พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด
ชุดที่ ๕ สินสมุทพิชิตศึก
ตอนที่ ๑ "ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก"
ฑ.มณฑา
เมื่อ ศรีสุวรรณ ได้ครองกรุงรมจักรและได้อภิเษกกับนางเกษรานั้น เพื่อนพราหมณ์ทั้งสามคนก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย
เจ้าโมรา นั้นได้ นางประภาวดี เป็น ภรรยาไปปกครองเมืองจารึกทางทิศตะวันออก
เจ้า วิเชียร ได้ นางจงกล เป็นภรรยา ไปปกครองเมืองปราการทางทิศเหนือ
และ สานน ได้ นางอุบล เป็นภรรยาไปปกครอง เมืองสายัณห์ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงรมจักร
ทั้งหมดต่างก็มีความสุขสบายทั่วหน้ากัน
ศรีสุวรรณนั้นเพลิดเพลินจนลืมความตั้งใจ ที่จะติดตามหา พระอภัยมณี ผู้เป็นพี่ชายจนกระทั่งมีธิดาชื่อ อรุณรัศมี อายุได้แปดปี
จึงได้พบกับ สินสมุท บุตรของพระอภัย ที่เกิดมาจากนางยักษ์ผีเสื้อสมุทร ผู้ได้ลักพาตัวพระอภัยไปเมื่อเก้าปีก่อน
สินสมุทได้ฟังศรีสุวรรณเล่าความหลังให้ฟังโดยตลอดแล้ว ก็ก้มลงกราบ บาทของพระเจ้าอา แล้วก็เล่าเรื่องทางฝ่ายตนให้ศรีสุวรรณฟังบ้าง
ศรีสุวรรณก็ชวนให้ เข้าไปในเมือง แต่สินสมุทบอกว่าทิ้งมารดาไว้ที่กลางทะเล
เข้ามาทำศึกได้สามวันแล้วขอกลับไปบอกเล่าเรื่องราวก่อนแล้วจะกลับมา
ศรีสุวรรณจึงว่าถ้าเช่นนั้นจะออกไปกับสินสมุทด้วย เพื่อเชิญพี่สะใภ้ให้เข้ามาในเมืองด้วยกัน สินสมุทรจึงสั่งให้อังกุหร่าคุมไพร่พลลงเรือ
แล้วพาศรีสุวรรณลงเรือเลิกทัพกลับไป
กองเรือของสินสมุท กลับมาถึงเรือกำปั่นใหญ่เมื่อเวลาค่ำ จัดที่ให้ศรีสุวรรณอยู่แล้ว สินสมุทก็เข้าไปหานางสุวรรณมาลีที่ในห้อง
เล่าเรื่องการทำศึกกับพระเจ้าอาให้ฟัง แล้วก็ขอร้องให้รับปากว่าเป็นลูกในไส้
"เดิมได้บอกออกว่าพระแม่เจ้า
บังเกิดเกล้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา
พระบิตุรงค์พงศ์กษัตริย์เป็นภัสดา
พระแม่ว่าให้เหมือนคำลูกรำพัน
อย่าบอกว่าข้าน้อยนี้ลูกยักษ์
คนรู้จักจะหัวเราะคอยเยาะฉัน
ไหนไหนก็จะคงเป็นพงศ์พันธุ์
บอกเช่นนั้นเสียรู้แล้วก็แล้วไป"
นางสุวรรณมาลีก็นึกอายว่า ยังเป็นสาวเป็นแส้จะไปรับว่ามีลูกโตเกือบ สิบขวบ
และถ้าไม่พบเจอกับพระอภัย ก็จะกลายเป็นแม่ม่ายเสียเปล่า และข้อสำคัญก็คือ
" ซึ่งแก้วตาว่าเกิดในอกแม่
เหมือนช่วยแก้กู้หน้าเป็นราศรี
จะให้รับว่าบิดาเป็นสามี
ที่ข้อนี้กลัวจะอายเมื่อปลายมือ
ถ้าพบปะพระบิคุเรศเจ้า
เธอว่าเปล่าแม่มิได้ความอายหรือ
