดิลก วัดสามพระยา
๘.พระพรหมโมลี วัดปากน้ำภาษีเจริญ
๙.พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๑๐.พระพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาส
ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
๑.สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศาราม
๒.สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๓.สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร
๔.สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส
๕.พระพรหมเมธาจารย์ วัดบุรณศิริมาตยาราม
๖.พระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศาราม
๗.พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๘.พระพรหมวิสุทธาจารย์ วัดเครือวัลย์
๙.พระธรรมธัชมุนี วัดปทุมวนาราม
๑๐.พระธรรมบัณฑิต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
นี้คือ "คณะรัฐบาลสงฆ์" อันมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ วัดต้นสังกัด "วัดธรรมกาย" เป็นองค์ปฏิบัติหน้าที่ประมุข
บ่ายวาน (๒๐ ก.พ.๕๘) พระคุณเจ้าได้ประชุมพิจารณากัน กรณี "ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก"
ผลประชุม ด้วยยึด "พระธรรมและพระวินัย" อันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติไว้ดีแล้วเป็นบรรทัดฐานวินิจฉัย (ตรงนี้ผมพูดผิดหรือพูดถูกครับ พระคุณเจ้า?)
พระพรหมเมธี โฆษกมหาเถรนำมติที่ประชุมแถลงว่า.....
"พระธัมมชโย ไม่มีเจตนาขัดพระลิขิต และไม่มีเจตนาฉ้อโกง จึงถือว่าพ้นมลทิน และในปี ๒๕๔๙ ได้มีมติถวายคืนสมณศักดิ์ให้กับพระธัมมชโย อีกทั้งในปี ๒๕๕๔ ยังได้เลื่อนสมณศักดิ์จากยศพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็น พระเทพญาณมหามุนี"
โฆษกมหาเถรยังแจกแจงหลักการวินิจฉัยด้วยมาตรฐานมหาเถรธรรมกายด้วยว่า....
"หลักการพิจารณาทางสงฆ์ว่า ความผิดยักยอกทรัพย์สำเร็จหรือไม่นั้น จะดูที่เจตนาเป็นหลัก ซึ่งในกรณีนี้มีที่มาของทรัพย์สินถูกต้อง คือมาจากพุทธศาสนิกชน และเมื่อมีพระลิขิต ก็ได้มีการทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดทันที จึงถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง
เรื่องนี้ผ่านมาแล้วกว่า ๑๗ ปี ประเทศอยู่ในช่วงสร้างความปรองดอง อีกทั้งเป็นยุคที่ล่อแหลมต่อสื่อ ประเทศไทยถูกจับตามองจากต่างชาติ เพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่อยากให้นำเรื่องเก่ามาพูดถึง"
ขอประทานคลานกราบเรียนถามพระคุณเจ้าว่า......
"ยศช้าง-ขุนนางพระ" เป็นเครื่องชี้ความผิด-ความถูกได้ด้วยหรือครับ และนี่ไปลอกถ้อยคำใน fb ที่วัดธรรมกายแถลงวานซืนมาหรือเปล่า
หรือว่าข้อสอบมหาเถรรั่ว ประเด็นที่มหาเถรแถลงกับที่ธรรมกายแถลง จึงยังกะแพะกะแกะต้อนรับตรุษจีน "ปีแพะ" อย่างนั้นแหละ?
ที่พระคุณเจ้าบอกว่า เมื่อมีพระลิขิตก็ทยอยคืนทรัพย์แก่วัดทันที จึงถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง นั้น
ถูกต้องตาม "พระวินัยบัญญัติ" ของพระพุทธองค์แน่นะขอรับ....?
ไม่ใช่ "ปัจจัยบัญญัติ" ตามลัทธิ-นิกาย "ธรรมกลาย" ที่กำลังคืบคลาน ชอนไช บิดทั้งคำสอนและพระวินัยพระพุทธองค์ ตามเป้าหมาย "อาณาจักร-พุทธจักร" ตีโอบเข้าหากัน............
เป็น "แดงทั้งแผ่นดิน" ทักษิณอาณาจักร นะพระคุณเจ้า!
