พระพรหมโมลี วัดปากน่ำ ปัจจุบันเป็นพระมหาเถระ ชั้นผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์ไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม, เจ้าคณะภาค 5, เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระอารามหลวง, แม่กองบาลีสนามหลวง, ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ, เลขานุการแม่กองงานพระธรรมทูต, หัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ 3, รองประธานคณะพระธรรมจาริก, และอดีตเคยเป็นถึงผู้รักษาการเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ,
ในส่วนของสมณศักดิ์ (ยศ) ก็เป็นถึงชั้นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง (รองสมเด็จ) แต่ทว่ามรดกทางธรรมที่เป็นไปเพื่อสาธารณะประโยชน์ของท่านนั้นยังเห็นว่าไม่เห็นจะมีคุณูปการอะไรกับสังคมไทย
หากจะเทียบกับครูบาอาจารย์ของท่านอย่างเช่นหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ก็ได้ฝากมรดกทางธรรมไว้ อย่างเช่นร่างกายของท่านก็ได้ทิ้งไว้เพื่อให้เป็นจุดหล่อเลี้ยงกับพระภิกษุผู้ยังมีชีวิตอยู่ มีคำมีคำกล่าวที่ท่านกล่าวไว้เมื่อตอนยังเป็นว่า"ไม่ให้เผาร่างของท่านเพราะต่อไปคนตายจะเลี้ยงคนเป็น" ก็ได้อาศัยเหตุปัจจัยนี่ทำให้วัดปากน้ำมีศรัทธาสาธุชนผู้เลื่อมใสในวิชชาธรรมกายได้หลั่งไหลเข้ามาทำบุญจนวัดปากน้ำเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับหากจะนับเป็นมูลค่าก็นับเป็นหลายพันล้านบาทได้
อีกรูปคือสมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์ (ช่วง) เจ้าประคุณท่านก็ได้สร้างคุณูปการที่เป็นสาธารณะประโยชน์เป็นมรดกที่เมื่อเอ่ยถึงสิ่งนั้นจะต้องนึกถึงเมตตากรุณาธิคุณของเจ้าประคุณสมเด็จท่าน อย่างเช่นวัดสังฆนุภาพ จังหวัดกำแพงเพชร ก็ได้ตั้งหลักปักฐานเป็นสำนักเรียนบาลีที่มั่นคง หรือแม้กระทั่งได้ทิ้งปัจจัยไว้เพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาล จะได้เป็นที่รักษาในยามญาติโยมเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นต้น
เรียกได้ว่าครูบาอาจารย์ที่ยกมากล่าวเป็นตัวอย่างทั้งสองรูปนั้นได้ทิ้งมรดกไว้แม้ท่านจะมรณภาพสิ้นชีพไปแล้วก็ยังทิ้งคุณูปการไว้ให้แก่สังคมไทยได้นึกถึงท่านเป็นคุณงามความดีเป็นศักดิ์ศรีประกาศเกียรติคุณของท่านแม้ในยามจากไปจนทุกวันนี้
แต่พระพรหมโมลียังนึกไม่ออกว่าท่านทำอะไรที่เป็นสาธารณะประโยชน์ เห็นแต่ยุให้พระภิกษุผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในคณะสงฆ์ที่ตนปกครองเล่าเรียนศึกษาบาลีด้วยความที่ตอนเป็นแม่กองฯ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เสริมหน้าตาบารมีแก่ตน แต่พอเวลาจะตั้งตำแหน่งพระสังฆาธิการกลับไปตั้งพระภิกษุผู้ที่วิ่งเต้นโดยถวายสิ่งนั้นสิ่งนี้แก่ตน จนเป็นที่เห็นประจักษ์ว่าพระเดชพระคุณมักจะเป็นผู้รับอย่างเดียว ยังนึกไม่ออกเลยว่าท่านเป็นผู้ให้อะไรแก่สังคมไทยไว้บ้าง จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้มา ณ ที่นี้ครับ
มรดกทางธรรมของ พระพรหมโมลี วัดปากน้ำคืออะไร
ในส่วนของสมณศักดิ์ (ยศ) ก็เป็นถึงชั้นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง (รองสมเด็จ) แต่ทว่ามรดกทางธรรมที่เป็นไปเพื่อสาธารณะประโยชน์ของท่านนั้นยังเห็นว่าไม่เห็นจะมีคุณูปการอะไรกับสังคมไทย
หากจะเทียบกับครูบาอาจารย์ของท่านอย่างเช่นหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ก็ได้ฝากมรดกทางธรรมไว้ อย่างเช่นร่างกายของท่านก็ได้ทิ้งไว้เพื่อให้เป็นจุดหล่อเลี้ยงกับพระภิกษุผู้ยังมีชีวิตอยู่ มีคำมีคำกล่าวที่ท่านกล่าวไว้เมื่อตอนยังเป็นว่า"ไม่ให้เผาร่างของท่านเพราะต่อไปคนตายจะเลี้ยงคนเป็น" ก็ได้อาศัยเหตุปัจจัยนี่ทำให้วัดปากน้ำมีศรัทธาสาธุชนผู้เลื่อมใสในวิชชาธรรมกายได้หลั่งไหลเข้ามาทำบุญจนวัดปากน้ำเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับหากจะนับเป็นมูลค่าก็นับเป็นหลายพันล้านบาทได้
อีกรูปคือสมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์ (ช่วง) เจ้าประคุณท่านก็ได้สร้างคุณูปการที่เป็นสาธารณะประโยชน์เป็นมรดกที่เมื่อเอ่ยถึงสิ่งนั้นจะต้องนึกถึงเมตตากรุณาธิคุณของเจ้าประคุณสมเด็จท่าน อย่างเช่นวัดสังฆนุภาพ จังหวัดกำแพงเพชร ก็ได้ตั้งหลักปักฐานเป็นสำนักเรียนบาลีที่มั่นคง หรือแม้กระทั่งได้ทิ้งปัจจัยไว้เพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาล จะได้เป็นที่รักษาในยามญาติโยมเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นต้น
เรียกได้ว่าครูบาอาจารย์ที่ยกมากล่าวเป็นตัวอย่างทั้งสองรูปนั้นได้ทิ้งมรดกไว้แม้ท่านจะมรณภาพสิ้นชีพไปแล้วก็ยังทิ้งคุณูปการไว้ให้แก่สังคมไทยได้นึกถึงท่านเป็นคุณงามความดีเป็นศักดิ์ศรีประกาศเกียรติคุณของท่านแม้ในยามจากไปจนทุกวันนี้
แต่พระพรหมโมลียังนึกไม่ออกว่าท่านทำอะไรที่เป็นสาธารณะประโยชน์ เห็นแต่ยุให้พระภิกษุผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในคณะสงฆ์ที่ตนปกครองเล่าเรียนศึกษาบาลีด้วยความที่ตอนเป็นแม่กองฯ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เสริมหน้าตาบารมีแก่ตน แต่พอเวลาจะตั้งตำแหน่งพระสังฆาธิการกลับไปตั้งพระภิกษุผู้ที่วิ่งเต้นโดยถวายสิ่งนั้นสิ่งนี้แก่ตน จนเป็นที่เห็นประจักษ์ว่าพระเดชพระคุณมักจะเป็นผู้รับอย่างเดียว ยังนึกไม่ออกเลยว่าท่านเป็นผู้ให้อะไรแก่สังคมไทยไว้บ้าง จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้มา ณ ที่นี้ครับ