ประชาชนพลเมืองจะเลื่องลือ
เหมือนหญิงดื้อด้านหน้าเป็นราคี"
แต่สินสมุทก็ออดอ้อนเอาจนต้องยอม แล้วสินสมุทก็พาไปพบศรีสุวรรณซึ่งรออยู่
ศรีสุวรรณก็แปลกใจ ที่พี่สะใภ้ดูอายุน้อยกว่าที่คิดไว้
"พระยิ้มพลางทางเพลินเห็นเมินพักตร์
ชำเลืองลักแลชม้ายดูสายสมร
ทั้งคมขำสำอางค์อย่างกินร
เสงี่ยมงอนงามพร้อมไม่ผอมพี
ดูเหมือนสาวราวสักยี่สิบถ้วน
ทั้งน้ำนวลผิวผ่องเป็นสองสี
แต่ลูกยาอายุได้แปดปี
นางจะมีลูกเต้าแต่เท่าไร "
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพี่สะใภ้ ศรีสุวรรณจึงไหว้ก่อน นางสุวรรณมาลีรับ ไหว้แล้วก็สนทนาปราศรัยด้วยไมตรี
ศรีสุวรรณก็เชื้อเชิญให้นางสุวรรณมาลีและ สินสมุทเข้าไปในเมืองรมจักร เพื่อรู้จักกับญาติวงศ์พงษาก่อน
แล้วจะได้ออกตามหาพระอภัยมณีต่อไป
หลังจากที่สินสมุท พาศรีสุวรรณไปหา นางสุวรรณมาลี ซึ่งได้ยินยอมรับ สินสมุทเป็นบุตรของนางนั้น
ทาง ท้าวทศวงศ์ พระบิดาของนางเกษรา ก็ตกอกตกใจนึกว่าข้าศึกจับตัวบุตรเขยไปเสียแล้ว
ทั้งมเหสีและนางเกษราก็ร้องไห้ร้องห่ม เศร้าโศกกัน จนแทบจะสิ้นสมประดี
ท้าวทศวงศ์จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์แยกกันไปตามตัวพราหมณ์ทั้งสาม มาช่วยป้องกันบ้านเมือง
แต่ยังมาไม่ถึงศรีสุวรรณก็พานางสุวรรณมาลีและสินสมุท ลงเรือมาถึงเมืองรมจักรเสียก่อน
ท้าวทศวงศ์ได้ข่าวก็นึกว่าข้าศึกยกขบวนเรือรบเข้ามาจอดที่ปากน้ำเพื่อ จะยึดเอาเมือง
จึงคิดที่จะยอมอ่อนน้อมยกเมืองให้แต่โดยดี ขอเพียงแต่ชีวิตของตนกับลูกเมียและหลานไว้
เพื่อจะได้หอบหิ้วกันเข้าป่าไปบวชเป็นฤาษีชีไพร เสียให้สิ้นเรื่อง
จนกระทั่งศรีสุวรรณขึ้นมาพบขุนนาง จึงให้จัดวอช่อฟ้าและเสลี่ยงมารับ เข้าไปในวัง
แล้วก็เล่าเรื่องที่ต้องรบกับหลานสินสมุท จนไปพบนางสุวรรณมาลี โดยเข้าใจว่าเป็นพี่สะใภ้
ซึ่งเรือแตกแยกกันกับพระอภัย
นางอรุณรัศมี อายุใกล้เคียงกันกับสินสมุท ก็ทักทายต่อว่าต่อขานกันไปตามประสาเด็ก
"ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี
กุมารีรู้เหตุว่าเชษฐา
เจ้าคารมคมสันจำนรรจา
นี่หรือว่าพงศ์พันธุ์เป็นกันเอง
มาจับพระบิตุรงค์ลงไปไว้
ให้ร้องไห้ร้องห่มทำข่มเหง
ทั้งไพร่พลคนตื่นออกครื้นเครง
ไม่กลัวเกรงพระบิดาช่างน่าตี"
นางเกษราก็เคารพนบไหว้นางสุวรรณมาลี ซึ่งอยู่ในฐานะพี่สะใภ้ของสามี ทั้งท้าวทศวงศ์และมเหสีก็ยินดี
ที่บุตรเขยได้กลับมาพร้อมกับหลานชาย ที่เพิ่งจะเจอหน้ากัน
