คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
คุณเจ้าของกระทู้ ยังไม่มีความรู้เรื่อง พระอริยะเจ้าในแต่ละระดับ มีการถือเคร่งในตรงจุดใดบ้าง จึงอาจจะวางอารมณ์ในการปฏิบัติที่ไม่ตรงทางนัก
ก็เลยไปยึดถือเอาข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์มาเป็นแบบ (ถือเกินระดับของตนเอง เพราะฆราวาสสามารถบรรลุธรรมได้ ไม่จำเป็นจะต้องบวชเป็นพระ)
อย่างแรกเลยก็คือ
คุณจะต้องรู้ว่าตัวเองกำลังปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด? อยากบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด?
จะได้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตรงตามที่ตัวเองหวังไว้
พระอริยะเจ้าขั้นต้น เช่น พระโสดาบัน ยังสามารถมีคู่ครองได้ มีลูกได้ (นางวิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่งงานอายุ16 และมีลูกถึง20คน)
และ ยังสามารถรวยได้จากสัมมาอาชีวะ การยินดีในทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้อย่างชอบธรรม ไม่ได้เป็นการผิดศีลอะไร (รวยได้ไม่อั้น)
(ดูตัวอย่างนางวิสาขาในสมัยพุทธกาล เขาใช้ชีวิตสมถะซะที่ไหน เขาเป็นคนรวย เขาก็ใช้ชีวิตแบบคนรวย อยากจะแต่งตัวอะไรให้สวยเลิศ เขาก็ทำได้)
(เขาไม่ได้ทำผิดศีล-ผิดธรรม ของพระโสดาบันอะไรซักหน่อย) (และเขาก็ยังสามารถมีครอบครัวได้ และมีลูกได้ถึง20คน)
(การไม่สะสมเงินทอง จึงเป็นความไม่รู้ที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะการเป็นฆราวาสยังงัยๆ ก็ต้องใช้เงิน โดยเฉพาะใช้เงินเพื่อรักษาตัว)
และมีฆราวาสไม่น้อย ที่มีความเข้าใจผิดเรื่องการถือศีล บางคนคิดว่า การปฏิบัติธรรมก็คือการต้องถือศีล8เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม
จริงๆแล้ว แค่ถือศีล5 อยู่กับบ้าน ก็ถือว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน และเพียงพอต่อการเข้าฌานแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปถือศีล8 ที่วัด
(จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติตนเพื่อบรรลุธรรมในหมวด สุกขวิปัสสโก ใช้กำลังสมาธิขั้นต่ำเพียงแค่ ปฐมฌาน+วิปัสสนาญาณ9 ก็บรรลุธรรมได้)
ซึ่งฆราวาสทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านได้ โดยถือแค่ศีล5 ก็เพียงพอต่อการเข้าฌาน และก็เพียงพอต่อการบรรลุธรรมเป็น พระโสดาบัน
(แต่ถ้าคุณจะถือศีล8 อยู่กับบ้าน ก็ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทำได้)
แต่การที่ทางวัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมต่างๆ เขานิยมให้ถือศีล8กันก็เพราะว่า ได้อานิสงส์สูงกว่าการถือศีล5
และศีล8 เป็นศีลของผู้ถือบวชเนกขัมมะ เป็นการตั้งใจเว้นออกจากกาม เว้นจากความวุ่นวายต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติสมณะธรรม (เข้าฌานได้ง่าย)
