พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๑๐ ก.พ.๕๘

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๓ สุวรรณมาลีผู้มีกรรม

ตอนที่ ๑ ค่ำลงแล้วขวัญอ่อนจะนอนไหน

ฑ.มณฑา

เมืองเอกที่มีความสำคัญมาก ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีคือเมืองผลึก ซึ่งท่านได้พรรณาไว้ว่า

มีปราสาทสูงเยี่ยมขึ้นเทียมเมฆ
อดิเรกรุ่งฟ้าเวหาหาว
นภศูลแสงแก้วดูแวววาว
ดังดวงดาวเด่นกระจ่างอยู่กลางวัน
พระโรงธารชานพักตำหนักแก้ว
แต่ล้วนแล้วด้วยมุกดาฝาผนัง
ทั้งเสื้อผ้าเงินทองสิบสองคลัง
ก็มั่งคั่งยิ่งกว่าทุกธานี ฯ

กรุงผลึกนี้มีเจ้าครองนครคือท่าน ท้าวสิลราช พระมเหสีชื่อ มณฑา มีพระราชธิดาชื่อ สุวรรณมาลี ซึ่งรูปโฉมงดงามมาก
เจ้ากรุงลังกาเชื้อชาติฝรั่งได้แต่งทูตมาขอให้อภิเษกกับโอรสชื่อ อุศเรน ซึ่งท้าวสิลราชก็ไม่ขัดข้อง กำหนดการจะอภิเษกในเดือนเก้านี้
แต่ก่อนจะถึงกำหนดดังกล่าว นางสุวรรณมาลีเกิดอยากจะออกไปเที่ยวทะเล พระบิดาก็ตามใจ สั่งให้เสนาข้าราชการกรมท่า
เตรียมเรือกำปั่นขนาดใหญ่ แล้วพานางสุวรรณมาลีเที่ยวไปในท้องทะเลตั้งแต่เช้า จนถึงเย็นก็สั่งให้เรือสำเภามุ่งหน้ากลับเมือง

พอดีเกิดลมสลาตันพัดกระหน่ำ คลื่นใหญ่มหึมาซัดเอาเรือหลงอ่าวออกไป ทางทะเลหลวง เป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
พายุจึงค่อยสร่างซาลง แต่เรือพระที่นั่งก็เคว้งคว้างอยู่ท่ามกลาง มหาสมุทรเห็นแต่น้ำกับฟ้าไม่รู้ว่าเป็นแห่งหนตำบลใด
นางสุวรรณมาลีและพี่เลี้ยงกับนางสาวสนมกำนัลใน ก็พากันร้องไห้รำพันต่าง ๆ นา ๆ ระเบ็งเซ็งแซ่ไปหมด ด้วยความตกใจและหวาดกลัว

ท่านท้าวสิลราชเองก็หวาดวิตกอยู่มิใช่น้อย เรียกนายท้ายและต้นหนมาสอบถาม ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าเรือได้แล่นมาถึงไหน
เพราะไม่มีแผนที่ ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่รู้ทิศรู้ทางว่าทิศเหนือทิศใต้อยู่ทางไหน
ต้องแล่นเดาดุ่มอยู่ถึงสิบห้าวัน จึงมาถึงเกาะแก้วพิศดาร ส่องกล้องมองดูเห็นกุฏิเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก แสดงว่ามีคนอยู่ไม่ใช่เกาะร้าง

ท้าวสิลราชจึงสั่งให้จอดเรือไว้ใกล้เกาะ แล้วให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ขึ้นไปสืบดู ก็กลับลงมาทูลว่า บนเกาะมีฤาษีแก่หนึ่งหนุ่มหนึ่ง
และเณรอีกหนึ่งองค์ กับมีลูกศิษย์เป็นเชื้อชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นพวกเรือแตกอีกร่วมร้อยคน ท้าวสิลราชจึงให้ต้นหนคุมบ่าวไพร่
ลงไปสร้างสะพานยื่นออกมาถึงเรือใหญ่ เพราะติดตื้นเข้าไปไม่ได้ แล้วก็พานางสุวรรณมาลี ขึ้นจากเรือไปเฝ้าพระฤาษีที่กุฏิ
ไต่ถามความเป็นมาซึ่งกันและกัน

พระฤาษีเจ้าของเกาะก็เล่าว่า ตัวท่านเองนั้นได้บวชเป็นโยคีมาพันกว่าปีแล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นชื่อ พระอภัยมณี พลัดถิ่นมาขออาศัยอยู่
พร้อมด้วย สินสมุท บุตรชายซึ่งบวชเป็นเณรน้อย เมื่อไม่นานมานี้เอง