ท้าวทศวงศ์พิจารณาดูนางสุวรรณมาลีแล้วเห็นเป็นสาวรุ่นก็มีความสงสัยเช่นเดียวกับศรีสุวรรณ จึงถามว่า
" อายุเจ้าเท่าใดจะใคร่รู้
บิดาดูรูปราวกับสาวศรี
เมื่อทรงครรภ์ชันษาสักกี่ปี
ประเดี๋ยวนี้คิดเข้าเป็นเท่าไร "
นางสุวรรณมาลีก็อายเหนียมไป แต่ได้รับปากกับสินสมุทรแล้วว่าจะไม่ บอกใครว่าเป็นแม่เลี้ยง
จึงจำใจต้องพูดปดต่อไป
" ชันษาข้ายี่สิบสี่เศษ
เบญจเพศจึงต้องตกระหกระเหิน
อังคารเข้าเสาร์ทับแทบยับเยิน
ให้บังเอิญพรากพลัดพระภัสดา
ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก
กำจัดจากบิตุรงค์พระวงศา
แล้วเลี้ยวลดปดโป้ทำโศกา
สอื้นอ่อนซ่อนหน้าระอาอาย "
ศรีสุวรรณก็จัดตำหนักที่พักให้นางสุวรรณมาลีกับสินสมุทรอยู่ในวัง นาง อรุณรัศมีก็ติดตามมานอนอยู่ด้วยเป็นประจำ
นางสุวรรณมาลีจึงชวนหลานสาวให้ไปเที่ยวตามหาพระเจ้าลุงอภัยมณีด้วยกัน นางอรุณรัศมีก็ดีใจจะไปด้วย
อีกไม่ช้าเจ้าโมรา สานน และวิเชียรก็ยกพลมาถึงกรุงรมจักร เมื่อได้ทราบเรื่องราวว่าไม่ใช่ข้าศึกมายึดเมืองก็โล่งใจ
ศรีสุวรรณจึงสั่งให้อยู่ช่วยดูแลเมืองรมจักรแทนตนเอง ซึ่งจะเดินทางไปติดตามหาพระอภัยมณีกับพี่สะใภ้และลูกหลาน
ส่วนนางเกษราก็อยากจะตามไปด้วย แต่ศรีสุวรรณให้อยู่วังคอยดูแลพระบิดามารดา ซึ่งชรามากแล้ว โดยปลอบว่า
"อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์
ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน
เหมือนกงเกวียนกำเกวียนเวียนระไว
จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์
ค่อยอยู่ด้วยบิตุราชมาตุรงค์
ด้วยท้าวทรงพระชราน่าสงสาร
ฉวยขุกไข้ได้รักษาพยาบาล
อย่าเป็นภารธุระพี่ที่จะไป"
แล้วศรีสุวรรณก็ร่ำลาท้าวทศวงศ์และนางเกษรา พานางสุวรรณมาลี สินสมุท และอรุณรัศมี
ลงสำเภาลำใหญ่เดินทางไปในท้องทะเลกว้าง โดยไม่มีจุดหมายว่าเมื่อไรจะได้กลับคืนนคร
ขบวนเรือของสินสมุทและศรีสุวรรณ แล่นค้นคว้าหาพระอภัย ไปตาม เกาะแก่งต่าง ๆ
เป็นเวลาพอสมควรก็ยังไม่ได้พบพาน ศรีสุวรรณก็มีแต่ความเศร้าโศกกลัดกลุ้มใจ
ส่วนสินสมุทกับอรุณรัศมีนั้น ก็สนุกสนานไปตามประสาเด็ก เที่ยวชมเดือน ชมดาวเรื่อยไปไม่รู้จักทุกข์ร้อน
"ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี
ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไถ
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย
ดาวลูกไก่เคียงอยู่เป็นหมู่กัน
.............. ..............