และศีล8 เป็นศีลขั้นต้นของ พระอนาคามี (พระอนาคามีจะถือศีล8 เป็นปกติ) (พระอนาคามี จะตัด กามฉันทะ และ ปฏิฆะ ได้เด็ดขาด)
แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเขาให้คุณถือศีล8 แล้วเขาจะเกณฑ์ให้คุณจะต้องไปเป็น พระอนาคามี ขึ้นไปเท่านั้น (คุณจะทำได้แค่ไหนก็แล้วแต่คุณ)
เพียงแต่ว่าที่เขาให้คุณถือเคร่งสูงไว้ก่อน ตั้งเป้าหมายสูงเอาไว้ก่อน ก็เพราะว่าถ้าไม่ได้ยอดไม้ อย่างน้อยๆก็หล่นมาค้างอยู่ที่กิ่งไม้ ไม่หล่นลงพื้นดิน
การที่จะเข้าฌานได้ คุณจะต้องตัดละนิวรณ์5ได้ ซึ่งมี "กามฉันทะ" เป็นตัวแรกขวางหน้าอยู่
สถานปฏิบัติธรรมต่างๆ จึงนิยมให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ถือศีล8กันก็เพราะว่า เป็นการทำให้ลดละกามฉันทะไปด้วยในตัว
เพราะว่าศีล8 มีข้อห้ามเกี่ยวกับ เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์, การเว้นจากการกินในยามวิกาล,
เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม, เว้นจากการนอนที่นอนที่สูงเกิน
ซึ่งเป็นการห้ามที่เกี่ยวข้องกับ กามฉันทะ(ความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัสระหว่างเพศ) ไปในตัว (ซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ ที่ขัดขวางการเข้าฌาน)
ซึ่งถ้าผู้ใดถือศีล8 ก็จะต้องงดเว้นในเรื่องเหล่านี้ลง ก็จะมีผลทำให้จิตใจสงบได้ง่าย ไม่วุ่นวาย จึงเหมาะแก่การทำสมาธิ-เข้าฌาน
จึงอาจจะทำให้คนบางคนเข้าใจผิดคิดไปว่า จะต้องถือศีล8 เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม ถึงจะเข้าฌานได้
และอาจจะเป็นเพราะฆราวาสบางคน จะเข้าฌานได้ก็เฉพาะในช่วงระยะเวลาที่มาถือศีล8ปฏิบัติธรรมที่วัด หรือในสถานปฏิบัติธรรมเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว ฆราวาสแค่ถือศีล5บริสุทธิ์ นอนอยู่กับบ้าน ก็เพียงพอต่อการเข้าฌานแล้ว (แต่จะต้องทำให้ได้ถึง ปฐมฌาน เป็นอย่างน้อย)
แล้วเอากำลังของฌานนั้น ไปทำวิปัสสนาพิจารณาตัดละร่างกายต่อ ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าขั้นต้นได้ (พระโสดาบัน)
แต่ถ้าคุณชอบที่จะไปถือศีลบวชเนกขัมมะ ที่วัดหรือสถานปฏิบัติธรรม ก็ตามแต่ใจคุณ (เพราะความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน)
ผมจัดชุดให้คุณล่ะกัน เพื่อร่นระยะเวลาในการศึกษาธรรมะของคุณ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คุณเจ้าของกระทู้ ยังไม่มีความรู้เรื่อง พระอริยะเจ้าในแต่ละระดับ มีการถือเคร่งในตรงจุดใดบ้าง จึงอาจจะวางอารมณ์ในการปฏิบัติที่ไม่ตรงทางนัก
ก็เลยไปยึดถือเอาข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์มาเป็นแบบ (ถือเกินระดับของตนเอง เพราะฆราวาสสามารถบรรลุธรรมได้ ไม่จำเป็นจะต้องบวชเป็นพระ)
อย่างแรกเลยก็คือ
คุณจะต้องรู้ว่าตัวเองกำลังปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด? อยากบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด?
