ว่าด้วยที่เคยบวช 15 วัน ถึงจะสั้นแต่ได้ อะไรหลายๆอย่าง
จากพระอาจารย์ กับหลวงปู่
(ขออภัยไว้ก่อนนะครับ อาจพิมผิดบ้าง ถูกบ้าง อ่านยากบ้าง เพราะไม่ได้ไล่แก้ เล่าออกมาเลย )
วันที่บวชเป็นวัดเล็กๆ วันหนึ่ง ในตอนที่บวชมีหลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัด มีพระอาจารย์ 1 รูป พระ 1 รูป รวมกับเราเป็น 2 รูป เณร 5
ที่วัดจะมีกุฏิไม้ สร้างห่างกันออกไป ซึ่งอยู่ในป่า ลักษณะกุฏิจะเป็นไม้ 2 ชั้น ข้างล่างโล่ง ทำด้วยไม้ธรรมดา เล็กๆ มีหลังคากระเบื้อง ตอนนอนมองผ่านรูแตกบนหลังคา หรือมองผ่านช่องว่างไม้ ที่ตีห่างกัน มองเห็นดาวได้สบาย
ที่กุฏิไม่มีอะไรมากมายมีแค่มุ้ง เสื่อ และผ้ารองบางๆไว้นอน ผัดลม 1 ตัว ก็คือมีแต่อุปกรณ์นอนเท่านั้นละ ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆน้องจากพัดลมเล็กๆ หลวงปู่ถามว่านอนได้ใหม กลัวผีหรือป่าว เราก็ไม่กลัวนอนได้ พระอาจารย์บอกถ้ากลัวปวดหลังก็ไปเอาผ้ามารองเพิ่มได้ กุฏิไม้อยู่คนและมุมป่ากับพระอีกรูป เพราะต้องแยกกันไกลๆ นอนคืนแรกเงียบมาก มองผ่านรูไม้ยาวๆ เห็นต้นไม้คลื่นไหวไปมา ถ้าคนกลัวผีคงอยู่ไม่ได้บรรยายกาศประมานจะมีหัวคนโผล่ออกมามามุงดูเพียบ แต่แปลกที่วัดเงียบมากจนไม่กลัวอะไรเลย และหลับไปกับกุฏิไม้ ที่มีแค่ที่นอนกับเสื่อ และพัดลมเล็กๆ 1 ตัว
ที่วัดไม่มีอะไรเลย ทีวีสักเครื่องก็ไม่มี วิทยุก็ไม่มี มือถือก็ห้ามใช้ ห้ามพกเลย (หลวงปู่เรามาบวชยิ่งบวชน้อยวัน การปฏิบัติก็ยิ่งคัค) อุปกรณ์ส่วนตัวมีแค่ สบู่ แปงสีฟัน ยางสีฟัน และอุปกรณ์อื่นๆที่มีมาตอนบวช อยู่ในบาตร พวกมีดโกน อะไรแนวๆนี้ อาบน้ำ ล้างหน้าโฟนไม่ต้อง สระผมแชมพู่ไม่ต้อง สบู่ก้อนเดียวเสร็จ เพราะสิ่งอื่นเกินจำเป็น
สรุปก็คือ คล้ายวัดป่าเลยละ ไม่มีอะไร เหมือนไปแต่ตัวทิ้งทุกอย่าง
"มาดูคำสอนหลวงตา กับพระอาจารย์กัน"
หลวงตา จะไม่มีเวลามาสอนเราเท่าไหร่ มีแต่ช่วงค่ำแกจะมาที่ศาลานั่งสอนได้จนถึงเที่ยงคืนแกนอนไม่หลับตอนกลางคืน
มีครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาหาหลวงปู่ ซึ่งเราก็นั่งปฏิบัติหลวงปู่ กลุ่มคนราวนั้นเอาน้ำผึ้งมาถวาย และจู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งคล้ายของเข้า สั่นๆ และรำๆเป็นกลอนอะไรไม่รู้ เหมือนของเข้า หลวงตาแกก็นั่งเคี้ยวหมากไป ดูไปรอให้เขาพร่ำเพ้อเสร็จ และแกก็ให้พรธรรมดาแก หลังจากคนกลุ่มนี้กลับแกก็สอนว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่รู้จิต ไม่รู้ใครมาแนวไหน ไม่รู้สิ่งแบบนี้มีจริงใหม เราทำอะไม่ได้หรอก เราไม่มีวิชาไรผี ไล่อะไรเนาะ เขามาแนวไหนหลวงปู่ก็ตามน้ำไป ขอให้เขาเป็นคนดีไม่ทำใครเดือนร้อนก็พอแล้ว