นั่นแน่แม่ดูดาวจรเข้
ศรีษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว
ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว
เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี
โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง
ที่พร่างพร่างพรายงามดาวหามหมี
หน่อนรินทร์สินสมุทรกับบุตรี
เฝ้าเซ้าซี้ซักถามตามสงกา"
จนวันหนึ่งจึงได้พบกับกองเรือ อีกกองหนึ่งซึ่งแล่นสวนมาแต่ไกล ฝ่าย สินสมุทจึงยิงปืนเป็นสัญญาณแล้วจอดรออยู่
เรือฝ่ายตรงข้ามก็ยิงปืนตอบรับ แล้วก็ส่งเจ้าหน้าที่เป็นทูตลงเรือเล็กมาเจรจากับสินสมุท
ทูตก็แจ้งว่ากองเรือนั้นเป็นของ อุศเรน โอรสเจ้ากรุงลงกา ซึ่งเป็นคู่มั่นหมายของนางสุวรรณมาลีพระธิดาเจ้ากรุงผลึก
เดินทางมาเพื่อจะอภิเษกที่เมืองผลึก แต่ได้ทราบว่าเจ้ากรุงผลึกกับพระธิดา ลงเรือกำปั่นออกไปชมทะเลแล้วหายสูญไป
จึงออกติดตามหามาเป็นเวลาแรมปีแล้ว
สินสมุทก็รู้ว่า ได้เจอคู่อาฆาตเข้าให้แล้ว จึงบอกว่าตนเองชื่อสินสมุท เป็นบุตรของพระอภัยมณี
นางสุวรรณมาลีนั้นเจ้ากรุงผลึกยกประทานให้แก่บิดาแล้ว เวลานี้ก็อยู่ในเรือลำนี้ ไม่ต้องไปติดตามที่ไหน
แต่อย่าได้คิดว่าจะเอาตัวนางคืนจงกลับไปกรุงลังกา จงไปหาเมียงามที่เป็นเชื้อชาติเดียวกันเสียจะดีกว่า มิฉะนั้นจะต้องรบกัน
เมื่อทูตลงเรือกลับไปแล้ว สินสมุทก็รีบวิ่งไปหานางสุวรรณมาลี แล้วเล่าเรื่องราวที่เจรจากันให้ฟัง
นางก็ตกอกตกใจว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่แล้ว ทางฝ่ายอุศเรนคงจะไม่ยอมเป็นแน่
ยิ่งไปแอบอ้างว่าจะเอาไว้แต่งงานกับพระอภัย ก็ยิ่งยุ่งกันใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าเวลานี้พระอภัยอยู่ที่ไหน
แล้วความลับที่ยอมรับว่าเป็นมารดาของสินสมุทก็จะเปิดเผยให้เป็นที่อับอาย
"เขารู้แน่ว่าแม่ยังเป็นสาว
จะว่ากล่าวลวนลามถึงความหลัง
ถ้าทราบถึงพระเจ้าอาก็น่าชัง
ด้วยปิดบังมิได้บอกออกให้รู้
ถึงกระไรได้พบกับบิตุเรศ
พระโปรดเกศก็จะได้ไม่อดสู
ที่พ่อมาบอกให้อ้ายศัตรู
มันล่วงรู้ความลับน่าอับอาย
อนึ่งเล่าเขาก็คงจะคุมแค้น
มาทดแทนทำศึกเหมือนนึกหมาย
พลไพร่ใหญ่น้อยจะพลอยตาย
กว่าจะวายศึกเสือสักเมื่อไร"
สินสมุทก็ขอประทานโทษว่า เพราะเกิดเดือดดาลที่ฝ่ายโน้นบอกว่าจะ พาแม่ไปแต่งงาน
จึงประกาศออกไป แต่ถึงจะเกิดศึกสงคราม ก็มิได้นึกกลัวเกรงเลยจะขอต่อสู้เพื่อเอาตัวแม่ไว้เป็นของตนให้ได้
ก็เลยเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ต่อไปอีกยืดยาว ยากที่จะจบลงได้ง่าย ๆ จึงต้องคอยฟังความกันต่อไปในคราวหน้า.