ท้าวสิลราชก็เล่าเรื่องที่พานางสุวรรณมาลีพระธิดาเที่ยวชมทะเล แล้วโดนพายุพัดหลงมาถึงที่นี่
พระอภัยมณีก็เล่าว่าเป็นโอรสท้าวสุทัศน์ครองกรุงรัตนา ได้ออกมาศึกษาหาความรู้กับน้องชายชื่อศรีสุวรรณ ตนเองนั้นเรียนวิชาดนตรีคือเป่าปี่
น้องชายเรียนวิชาอาวุธคือกระบอง เรียนอยู่ปีครึ่งจนจบหลักสูตรแล้ว จะกลับคืนบ้านเมือง พบกับพราหมณ์สามคนคบกันเป็นเพื่อน
ขณะที่นั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไทรชายหาด พราหมณ์ขอฟังเสียงปี่วิเศษ ขัดไม่ได้ก็เป่าให้ฟังจนหลับไปหมดทุกคน
พอดีนางผีเสื้อสมุทรผ่านมาพบ และฉุดลากพาตัวไปอยู่ในถ้ำเป็นเวลานาน จนมีบุตรคือสินสมุท อายุได้แปดขวบ
จึงได้พากันหนีมาอาศัยพระมุนี เป็นเวลาแรมปีแล้ว อยากจะกลับบ้านเมืองก็ไม่มีเรือผ่านมาเลย

ท้าวสิลราชก็หัวร่อว่าเรียนอะไรไม่เรียน กลับไปเรียนเป่าปี่จะใช้ทำอะไรได้ แล้วก็เกิดอยากจะฟังเสียงปี่ขึ้นมาบ้าง
อยากจะให้ลองเป่าให้สาว ๆ ชาววังได้ฟังสักหน่อย พระอภัยมณีฤาษีหนุ่มกำลังนั่งสบตาอยู่กับนางสุวรรณมาลีก็ออกตัวว่า

"ถ้าพบเข้าคราวครั้งยังไม่บวช
ไม่พูดอวดปากเปล่าจะเป่าถวาย
นี่ครองศีลสิกขารักษากาย
เกรงอบายเบื้องหน้าอนาคต
แม้นท้าวไทใคร่จะฟังหวังถวิล
ว่าให้สินสมุทลาสิกขาบท
เป่าถวายคล้ายครูพอรู้รส
กลัวทรงยศจะบรรทมไม่สมประดี"

ท้าวสิลราชก็ขอร้อง ให้สินสมุทเป่าปี่ของบิดาให้ฟังเป็นตัวอย่าง จะให้รางวัล
สินสมุทก็ขอเครื่องทรงเหมือนกับที่พระธิดาแต่งอยู่เป็นรางวัล จึงจะตกลง
ท้าวสิลราชก็ไม่ขัดข้อง ว่าขอฟังเสียงปี่ให้สบายใจสักวัน ถึงจะหลับตายไปก็ไม่ว่า

สินสมุทก็ลาสิกขา ฉวยปี่ของพระอภัยถวายบังคมท้าวสิลราช แล้วก็เป่า ตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระบิดา

"ประณตนั่งบังคมบรมนาถ
อยู่ริมอาสน์อัยกาตาฤาษี
ภาวนาอาคมให้ลมดี
แล้วเป่าปี่แปลงเพลงวังเวงใจ
ทำแหบหวลครวญว่าสาริกาแก้ว
ค่ำลงแล้วขวัญอ่อนจะนอนไหน
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร
จะหนาวใจสาริกาทุกราตรี”

ปรากฏว่าผู้ฟังก็เกิดอาการวาบหวามเคลิบเคลิ้ม หลับไปจนหมดสิ้นทั้งผู้ที่อยู่บนเกาะ และนายไพร่ที่อยู่บนเรือสำเภา
และรวมทั้งพระฤาษีผู้เฒ่าก็พลอยหลับไปด้วยเหมือนกัน ไม่หลับอยู่คนเดียวคือพระอภัย จึงได้โอกาสพิศเพ่งเล็งแล
ชมโฉมพระธิดาอย่างเต็มตา และก็เกิดความพิศวาสขึ้น แต่ยั้งใจได้ว่ายังอยู่ในเพศฤาษีถือพรหมจรรย์
จึงบอกสินสมุทให้หยุดเป่า พระโยคีตื่นขึ้นก่อน ก็ลุกขึ้นไปตีระฆังดังหง่างเหง่ง
พวกชาวกรุงผลึกจึงได้รู้สึกตัวค่อย ๆ ตื่นขึ้นทีละคนสองคนจนหมด

ท้าวสิลราชชอบใจ ฝีปากเป่าปี่ของสินสมุท จึงจัดเครื่องทรงให้เป็นรางวัล แต่สินสมุทก็อ้อนขอแลกเปลี่ยนกับเครื่องทรงของพระธิดา
พระโยคีเฒ่าจึงยุว่าให้ไปกราบขอฝากตัวเป็นลูกบุญธรรมของนางสุวรรณมาลีเสียเลยเป็นบุตรฤาษีมันอดอยากนัก

พระธิดาก็เอ็นดูสินสมุท จึงพากลับไปลงเรือแล้วก็แต่งองค์ทรงเครื่องให้สินสมุท อย่างโอรสของกษัตริย์
พร้อมทั้งซักถามประวัติความเป็นมาแต่หนหลัง สินสมุทก็เล่าเรื่องหนีแม่ผีเสื้อสมุทร
เพราะเป็นยักษ์ตัวโตกว่าเรือสำเภาลำนี้อีก แล้วก็เลยเถิดไปว่า