หลวงปู่บอกว่า "คนเราเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น กราบไหว้ต้นไม้ขอนไม้นี้ก็แปลก" หลวงปู่กราบไหว้แค่ครูบาร์อาจารย์ พระพุธเจ้า สิ่งไหนที่มองไม่เห็นหลวงปู่ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ลบลู่สิ่งที่มองไม่เห็น
มีคนมาถามหลวงปู่ว่า เขาว่าโดนทำของใส่ ไปหาแล้วมีคนทักว่าโดนของ หลวงปู่สอนว่า "นั้นก็แล้วแต่เราจะเชื่อ ถามหลวงปู่ หลวงปู่ไม่เชื่อหรอก หรอกปู่เชื่อคำสอนของครูบาร ท่านสอนให้เราเชื่อในศีลในธรรม เชื่อในคุณงามความดี ใครจะว่าอะไรก็อย่าไปหูเบา มันอยู่ที่เราทั้งนั้นเนาะ" ที่จริงพระอาจารย์แกพูดดีกว่านี้ยาวกว่านี้ แต่แนวๆนี้ละ
หลวงปู่ถาม คนเรานี้ก็แปลกตอนตั้งศาล กราบไหว้ศาล เอานั้นนี้มาถวายศาลอย่างดี ขอโชคขอลาบกัน พอไม่จำเป็น ไม่ให้โชคก็เอามาทิ้งกัน ตอนนั้นทำซะดีเลย ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใหมที่ศาล หรือกราบไหว้ปูนก็ไม่รู้เนาะกัน
หลวงปู่เล่าถึงหลวงปู่คูณด้วยละ
แกเล่าว่า หลวงปู่คูณน่าสงสารเนาะ ไม่สบายขนาดนั้นยังต้องออกมาทำนั้นนี้ ลูกศิษย์นี้ตัวดี ทำวัตถุมงคลนั้นนี้เยอะๆเอง แล้วไปเอาท่านมาแตะวัตถุมงคลแล้วบอกว่าของหลวงพ่อคูณ (และแกก็ขำ ปกติพูดอะไรจบแกก็หัวเราะตลอด) ไม่รู้ถามแกหรือยังว่าแกอยากทำใหม แกบอกลูกศิษย์ไม่ดี แทนที่จะให้แกพักผ่อนกับเอาแกมาทรมาน สมัยนี้ทำบล็อกปั้มๆๆๆ อยากได้กี่อันก็ปั้มไป และก็ทำรุ่นใหม่ออกมา หลวงปู่บอกว่าวัตถุมงคลแต่ละชิ้นไม่ได้ทำง่ายๆ ไม่ได้ทำบ่อยๆด้วย เพราะทำยาก ของก็หายาก ทำหลายอาทิตย์ ต้องหานั้นนี้ อย่างไม้ก็มานั้นพัน นั่งเหลา นั่งท่องทำด้วยมือ เผื่อจะได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หลวงปู่บอกคนสมัยนี้อยู่บนสรรค์