##########
พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๑๕ ก.พ.๕๘
ชุดที่ ๕ สินสมุทพิชิตศึก
ตอนที่ ๑ "ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก"
ฑ.มณฑา
เมื่อ ศรีสุวรรณ ได้ครองกรุงรมจักรและได้อภิเษกกับนางเกษรานั้น เพื่อนพราหมณ์ทั้งสามคนก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย
เจ้าโมรา นั้นได้ นางประภาวดี เป็น ภรรยาไปปกครองเมืองจารึกทางทิศตะวันออก
เจ้า วิเชียร ได้ นางจงกล เป็นภรรยา ไปปกครองเมืองปราการทางทิศเหนือ
และ สานน ได้ นางอุบล เป็นภรรยาไปปกครอง เมืองสายัณห์ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงรมจักร
ทั้งหมดต่างก็มีความสุขสบายทั่วหน้ากัน
ศรีสุวรรณนั้นเพลิดเพลินจนลืมความตั้งใจ ที่จะติดตามหา พระอภัยมณี ผู้เป็นพี่ชายจนกระทั่งมีธิดาชื่อ อรุณรัศมี อายุได้แปดปี
จึงได้พบกับ สินสมุท บุตรของพระอภัย ที่เกิดมาจากนางยักษ์ผีเสื้อสมุทร ผู้ได้ลักพาตัวพระอภัยไปเมื่อเก้าปีก่อน
สินสมุทได้ฟังศรีสุวรรณเล่าความหลังให้ฟังโดยตลอดแล้ว ก็ก้มลงกราบ บาทของพระเจ้าอา แล้วก็เล่าเรื่องทางฝ่ายตนให้ศรีสุวรรณฟังบ้าง
ศรีสุวรรณก็ชวนให้ เข้าไปในเมือง แต่สินสมุทบอกว่าทิ้งมารดาไว้ที่กลางทะเล
เข้ามาทำศึกได้สามวันแล้วขอกลับไปบอกเล่าเรื่องราวก่อนแล้วจะกลับมา
ศรีสุวรรณจึงว่าถ้าเช่นนั้นจะออกไปกับสินสมุทด้วย เพื่อเชิญพี่สะใภ้ให้เข้ามาในเมืองด้วยกัน สินสมุทรจึงสั่งให้อังกุหร่าคุมไพร่พลลงเรือ
แล้วพาศรีสุวรรณลงเรือเลิกทัพกลับไป
กองเรือของสินสมุท กลับมาถึงเรือกำปั่นใหญ่เมื่อเวลาค่ำ จัดที่ให้ศรีสุวรรณอยู่แล้ว สินสมุทก็เข้าไปหานางสุวรรณมาลีที่ในห้อง
เล่าเรื่องการทำศึกกับพระเจ้าอาให้ฟัง แล้วก็ขอร้องให้รับปากว่าเป็นลูกในไส้
"เดิมได้บอกออกว่าพระแม่เจ้า
บังเกิดเกล้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา
พระบิตุรงค์พงศ์กษัตริย์เป็นภัสดา
พระแม่ว่าให้เหมือนคำลูกรำพัน
อย่าบอกว่าข้าน้อยนี้ลูกยักษ์
คนรู้จักจะหัวเราะคอยเยาะฉัน
ไหนไหนก็จะคงเป็นพงศ์พันธุ์
บอกเช่นนั้นเสียรู้แล้วก็แล้วไป"
นางสุวรรณมาลีก็นึกอายว่า ยังเป็นสาวเป็นแส้จะไปรับว่ามีลูกโตเกือบ สิบขวบ
และถ้าไม่พบเจอกับพระอภัย ก็จะกลายเป็นแม่ม่ายเสียเปล่า และข้อสำคัญก็คือ
" ซึ่งแก้วตาว่าเกิดในอกแม่
เหมือนช่วยแก้กู้หน้าเป็นราศรี
จะให้รับว่าบิดาเป็นสามี
ที่ข้อนี้กลัวจะอายเมื่อปลายมือ
ถ้าพบปะพระบิคุเรศเจ้า
