Life Style ของคนยุคใหม่? เหรอ?

กระทู้แรกของชีวิตในพันทิพครับ...

สิ่งที่ผมจะพิมพ์ให้อ่านต่อไปนี้คือวงจรหนึ่งของวิถีชีวิตคนปัจจุบัน...
อาจจะถูกใจ...หรือไม่ถูกใจใครหลายๆคน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ...

หลังจากที่ผมได้อ่านโพสหนึ่งเกี่ยวกับการสอบถามเรื่องโรงเรียนกวดวิชาสำหรับเด็ก(ลูกของจขกท.คนนั้น) ที่กำลังเตรียมจะสอบเข้ารร.คริสต์เอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกทม. บางคำตอบในโพสนั้นก็สนับสนุนจขกท.ว่าการที่จขกท.กำลังวางแผนเพื่อลูกนั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว บ้างก็ตอบว่าทำไมจะต้องรีบให้ลูกเข้าเรียนอะไรขนาดนั้น บ้างก็บอกว่าทำไมต้องรีบอัดวิชาการให้ลูกคร่ำเคร่งเรียนพิเศษอะไรมากมายตั้งแต่อายุน้อยๆ และจากประสบการณ์เท่าที่ผมพบเจอกับเรื่องราวเหล่านี้มาไม่ต่ำกว่า 5 ปี (บวกกับความอัดอั้นส่วนตัวกับกระแสสังคมแนวนี้) จึงเกิดโพสนี้ขึ้น มันเกิดจากการที่ผมเห็น "ผล" แล้วถามตัวเองว่า "เหตุ" มันเกิดจากอะไร ซึ่งสิ่งที่ผมกำลังจะพิมพ์บางอย่างมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องตามลำดับเหตุการณ์อะไรกันหรอกนะครับ แค่ผมอยากจะสะท้อนค่านิยมในสังคมของคนปัจจุบันที่ผมได้สังเกตุและรู้สึกแปลกๆมาตลอดมาเล่าสู่กันฟัง ลำดับมาเป็น Timeline ให้ดูแต่ละช่วงของชีวิต


กระแสนิยมของสังคมทุกวันนี้ ...

ช่วงเริ่มต้นชีวิต
ในที่นี้หมายถึงพึ่งเรียนจบมาใหม่ๆนะครับ คนธรรมดาๆ (ย้ำว่าธรรมดา) ที่บ้านพ่อแม่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตอะไร จบมาใหม่ๆ เจ๋งหน่อยก็ได้งานดีๆ รายได้ก็ 3-5 หมื่นขึ้นไป แต่ถ้าเป็นคนธรรมดามาตรฐานปกติหละ? ก็นะ อย่างที่รู้ๆ รับเน้นๆ 11,000-18,000 (ยังไม่รวมหักโน่นนั่นนี่) หรืออาจจะตามมาตรฐานค่าแรงขั้นต่ำ (ที่ทำงานบางที่ไม่มีนโยบายขึ้นเงินเดือนซะด้วยสิ)

ช่วงลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว
พอทำงานไปได้ซักพัก สำหรับคนโสด...บ้างก็กระเ สื อกกระสนค้นหาว่าที่สามีภรรยากันต่อไป จะเจอรึไม่ก็แล้วแต่เวรกรรมวาสนา แต่สำหรับใครที่ไม่โสด พอทำงานไปสักพักก็คิดริเริ่มอยากจะลงหลักปักฐาน มีครอบครัว คบไปสักพักถ้าที่บ้านรับรู้พ่อแม่ก็จะเริ่มถามไถ่ถึงเรื่องแต่งงาน ถ้าคบเล่นๆก็อาจจะบอกให้เลิกคบเถอะ รึไม่ก็ไม่ถามต่อ แต่ถ้าคบจริงจังนี่ก็จะเริ่มลงลึกถึงรายละเอียด สักพักเรื่องสินสอดทองหมั้นก็จะตามมา

ลูกสาวผู้มีอันจะกิน
กรณีผู้มีฐานะหน้าตาทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจมีชื่อในระแวกนั้น หรือทำงานราชการที่มีหน้ามีตาในวงการตัวเอง แต่ตัวว่าที่เจ้าบ่าวเองเ-ือกไม่มีอะไร อันนี้ก็เหนื่อยและยากหน่อย เพราะแน่ๆหละว่าที่พ่อตาแม่ยายคงไม่ยอมแน่ๆถ้าจะจัดงานธรรมดาๆไม่ป่าวประกาศบอกใคร (สมัยนี้เป็นกันซะเยอะด้วยสิ ต้องออกการ์ดแจกซอง) แต่ถ้าโชคดีว่าที่พ่อตาแม่ยายไม่ได้ซีเรียสอะไร มองดูแล้ว ขอแค่ว่าที่ลูกเขย(ดู)เป็นคนดี ขยันทำมาหากิน พอจะเป็นหลักเป็นฐานอันแข็งแรงให้ลูกสาวเขาได้ ก็อาจจะไม่ต้องอะไรมากมาย มีแค่ไหนก็แค่นั้น อันนี้ก็บุญของว่าที่เจ้าบ่าวไป