เรื่องอาบัติปาราชิกหรือไม่ปาราชิก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครชี้ให้เป็น-ไม่เป็น ฉะนั้น อย่าเฉไฉอ้างพระลิขิตเป็นตาลปัตรบังหน้า
สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง "เป็น-ไม่เป็น" กรรมคือการกระทำและเจ้าตัวรู้ อีกทั้งองค์ประกอบแห่งการบ่งชี้ว่าผิดพระวินัยข้อนี้ "ตามพุทธบัญญัติ" มีอะไรบ้าง พระคุณเจ้าแต่ละรูป...รู้ดี
ก็ระดับเปรียญธรรมเอกแทบทั้งนั้น ดังนั้น ผมมิบังอาจทำตัวอย่างที่พูดกันว่า "สอนหนังสือสังฆราช" หรอกครับ!
ด้วยพระคุณเจ้ารู้ผิด-รู้ถูกด้วย "ภูมิปริยัติ" ชัดอยู่แล้ว แต่จะมีหรือจะใช้ "ภูมิปฏิบัติ" ประกอบการวินิจฉัย-ตัดสินหรือไม่ ขนาดไหน นั้น
เกล้ากระผม "ละอาย" มิบังอาจจริงๆ!
คำว่า "ทยอยคืนทรัพย์แก่วัดทันที".....ทันที ตามนัยพระคุณเจ้า เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นปีๆ หรือฉับพลันทันใด อยากทราบ?
เอาว่าไม่ต้องนับตั้งแต่ "เหลือบธัมมชโย" มีเถยจิตคิดเอาเงินและที่ดินของเขามาเป็นของตนหรอก เอาแค่วัน-เวลาที่ "สมเด็จพระสังฆราช" มีพระลิขิต ๔ ฉบับ ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ ก็พอ
เหลือบธัมมชโย คืนมั้ย?
ฉบับที่ ๑ ก็..เฉย ฉบับที่ ๒...ก็เฉย ฉบับที่ ๓...ก็เฉย ฉบับที่ ๔ ก็ยังเฉย!
จากปี ๒๕๔๒ จนกระทั่งถึงปี ๒๕๔๙ นับมือ-นับเท้าแล้วก็ประมาณ ๗ ปี ถึงอิดๆ เอื้อนๆ ยอมคืน
๗ ปีนี่ใช่มั้ย คือ "ทันที" ของมหาเถร ชุดที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธรรมกายชนิด...ติฉินกันกระฉ่อน ทั้งทางโลกและทางธรรม?
และที่คืน ก็มิใช่ "มีเจตนาไม่ฉ้อโกง" อย่างที่โฆษกมหาเถรแถลง เหตุที่จำต้องอ้วกเงินและที่ดินร่วมพันล้านคืนวัด เพราะคดีอาญาจวนตัว
ศาลใกล้ตัดสิน ด้วยพยานหลักฐานชัดแจ้ง หนีมาตรฐานกฎหมายไปไม่ได้หรอก ตัดสินวันไหน เข้าคุกวันนั้น ตายทั้งทางโลกและทางศาสนา
มหาเถรยุคนั้น พระมหารัชมังคลาจารย์ร่วมอยู่ด้วย ฝ่ายรัฐบาลก็ทักษิณ ผู้อุปถัมภ์ธรรมกายสุดด้าม ฝ่ายอัยการก็..."ของผม" อย่างที่ทักษิณชอบเรียก ยุคนั้น "นายพชร ยุติธรรมดำรง" เป็น อสส.
สรุปว่า....อัยการสูงสุดไปขอถอนฟ้องต่อศาล ก็อ้างอย่างว่าที่มหาเถรวันนี้อ้างนั่นแหละ ปฏิบัติตามพระลิขิตแล้วบ้าง เพื่อบ้านเมืองปรองดองบ้าง เปลี่ยนคำสอนให้ถูกต้องแล้วบ้าง
เป็นการช่วยกันดึงเจ้า "โล้นแต๋ว" รอดจากโทษคุกได้หวุดหวิด พอถอนฟ้อง มหาเถรก็สรุปเปรี้ยงว่า "ไม่ผิด" เพราะถอนฟ้องแล้ว คืนยศ-คืนตำแหน่ง กันยกใหญ่
อมไว้ ๗ ปีถึงยอมคาย ๗ ปี คือ "ทันที" ในความเห็นมหาเถรธรรมกาย!
และการเอาทรัพย์เขาไป ๗ ปี ถึงขั้น "สมเด็จพระสังฆราช" ต้องมีพระลิขิตให้คืน กระนั้นก็ยังไม่ยอมคืน
มหาเถรชุด "ธรรมายุปถัมภก" วินิจฉัยว่า นั่น....
"มีเจตนาไม่ฉ้อโกง"!