เธอว่าเปล่าแม่มิได้ความอายหรือ
ประชาชนพลเมืองจะเลื่องลือ
เหมือนหญิงดื้อด้านหน้าเป็นราคี"
แต่สินสมุทก็ออดอ้อนเอาจนต้องยอม แล้วสินสมุทก็พาไปพบศรีสุวรรณซึ่งรออยู่
ศรีสุวรรณก็แปลกใจ ที่พี่สะใภ้ดูอายุน้อยกว่าที่คิดไว้
"พระยิ้มพลางทางเพลินเห็นเมินพักตร์
ชำเลืองลักแลชม้ายดูสายสมร
ทั้งคมขำสำอางค์อย่างกินร
เสงี่ยมงอนงามพร้อมไม่ผอมพี
ดูเหมือนสาวราวสักยี่สิบถ้วน
ทั้งน้ำนวลผิวผ่องเป็นสองสี
แต่ลูกยาอายุได้แปดปี
นางจะมีลูกเต้าแต่เท่าไร "
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพี่สะใภ้ ศรีสุวรรณจึงไหว้ก่อน นางสุวรรณมาลีรับ ไหว้แล้วก็สนทนาปราศรัยด้วยไมตรี
ศรีสุวรรณก็เชื้อเชิญให้นางสุวรรณมาลีและ สินสมุทเข้าไปในเมืองรมจักร เพื่อรู้จักกับญาติวงศ์พงษาก่อน
แล้วจะได้ออกตามหาพระอภัยมณีต่อไป
หลังจากที่สินสมุท พาศรีสุวรรณไปหา นางสุวรรณมาลี ซึ่งได้ยินยอมรับ สินสมุทเป็นบุตรของนางนั้น
ทาง ท้าวทศวงศ์ พระบิดาของนางเกษรา ก็ตกอกตกใจนึกว่าข้าศึกจับตัวบุตรเขยไปเสียแล้ว
ทั้งมเหสีและนางเกษราก็ร้องไห้ร้องห่ม เศร้าโศกกัน จนแทบจะสิ้นสมประดี
ท้าวทศวงศ์จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์แยกกันไปตามตัวพราหมณ์ทั้งสาม มาช่วยป้องกันบ้านเมือง
แต่ยังมาไม่ถึงศรีสุวรรณก็พานางสุวรรณมาลีและสินสมุท ลงเรือมาถึงเมืองรมจักรเสียก่อน
ท้าวทศวงศ์ได้ข่าวก็นึกว่าข้าศึกยกขบวนเรือรบเข้ามาจอดที่ปากน้ำเพื่อ จะยึดเอาเมือง
จึงคิดที่จะยอมอ่อนน้อมยกเมืองให้แต่โดยดี ขอเพียงแต่ชีวิตของตนกับลูกเมียและหลานไว้
เพื่อจะได้หอบหิ้วกันเข้าป่าไปบวชเป็นฤาษีชีไพร เสียให้สิ้นเรื่อง
จนกระทั่งศรีสุวรรณขึ้นมาพบขุนนาง จึงให้จัดวอช่อฟ้าและเสลี่ยงมารับ เข้าไปในวัง
แล้วก็เล่าเรื่องที่ต้องรบกับหลานสินสมุท จนไปพบนางสุวรรณมาลี โดยเข้าใจว่าเป็นพี่สะใภ้
ซึ่งเรือแตกแยกกันกับพระอภัย
นางอรุณรัศมี อายุใกล้เคียงกันกับสินสมุท ก็ทักทายต่อว่าต่อขานกันไปตามประสาเด็ก
"ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี
กุมารีรู้เหตุว่าเชษฐา
เจ้าคารมคมสันจำนรรจา
นี่หรือว่าพงศ์พันธุ์เป็นกันเอง
มาจับพระบิตุรงค์ลงไปไว้
ให้ร้องไห้ร้องห่มทำข่มเหง
ทั้งไพร่พลคนตื่นออกครื้นเครง
ไม่กลัวเกรงพระบิดาช่างน่าตี"
นางเกษราก็เคารพนบไหว้นางสุวรรณมาลี ซึ่งอยู่ในฐานะพี่สะใภ้ของสามี ทั้งท้าวทศวงศ์และมเหสีก็ยินดี
ที่บุตรเขยได้กลับมาพร้อมกับหลานชาย ที่เพิ่งจะเจอหน้ากัน