ถึงเวลาแต่งงาน
แต่งงานสมัยนี้ ส่วนใหญ่ที่เห็น ค่าสินสอดที่เป็นเงินอย่างต่ำๆก็ทะลุ 1-2 แสนไปละ ทองอย่างน้อยก็ 2-10 บาท อาจจะมีแหวน-ตุ้มหูทอง หรือสร้อยเพชร ร่วมไปด้วย เป็น Requirement ขั้นต่ำที่ต้องมี และถ้าอยากให้ยิ่งใหญ่กว่านั้น พ่อแม่เจ้าสาวรึตัวเจ้าสาวเองบางรายอาจจะต้องขอให้เจ้าบ่าวจัดบ้าน จัดรถ เป็นออพชั่นเสริมในกรณีที่ดีมานด์สูง (ซัพพลายแค่ไหนว่ากันอีกที)

จากออพชั่นด้านบน ย้อนกลับไปที่ข้อแรก คนที่เริ่มต้นด้วยเงินเดือน 11,000-18,000 บาท ในกรณีที่ทำงานไป 10 ปี ในกรณีที่อ่านเกมวางแผนมาดี คำนวนดูซิว่าจะมีเท่าไหร่ แล้วถ้าที่บ้านฐานะธรรมดาๆ กี่ปีถึงจะมีกินมีเก็บพอที่จะสามารถไปขอลูกสาวเขาได้นะ? ยิ่งถ้าเป็นลูกสาวของคนมีหน้ามีตาในสังคมด้วยแล้วละก็...ฮึ่มมมมมมมม

ข้ามชอร์ตว่าที่สามีผู้มีอันจะกินไปได้เลยนะครับ อันนี้สบายๆ ดีมานด์เท่าไหร่ซัพพลายไม่อั้นอยู่ละ แต่! ไม่รับประกันนะครับว่าชีวิตหลังจากลั่นประตูวิวาห์เสร็จแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจจะตามข่าวที่เห็นบ่อยๆ หรืออาจจะราบรื่น อันนี้ก็สุดแท้แต่...

บางรายอาจจะระเบิดม่านประเพณี จัดหนักๆไปซักทีมีป่อง กรณีนี้ค่าตัวอาจจะหดหายลงไปบ้างไม่มากก็น้อย หากว่าที่พ่อตาแม่ยายรับได้ก็ดีไป แต่หากรับไม่ได้ล่ะ? ผมเคยเจอกรณีของแฟนรุ่นพี่ผม พ่อแม่ฝ่ายหญิงพอรู้ว่าท้องนี่ไล่ตะเพิดออกจากบ้านตัดพ่อตัดลูกกันเลยทีเดียว กรณีนั้นคือพ่อแม่เป็นข้าราชการมีหน้ามีตาในสังคม (แต่ก็ใช่ว่าข้าราชการจะเป็นแนวนี้เสมอไปนะจ้ะ) เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาก็ช๊อคสิครับ รับไม่ได้ ตะเพิดออกจากบ้านไปเลย


ก้าวต่อไป "ตั้งครรภ์"...

เมื่อผ่านพ้นเรื่องเงินๆทองๆท้องๆแต่งๆมาแล้ว ก้าวต่อไปก็คือการให้กำเนิดสมาชิกใหม่

ลูกกำลังจะเกิด
ก็ต้องหาฤกษ์คลอด ชั่วโมง นาที วินาที วัน เดือน เวลาตกฟาก เพราะต่างก็เชื่อกันว่า ถ้าได้คลอดตามเวลานี้ๆ ตามที่ชินแสหมอดูทำนายไว้ จะทำให้ชีวิตดี๊ดี แต่อาจจะคำนึงน้อยไปหน่อยว่าลูกจะพร้อมออกมามั้ย? ถึงเวลาสมควรรึยัง? (ไม่นับกรณีถึงเวลาแต่ไม่อยากออกมาเองนะครับ) แม่พร้อมรึยัง? ในความคิดผมนะ อะไรก็ไม่ดีเท่าสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดให้หรอกครับ แต่ยุคนี้ความคิดนี้คงไม่แล้วแหละ สนแต่เรื่องทำยังไงอนาคตถึงจะดี มันลามมาถึงเรื่องคลอดกันแล้ว เชื่อตัวเลขที่ใครก็ไม่รู้กำหนดให้มา...