จะได้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตรงตามที่ตัวเองหวังไว้
พระอริยะเจ้าขั้นต้น เช่น พระโสดาบัน ยังสามารถมีคู่ครองได้ มีลูกได้ (นางวิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่งงานอายุ16 และมีลูกถึง20คน)
และ ยังสามารถรวยได้จากสัมมาอาชีวะ การยินดีในทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้อย่างชอบธรรม ไม่ได้เป็นการผิดศีลอะไร (รวยได้ไม่อั้น)
(ดูตัวอย่างนางวิสาขาในสมัยพุทธกาล เขาใช้ชีวิตสมถะซะที่ไหน เขาเป็นคนรวย เขาก็ใช้ชีวิตแบบคนรวย อยากจะแต่งตัวอะไรให้สวยเลิศ เขาก็ทำได้)
(เขาไม่ได้ทำผิดศีล-ผิดธรรม ของพระโสดาบันอะไรซักหน่อย) (และเขาก็ยังสามารถมีครอบครัวได้ และมีลูกได้ถึง20คน)
(การไม่สะสมเงินทอง จึงเป็นความไม่รู้ที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะการเป็นฆราวาสยังงัยๆ ก็ต้องใช้เงิน โดยเฉพาะใช้เงินเพื่อรักษาตัว)
และมีฆราวาสไม่น้อย ที่มีความเข้าใจผิดเรื่องการถือศีล บางคนคิดว่า การปฏิบัติธรรมก็คือการต้องถือศีล8เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม
จริงๆแล้ว แค่ถือศีล5 อยู่กับบ้าน ก็ถือว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน และเพียงพอต่อการเข้าฌานแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปถือศีล8 ที่วัด
(จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติตนเพื่อบรรลุธรรมในหมวด สุกขวิปัสสโก ใช้กำลังสมาธิขั้นต่ำเพียงแค่ ปฐมฌาน+วิปัสสนาญาณ9 ก็บรรลุธรรมได้)
ซึ่งฆราวาสทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านได้ โดยถือแค่ศีล5 ก็เพียงพอต่อการเข้าฌาน และก็เพียงพอต่อการบรรลุธรรมเป็น พระโสดาบัน
(แต่ถ้าคุณจะถือศีล8 อยู่กับบ้าน ก็ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทำได้)
แต่การที่ทางวัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมต่างๆ เขานิยมให้ถือศีล8กันก็เพราะว่า ได้อานิสงส์สูงกว่าการถือศีล5
และศีล8 เป็นศีลของผู้ถือบวชเนกขัมมะ เป็นการตั้งใจเว้นออกจากกาม เว้นจากความวุ่นวายต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติสมณะธรรม (เข้าฌานได้ง่าย)
และศีล8 เป็นศีลขั้นต้นของ พระอนาคามี (พระอนาคามีจะถือศีล8 เป็นปกติ) (พระอนาคามี จะตัด กามฉันทะ และ ปฏิฆะ ได้เด็ดขาด)
แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเขาให้คุณถือศีล8 แล้วเขาจะเกณฑ์ให้คุณจะต้องไปเป็น พระอนาคามี ขึ้นไปเท่านั้น (คุณจะทำได้แค่ไหนก็แล้วแต่คุณ)
เพียงแต่ว่าที่เขาให้คุณถือเคร่งสูงไว้ก่อน ตั้งเป้าหมายสูงเอาไว้ก่อน ก็เพราะว่าถ้าไม่ได้ยอดไม้ อย่างน้อยๆก็หล่นมาค้างอยู่ที่กิ่งไม้ ไม่หล่นลงพื้นดิน
การที่จะเข้าฌานได้ คุณจะต้องตัดละนิวรณ์5ได้ ซึ่งมี "กามฉันทะ" เป็นตัวแรกขวางหน้าอยู่
สถานปฏิบัติธรรมต่างๆ จึงนิยมให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ถือศีล8กันก็เพราะว่า เป็นการทำให้ลดละกามฉันทะไปด้วยในตัว
เพราะว่าศีล8 มีข้อห้ามเกี่ยวกับ เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์, การเว้นจากการกินในยามวิกาล,
เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม, เว้นจากการนอนที่นอนที่สูงเกิน
ซึ่งเป็นการห้ามที่เกี่ยวข้องกับ กามฉันทะ(ความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัสระหว่างเพศ) ไปในตัว (ซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ ที่ขัดขวางการเข้าฌาน)