ท้าวทศวงศ์พิจารณาดูนางสุวรรณมาลีแล้วเห็นเป็นสาวรุ่นก็มีความสงสัยเช่นเดียวกับศรีสุวรรณ จึงถามว่า
" อายุเจ้าเท่าใดจะใคร่รู้
บิดาดูรูปราวกับสาวศรี
เมื่อทรงครรภ์ชันษาสักกี่ปี
ประเดี๋ยวนี้คิดเข้าเป็นเท่าไร "
นางสุวรรณมาลีก็อายเหนียมไป แต่ได้รับปากกับสินสมุทรแล้วว่าจะไม่ บอกใครว่าเป็นแม่เลี้ยง
จึงจำใจต้องพูดปดต่อไป
" ชันษาข้ายี่สิบสี่เศษ
เบญจเพศจึงต้องตกระหกระเหิน
อังคารเข้าเสาร์ทับแทบยับเยิน
ให้บังเอิญพรากพลัดพระภัสดา
ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก
กำจัดจากบิตุรงค์พระวงศา
แล้วเลี้ยวลดปดโป้ทำโศกา
สอื้นอ่อนซ่อนหน้าระอาอาย "
ศรีสุวรรณก็จัดตำหนักที่พักให้นางสุวรรณมาลีกับสินสมุทรอยู่ในวัง นาง อรุณรัศมีก็ติดตามมานอนอยู่ด้วยเป็นประจำ
นางสุวรรณมาลีจึงชวนหลานสาวให้ไปเที่ยวตามหาพระเจ้าลุงอภัยมณีด้วยกัน นางอรุณรัศมีก็ดีใจจะไปด้วย
อีกไม่ช้าเจ้าโมรา สานน และวิเชียรก็ยกพลมาถึงกรุงรมจักร เมื่อได้ทราบเรื่องราวว่าไม่ใช่ข้าศึกมายึดเมืองก็โล่งใจ
ศรีสุวรรณจึงสั่งให้อยู่ช่วยดูแลเมืองรมจักรแทนตนเอง ซึ่งจะเดินทางไปติดตามหาพระอภัยมณีกับพี่สะใภ้และลูกหลาน
ส่วนนางเกษราก็อยากจะตามไปด้วย แต่ศรีสุวรรณให้อยู่วังคอยดูแลพระบิดามารดา ซึ่งชรามากแล้ว โดยปลอบว่า
"อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์
ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน
เหมือนกงเกวียนกำเกวียนเวียนระไว
จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์
ค่อยอยู่ด้วยบิตุราชมาตุรงค์
ด้วยท้าวทรงพระชราน่าสงสาร
ฉวยขุกไข้ได้รักษาพยาบาล
อย่าเป็นภารธุระพี่ที่จะไป"
แล้วศรีสุวรรณก็ร่ำลาท้าวทศวงศ์และนางเกษรา พานางสุวรรณมาลี สินสมุท และอรุณรัศมี
ลงสำเภาลำใหญ่เดินทางไปในท้องทะเลกว้าง โดยไม่มีจุดหมายว่าเมื่อไรจะได้กลับคืนนคร
ขบวนเรือของสินสมุทและศรีสุวรรณ แล่นค้นคว้าหาพระอภัย ไปตาม เกาะแก่งต่าง ๆ
เป็นเวลาพอสมควรก็ยังไม่ได้พบพาน ศรีสุวรรณก็มีแต่ความเศร้าโศกกลัดกลุ้มใจ
ส่วนสินสมุทกับอรุณรัศมีนั้น ก็สนุกสนานไปตามประสาเด็ก เที่ยวชมเดือน ชมดาวเรื่อยไปไม่รู้จักทุกข์ร้อน
"ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี
ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไถ
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย
ดาวลูกไก่เคียงอยู่เป็นหมู่กัน
.............. ..............