"ไม่นึกรักสักนิดจึงคิดหนี
แม่เดี๋ยวนี้ลูกรักเป็นหนักหนา
สมกับองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา
ได้งามหน้าลูกแก้วแล้วคราวนี้"

นางสุวรรณมาลีก็ขวยอายจึงตัดบทว่า ไม่ต้องพูดถึงพระบิดา แล้วก็จัดหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงสินสมุทเป็นการใหญ่
สินสมุทเคยกินแต่เผือกมันผลไม้ก็จะไม่ยอมกินอาหาร นางสุวรรณมาลีต้องคอยป้อน จึงค่อยกินกับข้าวของชาววังได้
จนถึงเย็นนางก็ชวนให้ค้างอยู่ในเรือด้วยกันจนตลอดคืน

ข้างฝ่ายพระโยคีก็ฝากฝังพระอภัยมณีกับพวกลูกศิษย์ชาวเรือแตกทั้งหมด ให้กลับบ้านกลับเมืองไปกับท้าวสิลราชด้วย
เจ้ากรุงผลึกก็ไม่ขัดข้อง พระโยคีก็ให้ไพร่พลทั้งหลาย เก็บพืชผักผลไม้ที่ปลูกไว้บนเกาะ เอาไปเป็นเสบียงในเรือ
ให้มากเท่าที่จะเอาไปได้ เพราะจะต้องเดินทางอีกไกล

คืนนั้นพระอภัยก็แอบไปลานางเงือก ซึ่งเป็นผู้พาพระอภัยหนีนางผีเสื้อมาเมื่อสองปีก่อน จนต้องเสียชีวิตบิดามารดาไปทั้งคู่
ตลอดเวลาที่อยู่ในเกาะแก้วพิศดารนี้ ก่อนที่พระอภัยจะขอบวชเป็นฤาษี ก็ได้อยู่ด้วยกันเช่นผัวเมีย
ขณะนี้นางก็มีครรภ์ได้สามเดือนแล้ว พระอภัยจึงฝากพระฤาษีให้ช่วยอุปถัมภ์ต่อไปด้วย
นางเงือกก็แสนอาลัย แต่ไม่สามารถจะเหนี่ยวรั้งพระอภัยไว้ได้ เพราะเห็นความจำเป็นที่จะต้องกลับบ้านเมือง
และตนเองก็มีเพศเป็นมนุษย์ครึ่งปลาไม่อาจจะติดตามไปด้วย จึงได้แต่โศกเศร้าอยู่แต่ผู้เดียว

วันรุ่งขึ้นตอนสายท้าวสิลราชและบริวารทั้งหลายก็กราบลาพระอาจารย์ออกเรือมุ่งไปทางทิศอีสาน
เดินทางรอนแรมไปเป็นเวลาสิบห้าวันโดยไม่มีอันตราย พระอภัยก็ใช้ให้สินสมุทเป็นสื่อ ฝากรักกับนางสุวรรณมาลี
ตามที่ใจปรารถนา นางสุวรรณมาลีก็บอกความตามจริงว่า ไม่ใช่หญิงตัวเปล่า แต่มีคู่มั่นหมายแล้ว คืออุศเรนโอรสของเจ้ากรุงลังกา
ถ้ากลับไปถึงบ้านเมืองแล้ว ก็จะต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเขาตามสัญญา
สินสมุทก็ไม่ยอมจะเอาแม่เลี้ยงไว้ให้พ่อของตน ถ้อยทีถ้อยรำพันกันไป จนสุดท้ายนางสุวรรณมาลีก็ใจอ่อน
ยอมแลกสร้อยสังวาลย์กับพระธำรงค์เพ็ชร์เจ็ดกะรัตของพระอภัย เป็นเครื่องหมายแทนความรักของทั้งสององค์

ต่อมานางผีเสื้อสมุทรที่เฝ้าคอยพระอภัยมณีอยู่นอกเกาะแก้วพิศดาร ได้รู้ว่าพระอภัยอาศัยเรือสำเภาของเมืองผลึก
หนีออกจากเกาะไปแล้วก็ติดตามมาอาละวาด จนเรือแตกล่มจมลงกลางทะเลหลวง
สินสมุทก็แบกนางสุวรรณมาลี ว่ายน้ำพลัดกับพระอภัยและท้าวสิลราชหนีไปอีกทางหนึ่ง ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนโดยไม่ได้พักเลย
จึงถึงเกาะร้างแห่งหนึ่ง พอขึ้นฝั่งได้สินสมุทก็หมดแรง ล้มลงนอนสลบไสลไปตลอดคืน

นางสุวรรณมาลีก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า จะประสบชะตากรรม อย่างไรต่อไปอีก เพราะเกาะที่ขึ้นมาพักนั้น
ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในทิศทางใด ของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น จะมีผู้คนอาศัยอยู่หรือไม่ และมีอาหารพอจะเลี้ยงชีวิตไปได้สักเท่าใด

ก็คงจะต้องรอให้สินสมุทฟื้นขึ้นมาเสียก่อน จึงค่อยคิดการกันต่อไป.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่