ซึ่งถ้าผู้ใดถือศีล8 ก็จะต้องงดเว้นในเรื่องเหล่านี้ลง ก็จะมีผลทำให้จิตใจสงบได้ง่าย ไม่วุ่นวาย จึงเหมาะแก่การทำสมาธิ-เข้าฌาน
จึงอาจจะทำให้คนบางคนเข้าใจผิดคิดไปว่า จะต้องถือศีล8 เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม ถึงจะเข้าฌานได้
และอาจจะเป็นเพราะฆราวาสบางคน จะเข้าฌานได้ก็เฉพาะในช่วงระยะเวลาที่มาถือศีล8ปฏิบัติธรรมที่วัด หรือในสถานปฏิบัติธรรมเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว ฆราวาสแค่ถือศีล5บริสุทธิ์ นอนอยู่กับบ้าน ก็เพียงพอต่อการเข้าฌานแล้ว (แต่จะต้องทำให้ได้ถึง ปฐมฌาน เป็นอย่างน้อย)
แล้วเอากำลังของฌานนั้น ไปทำวิปัสสนาพิจารณาตัดละร่างกายต่อ ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าขั้นต้นได้ (พระโสดาบัน)
แต่ถ้าคุณชอบที่จะไปถือศีลบวชเนกขัมมะ ที่วัดหรือสถานปฏิบัติธรรม ก็ตามแต่ใจคุณ (เพราะความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน)
ผมจัดชุดให้คุณล่ะกัน เพื่อร่นระยะเวลาในการศึกษาธรรมะของคุณ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
ขอคำแนะำนำ แท็ปเล็ต wifi อย่างเดียว ถูกและดี ยี่ห้ออะไร รุ่นอะไรดีครับ และซื้อได้ที่ไหน
ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ
......พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒
......ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน
จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ
นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป)
ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการ
ที่เขาสำคัญนั้นๆ นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะ
นามรูป มีความสาปสูญไปเป็นธรรมดา นิพพานมีความ
ไม่สาปสูญไปเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น
โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิว
ดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง ฯ
พุทธพจน์ ก็เขียนบอกเอาไว้ชัดเจนว่า "นิพพานมีความไม่สาปสูญไปเป็นธรรมดา" (เหตุใดถึงยังมีคนคิดว่านิพพานสูญกันอยู่อีก?)
มีใครอยากจะเถียงคำสอนของพระพุทธเจ้า บ้างมั้ย?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สาเหตุหลักๆที่มักจะมีคนเข้าใจผิดในเรื่องของนิพพาน ตีความผิดในเรื่องของนิพพานก็เพราะว่า การที่คุณจะพิสูจน์นิพพานได้ คุณจะต้องมี.....
1.ทิพย์จักษุญาณ
2.เข้าถึงโคตรภูญาณ หรือ พระโสดาบัน ขึ้นไป ถึงจะเห็นนิพพานได้
แต่คนทั่วไปมักจะไม่มีทิพย์จักษุญาณ และแม้จะมีทิพย์จักษุญาณแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้า
คนส่วนมากจึงยังเป็นแค่ปุถุชน ที่ไม่มีทิพย์จักษุญาณ
เพราะฉนั้น.....
เมื่อคนส่วนมากบนโลกนี้ ยังเป็นแค่ปุถุชน และยังไม่มีทิพย์จักษุญาณ
เมื่อเขาได้มาอ่านตำรา ก็มักจะตีความข้อความพระธรรมในตำราไปตามความคิดของปุถุชน ที่ไม่มีทิพย์จักษุญาณ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้าอยากจะเรียนรู้พุทธวจนะของพระพุทธเจ้า ก็ศึกษาเอาเองจากพระไตรปิฎกออนไลน์เอาก็ได้ ไม่ต้องเข้าลัทธิคลอง10 เพราะป่าพงมันรก
เพราะการสอนว่า โสดาบัน ยังดื่มเหล้าได้ ขอแค่ไม่ผิดสัมมาวาจา เป็นการสอนที่ผิดทาง ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะว่า พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า.....