นั่นแน่แม่ดูดาวจรเข้
ศรีษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว
ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว
เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี
โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง
ที่พร่างพร่างพรายงามดาวหามหมี
หน่อนรินทร์สินสมุทรกับบุตรี
เฝ้าเซ้าซี้ซักถามตามสงกา"
จนวันหนึ่งจึงได้พบกับกองเรือ อีกกองหนึ่งซึ่งแล่นสวนมาแต่ไกล ฝ่าย สินสมุทจึงยิงปืนเป็นสัญญาณแล้วจอดรออยู่
เรือฝ่ายตรงข้ามก็ยิงปืนตอบรับ แล้วก็ส่งเจ้าหน้าที่เป็นทูตลงเรือเล็กมาเจรจากับสินสมุท
ทูตก็แจ้งว่ากองเรือนั้นเป็นของ อุศเรน โอรสเจ้ากรุงลงกา ซึ่งเป็นคู่มั่นหมายของนางสุวรรณมาลีพระธิดาเจ้ากรุงผลึก
เดินทางมาเพื่อจะอภิเษกที่เมืองผลึก แต่ได้ทราบว่าเจ้ากรุงผลึกกับพระธิดา ลงเรือกำปั่นออกไปชมทะเลแล้วหายสูญไป
จึงออกติดตามหามาเป็นเวลาแรมปีแล้ว
สินสมุทก็รู้ว่า ได้เจอคู่อาฆาตเข้าให้แล้ว จึงบอกว่าตนเองชื่อสินสมุท เป็นบุตรของพระอภัยมณี
นางสุวรรณมาลีนั้นเจ้ากรุงผลึกยกประทานให้แก่บิดาแล้ว เวลานี้ก็อยู่ในเรือลำนี้ ไม่ต้องไปติดตามที่ไหน
แต่อย่าได้คิดว่าจะเอาตัวนางคืนจงกลับไปกรุงลังกา จงไปหาเมียงามที่เป็นเชื้อชาติเดียวกันเสียจะดีกว่า มิฉะนั้นจะต้องรบกัน
เมื่อทูตลงเรือกลับไปแล้ว สินสมุทก็รีบวิ่งไปหานางสุวรรณมาลี แล้วเล่าเรื่องราวที่เจรจากันให้ฟัง
นางก็ตกอกตกใจว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่แล้ว ทางฝ่ายอุศเรนคงจะไม่ยอมเป็นแน่
ยิ่งไปแอบอ้างว่าจะเอาไว้แต่งงานกับพระอภัย ก็ยิ่งยุ่งกันใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าเวลานี้พระอภัยอยู่ที่ไหน
แล้วความลับที่ยอมรับว่าเป็นมารดาของสินสมุทก็จะเปิดเผยให้เป็นที่อับอาย
"เขารู้แน่ว่าแม่ยังเป็นสาว
จะว่ากล่าวลวนลามถึงความหลัง
ถ้าทราบถึงพระเจ้าอาก็น่าชัง
ด้วยปิดบังมิได้บอกออกให้รู้
ถึงกระไรได้พบกับบิตุเรศ
พระโปรดเกศก็จะได้ไม่อดสู
ที่พ่อมาบอกให้อ้ายศัตรู
มันล่วงรู้ความลับน่าอับอาย
อนึ่งเล่าเขาก็คงจะคุมแค้น
มาทดแทนทำศึกเหมือนนึกหมาย
พลไพร่ใหญ่น้อยจะพลอยตาย
กว่าจะวายศึกเสือสักเมื่อไร"
สินสมุทก็ขอประทานโทษว่า เพราะเกิดเดือดดาลที่ฝ่ายโน้นบอกว่าจะ พาแม่ไปแต่งงาน
จึงประกาศออกไป แต่ถึงจะเกิดศึกสงคราม ก็มิได้นึกกลัวเกรงเลยจะขอต่อสู้เพื่อเอาตัวแม่ไว้เป็นของตนให้ได้
ก็เลยเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ต่อไปอีกยืดยาว ยากที่จะจบลงได้ง่าย ๆ จึงต้องคอยฟังความกันต่อไปในคราวหน้า.
##########