เรื่องนาม...สำคัญไฉน
ชื่อที่จะตั้งให้ลูกสมัยนี้ก็ต้องแปลกต้องประหลาดไว้ก่อนนะครับ (ไม่รู้กลัวไม่เท่ห์รึยังไง) อ่านยากๆ เขียนแปลกๆ เอาวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากไปตีเป็นอักษร ตัวอักษรในชื่อสมัยนี้ก็ต้องมีตัวแปลกๆ เช่น ฎ ฑ ณ ฐ ฤ ฆ ฏ ฌ ฬ ฦ ฒ - ์   ิ์  ุ์ ฯลฯ ไม่ได้นะคร้าบบ ต้อง Follow ตามดวงตามฤกษ์ที่ดูไว้ ก็อีกแหละ ด้วยความที่กลัวว่าอนาคตจะไม่ดี ลูกจะเป็นเด็กเลี้ยงยาก โตขึ้นอาจจะไม่เจริญไม่ร่ำไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนกับเขา (บางรายนี่อาจจะกลัวไปถึงขั้นว่าลูกจะเป็นที่พึ่งยามแก่เฒ่าไม่ได้เลยนะ)

วัยเจริญเติบโต
พอลูกโตขึ้นมาหน่อย (บางรายไม่ทันจะ 2 ขวบ) ก็ต้องส่งไปเรียนพิเศษ กวดวิชา เพื่อเตรียมเข้าอนุบาล (จะรีบอะไรขนาดน้าน?!?) อาจจะกลัวลูกโง่ กลัวลูกไม่ฉลาดเท่าเด็กข้างบ้าน (ผมไม่เข้าใจว่าพ่อแม่พวกนี้ไม่รู้จัก Home School กันเลยหรือไง?) พ่อแม่หลายๆคนหนักกว่านั้น ลูกพึ่งจะ 2-3 ขวบ ก็ส่งไปเรียนอนุบาล แต่ที่หวังดีกับลูกจริงๆก็มีนะ และที่ผมเจอบ่อยๆก็เช่น
1. ในกรณีที่พ่อแม่ทำงาน (อย่างหนัก) จนไม่มีเวลาดูแล พ่อไปทาง แม่ไปทาง (ไม่ได้เลิกกันนะ) เพื่อหาเงินมาให้ได้เยอะขึ้นๆ เพื่อเอาไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย (จนบ่อยครั้งที่บางรายอาจจะเป็นหนี้บัตรเครดิต จ่ายขั้นต่ำ บางทีหมุนไม่ทัน)
2. กรณีที่คุณแม่ยังสาว อาจจะไม่ได้ทำงาน (โชคดีหน่อยได้สามีมีอันจะกิน แอร๊ยยย) ก็จะได้มีเวลาไปร่วมคบค้าสมาคมกับเพื่อนสาว เข้าร้านแต่งหน้าทำผมขัดผิวสปาตัวสปาเล็บ พบปะสังสรรค์ ณ โรงทานร้านกาแฟหรูๆ เสร็จธุระก็ได้เวลาไปรับลูกพอดี (แต่ก็คงไม่ทุกวันหรอกมั้งครับ?)

วัยเล่าเรียนศึกษา
เมื่อถึงวัยเข้าเรียน พ่อแม่บางคนนี่ยิ่งต้องกระเ สื อกกระสนดิ้นรนถีบเขย่งกล้ามขาหาเงินเพิ่มอีก เพื่อที่จะได้(ยัด)ให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนดีๆ อาจจะนานาชาติ หรือโรงเรียนมีชื่อเสียง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกของตัวเองนั้นเก่ง ทันโลก เก่งกว่าเด็กคนอื่นๆในรุ่นๆเดียวกัน (บ้างอาจจะเพื่อฐานะหน้าตาทางสังคม) และสมัยนี้นะครับ Tablet ต้องมี Smartphone ก็ขาดไม่ได้ (ผมนี่ตกใจเลย เด็กประถมบางคนนี่นั่ง Facetime คุยกับเพื่อนหลังเลิกเรียนกันแล้วนะเว้ยเห้ยย!) อยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ เรียนเก่งๆ โตขึ้นจะได้หาเงินได้เยอะๆ เป็นเจ้าคนนายคน (อีกแระ)