๗. ธนสูตร
[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ทรัพย์ คือ ศรัทธา ๑ ทรัพย์ คือ ศีล ๑ ทรัพย์ คือ สุตะ ๑ ทรัพย์ คือ
จาคะ ๑ ทรัพย์ คือ ปัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์ คือ ศรัทธาเป็นไฉน
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา ย่อมเชื่อพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ของ
ตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่าทรัพย์ คือ ศรัทธา ก็ทรัพย์ คือ ศีลเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ
เว้นขาดจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นี้เรียกว่าทรัพย์
คือ ศีล ก็ทรัพย์ คือ สุตะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นพหูสูต ฯลฯ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ นี้เรียกว่าทรัพย์ คือ สุตะ ก็ทรัพย์
คือ จาคะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจาก
มลทิน คือ ความตระหนี่อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการเสียสละ ควรแก่การขอ ยินดีในทานและการจำแนกทาน นี้เรียกว่า
ทรัพย์ คือ จาคะ ก็ทรัพย์ คือ ปัญญาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาอันหยั่งถึงความตั้งขึ้นและความ
เสื่อมไป เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้เรียกว่าทรัพย์
คือ ปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๕ ประการนี้แล ฯ
ผู้ใดมีความเชื่อในตถาคต ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว มีศีลอันงาม
อันพระอริยะชอบใจ สรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์
และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า ไม่เป็นคน
ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะเหตุนั้น ผู้มี
ปัญญา เมื่อนึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึง
ประกอบศรัทธา ศีล ปสาทะ และความเห็นธรรมเนืองๆ
เถิด ฯ
จงไตร่ตรองดูให้ดีเถิด
(เพราะยังมีเรื่องที่สอนผิดทางซ่อนอยู่อีกมาก เพียงแต่ชาวบ้านทั่วไปไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบเขา จึงนั่งฟังเขาไปเรื่อย)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
-อานาปานบรรพ
-อิริยาบถบรรพ (การมีสติ ระลึกได้ถึงอริยาบถทั้ง4 ยืน, เดิน, นั่ง, นอน)
-สัมปชัญญะบรรพ (ความรู้ตัว ทุกอิริยาบถ และ ทุกกิริยาการกระทำของตัวเอง)
-ปฏิกูลบรรพ
-ธาตุบรรพ (ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ)
-นวสีวถิกาบรรพ
เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน (รู้การเสวยอารมณ์-รู้รสของอารมณ์ ว่ารู้สึกอย่างไร? ในทุกขณะ)
- ให้กำหนดรู้ว่า ในขณะนี้ เรากำลังสุข? หรือว่า เรากำลังทุกข์? หรือว่า เรากำลังไม่สุข-ไม่ทุกข์? อยู่
- และให้รู้ว่า ความสุข หรือว่า ความทุกข์ หรือว่า ไม่สุข-ไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยอะไรเป็นเหตุ?
- รู้ทั้งตัวเรา และ รู้ทั้งผู้อื่น และ รู้ทั้งตัวเราและผู้อื่น
จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
-รู้อารมณ์ 16อย่าง แล้วคุมอารมณ์ แล้วแก้ไขอารมณ์
ถ้าเป็นอารมณ์ที่เป็นกุศล ก็ควรจะส่งเสริมให้มากขึ้น
ถ้าเป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศล ก็ควรจะพยายามแก้ไข
เตือนตัวเองให้รู้อยู่เสมอว่าในขณะนี้อารมณ์จิตของเราเป็นยังไง
ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
-นิวรณ์5 (กามฉันทะ, ปฏิฆะ, ถีนมิทธะ, อุทธัจจะ, วิจิกิจฉา)
-ขันธ์5 (รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ)
-อายตนะ ภายใน6(ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) ภายนอก6(รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, ธรรม)
-โพชฌงค์7 (สติ,ธรรมวิจยะ,วิริยะ,ปีติ,ปัสสัทธิ,สมาธิ,อุเบกขา)
-อริยสัจ4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค)
-สังโยชน์10 (สักกายทิฏฐิ,วิจิกิจฉา,สีลัพตปรามาส,กามฉันทะ,ปฏิฆะ,รูปฌาน,อรูปฌาน,มานะ,อุทธัจจะ,อวิชชา)