ครับ...ธัมมชโยไม่เพียงบิดเบือนพระพุทธธรรม ทำให้สงฆ์แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง ดังพระลิขิต และมหาเถรวินิจฉัยว่าไม่ผิดเท่านั้น
ณ วันนี้ ด้านพระวินัยที่พุทธองค์ทรงบัญญัติ มหาเถรชุดนี้ ทำคล้ายอาศัยพฤติกรรมชั่วธัมมชโยเป็น "ต้นบัญญัติ" พยายามให้นิยามองค์ประกอบแห่งโทษปาราชิกใหม่
เป็นว่า...การ "เอาทรัพย์เขามา" มากกว่า ๑ บาท ขึ้นไป ถ้าเขาจับได้ คืนเขาไป ถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง ไม่ผิดศีล!?
นี่คือวินัยสงฆ์ฉบับ "มหาเถรธรรมกาย" บัญญัติใหม่ ใช่มั้ยจ๊ะ...โยมขอถาม?
สอดคล้องที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาฯ ปปง.ที่ถือกำเนิดจากระบอบทักษิณแถลงเมื่อวานว่า........
"พบมีการสั่งจ่ายเช็คโดยนายศุภชัยให้วัดธรรมกายจริงหลายครั้ง ครั้งละกว่า ๑๐๐ ล้าน ก่อนหน้านี้เชิญตัวแทนวัดธรรมกายมาให้ปากคำแล้ว พบเงินทั้งหมดถูกนำไปสร้างศาสนสถานแล้ว วัดนำเอกสารใบเสร็จต่างๆ มายืนยัน
ปปง.เรียกดูเอกสารความเคลื่อนไหวทางการเงินจากธนาคารเพื่อตรวจสอบก็พบเส้นทางการเงินถูกนำออกไปใช้ก่อสร้างจริง อย่างไรก็ตาม กฎหมายกำหนดว่าที่ธรณีสงฆ์และศาสนสถานถือเป็นเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ทำให้ ปปง.ไม่สามารถยึดทรัพย์ที่เป็นของแผ่นดินอีกได้
ประเด็น ปปง.ยึดรถยนต์ลัมโบร์กีนีนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย นักแสดงชื่อดัง มาเปรียบเทียบกับกรณีวัดธรรมกาย พ.ต.อ.สีหนาทยอมรับว่า กรณีของนายปกรณ์ และวัดธรรมกายถือว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเหมือนกันทั้ง ๒ กรณี แต่เนื่องจากกรณีวัดธรรมกายมีกฎหมายกำหนดชัดว่าที่ธรณีสงฆ์ห้ามยึด ปปง.จึงไม่สามารถดำเนินการได้"
ผมจึงขอบอกผ่านตรงนี้ไปถึงนายปกรณ์ว่า รีบไปเขียนใบปวารณา "ถวายรถลัมโบร์กีนี" แก่ธัมมชโยด่วน เป็นของวัดแล้ว ปปง.ก็จะยึดไม่ได้ แล้วค่อยไปเจรจาซื้อคืนกับเจ้าโล้นแต๋วทีหลัง
ประเด็นอัยการถอนฟ้องนี่ น่าหยิบขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา การฟ้องศาลคดีธัมมชโย เป็นโทษทางอาญา หลักกฎหมายมีว่า "โทษอาญาถอนฟ้องไม่ได้"
แต่อัยการถอนฟ้องเพราะเหตุใด ทั้งที่ตัวเองตรวจสำนวนชัดก่อนแล้วว่าหลักฐานธัมมชโยฉ้อโกงครบสมบูรณ์ จึงฟ้อง?
และความจริง มหาเถรจะยึดมาตรฐานคดีทางโลก ไปสรุปกับคดีทางพระวินัยกับธัมมชโยก็ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน อีกอย่าง คดีนี้ไม่ใช่ศาลตัดสินแล้วว่าธัมมชโยไม่ผิด
ยังผิดเต็มตีน-เต็มกระบาลโล้น ความผิดยังอยู่ เพียงแต่อัยการถอนฟ้องออกไปเท่านั้น!
๑๗ ปี มหาเถรบอกอยู่ในช่วงปรองดอง ไม่อยากให้เอา "เรื่องเก่า" มาพูด นี่ถ้าไม่เห็นว่าโฆษกมหาเถรเป็นผู้พูด เกล้ากระผมเป็นต้องนึกว่า "แกนนำแดง" พูดแน่เลย.