มีเงิน...แต่ไม่มีเวลา
สมัยนี้ส่วนใหญ่พ่อแม่ต่างคนต่างทำงานหาเงินเพื่อมาใช้จ่าย บ้างก็ซื้อบ้านหลังใหญ่โต บ้างก็ซื้อรถหรูๆไว้ซักสองสามคันเพื่อที่จะได้เป็นเครื่องบ่งชี้ฐานะหน้าตาทางสังคม (พูดถึงพวกที่ต้องเขย่งเพื่อที่จะได้มีที่ยืนในสังคมอย่างเดียวนะ ไม่นับพวกที่เขามีอันจะกินอยู่แล้ว) ส่วนใหญ่มันก็ลงอีหรอบเดิมแหละครับ มักมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูกเพราะป๊าและม๊าต้องทำงานหาเงินนะจ้ะ ลงเอยด้วยการจ้างพี่เลี้ยง ได้พี่เลี้ยงที่ดีก็ดีไป ได้พี่เลี้ยง-ัญไรนี่เตรียมตัว-ิบหายได้เลย ลูกไม่โดนยำเละรอดมาได้นี่บุญแค่ไหนแล้ว หลายๆทีกล้องวงจรปิดก็จับได้ สุดท้ายก็ออกสรยุทธ ออกเช้านี้ที่หมอชิต
มันก็ยังเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่หลาบไม่จำ

วัยรุ่น...วัยคะนอง
พอลูกโตขึ้นมาอีกหน่อย โชคดีไม่ใจแตกก็ดีไป โชคร้ายก็กลายเป็นความห่วงใยที่ลูกไม่ต้องการ ผมเคยเจอรุ่นน้องผู้หญิงที่โรงเรียนเก่าสองสามคน คนหนึ่งพ่อแม่ทำงานธนาคาร ตำแหน่งค่อนข้างใหญ่ มีหน้ามีตาในสังคม ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก วันดีคืนดีให้ผู้ชาย(ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่ผมรู้จักเหมือนกัน)ปีนขึ้นบ้านเข้าทางหน้าต่างไปนอนด้วยเฉยเลย เผอิญจ้ำจี้เสียงดังไปหน่อย คุณแม่กลับมาบ้านพอดีเดินผ่านห้องก็เลยเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วง "เป็นอะไรลูก?" น้องก็ตอบหน้าตาเฉย "อ๋อ...พอดีฝันร้ายค่ะแม่" มันกลายเป็นตลกร้ายในวงเหล้าที่ผมไม่รู้จะอิจฉาหรือสงสารดี

นั่นหละครับท่านผู้อ่าน...พ่อแม่ก็มักจะพล่ามเสมอว่าที่ทำไปทั้งหมดเพื่ออนาคตของลูก อยากให้ลูกได้ดี แต่เดี๋ยวก่อน! ก่อนที่จะจัดอะไรให้ลูก เคยถามมั้ยครับว่าลูกต้องการหรือเปล่า? ระวังลูกจะเหมือนน้องดุจดาวฮอร์โมนนะจ้ะ

โรคร้าย...เพราะไล่ล่า "เงิน"
ตลกร้ายที่สุดในโลกยุคศตวรรษที่ 19-20 คือ มนุษย์ทุกคนล้วนแต่กำลังวิ่งไล่ล่าหา "เงิน" เพื่อเป็นทาสรับใช้ "เงิน" แล้วชีวิตบั้นปลาย "เงิน" ก็หมดไปกับโรคร้ายด้วยเหตุเพราะ "เงิน" (คนมีสติเบรคไม่แตกเท่านั้นที่จะตายอย่างมีความสุข)

ผมไม่ได้บอกว่า "เงิน" เป็นสิ่งไม่ดี ผมไม่ได้สนับสนุนให้คุณเกลียดการเป็นคนรวย
ก็อย่างที่กูรูทางการเงินหลายๆท่านบอก "เวลาสำคัญกว่าเงิน" เราไม่ควรใช้ทั้งชีวิตเพื่อหาเงิน เพราะ "เงิน" คุณหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ "เวลา" ที่คุณอยู่กับลูกกับครอบครัว ลูกคุณโตหนีความเป็นเด็กไปทุกวัน คุณไม่มีสามารถ "ซื้อเวลา" กลับไปได้อีกแล้ว

โชคดีไปถ้าทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณ แต่ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเจอกับคนรอบตัว คนใกล้ตัว ในข่าว กี่ครั้งแล้วครับที่เราพบเจอกับวงจรอุบาทว์แบบนี้ ทั้งในนิยาย ละคร และชีวิตจริง(ที่เอาไปสร้างเป็นนิยาย) แต่เราไม่เคยนึกถึง ไม่เคยฉุกคิดเลยว่า ต้นเหตุของเรื่องเหล่านี้มันคืออะไร และทำอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับเรา

ยังมีอีกเยอะซะจนนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรเพิ่มเข้าไปอีก...

ไหนๆก็อ่านมาถึงบรรทัดเกือบสุดท้ายแล้ว ก็ขอขอบพระคุณเป็นอย่างมากที่อ่านบทพล่ามยาวๆบทแรกของผมจนจบนะคร้าบบ


May the CONSCIOUSNESS be with you ...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่