มีหูทิตย์ ตาทิตย์ อาหารทิตย์ อยากได้อะไรก็ยกหูโทรเอา อยากกินช้าก็ยกหูโทรแป๊บเดียวเขามาส่ง ทีวีก็มีดู อะไรก็ง่ายไปหมด เข้า 7-11 ก็มีหมด หลวงปู่บอกว่าสมัยก่อนนะลำบาก น้ำเนี่ยต้องไปแบกหลายกิโลมาเทใส่ไว้ ข้าวเนี่ยไม่ใช่อะไรดีๆแบบนี้นะ บางวันก็อาจได้กินแต่ปลาทั้งเดือน ปิ้งปลา หมกปลา ต้มปลา บางวันได้กินแต่หน่อไม้ทั้งเดือน ต้มหน่อไม้ แกหน่อยไม้ หมกหน่อยไม้ สมัยนี้ไม่รู้จะเลือกกินอะไรเยอะ สมัยนี้สบายจนหลายคนลืมความพอดี ความสบายทำให้คนเกียจคร้าน
เล่าเรื่อง บวช 15 วัน กับคำสอน ของปลวงปู่กับพระอาจารย์ แนวสายป่า สายปฏิบัติ
จากพระอาจารย์ กับหลวงปู่
(ขออภัยไว้ก่อนนะครับ อาจพิมผิดบ้าง ถูกบ้าง อ่านยากบ้าง เพราะไม่ได้ไล่แก้ เล่าออกมาเลย )
วันที่บวชเป็นวัดเล็กๆ วันหนึ่ง ในตอนที่บวชมีหลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัด มีพระอาจารย์ 1 รูป พระ 1 รูป รวมกับเราเป็น 2 รูป เณร 5
ที่วัดจะมีกุฏิไม้ สร้างห่างกันออกไป ซึ่งอยู่ในป่า ลักษณะกุฏิจะเป็นไม้ 2 ชั้น ข้างล่างโล่ง ทำด้วยไม้ธรรมดา เล็กๆ มีหลังคากระเบื้อง ตอนนอนมองผ่านรูแตกบนหลังคา หรือมองผ่านช่องว่างไม้ ที่ตีห่างกัน มองเห็นดาวได้สบาย
ที่กุฏิไม่มีอะไรมากมายมีแค่มุ้ง เสื่อ และผ้ารองบางๆไว้นอน ผัดลม 1 ตัว ก็คือมีแต่อุปกรณ์นอนเท่านั้นละ ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆน้องจากพัดลมเล็กๆ หลวงปู่ถามว่านอนได้ใหม กลัวผีหรือป่าว เราก็ไม่กลัวนอนได้ พระอาจารย์บอกถ้ากลัวปวดหลังก็ไปเอาผ้ามารองเพิ่มได้ กุฏิไม้อยู่คนและมุมป่ากับพระอีกรูป เพราะต้องแยกกันไกลๆ นอนคืนแรกเงียบมาก มองผ่านรูไม้ยาวๆ เห็นต้นไม้คลื่นไหวไปมา ถ้าคนกลัวผีคงอยู่ไม่ได้บรรยายกาศประมานจะมีหัวคนโผล่ออกมามามุงดูเพียบ แต่แปลกที่วัดเงียบมากจนไม่กลัวอะไรเลย และหลับไปกับกุฏิไม้ ที่มีแค่ที่นอนกับเสื่อ และพัดลมเล็กๆ 1 ตัว
ที่วัดไม่มีอะไรเลย ทีวีสักเครื่องก็ไม่มี วิทยุก็ไม่มี มือถือก็ห้ามใช้ ห้ามพกเลย (หลวงปู่เรามาบวชยิ่งบวชน้อยวัน การปฏิบัติก็ยิ่งคัค) อุปกรณ์ส่วนตัวมีแค่ สบู่ แปงสีฟัน ยางสีฟัน และอุปกรณ์อื่นๆที่มีมาตอนบวช อยู่ในบาตร พวกมีดโกน อะไรแนวๆนี้ อาบน้ำ ล้างหน้าโฟนไม่ต้อง สระผมแชมพู่ไม่ต้อง สบู่ก้อนเดียวเสร็จ เพราะสิ่งอื่นเกินจำเป็น
สรุปก็คือ คล้ายวัดป่าเลยละ ไม่มีอะไร เหมือนไปแต่ตัวทิ้งทุกอย่าง
"มาดูคำสอนหลวงตา กับพระอาจารย์กัน"
หลวงตา จะไม่มีเวลามาสอนเราเท่าไหร่ มีแต่ช่วงค่ำแกจะมาที่ศาลานั่งสอนได้จนถึงเที่ยงคืนแกนอนไม่หลับตอนกลางคืน
มีครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาหาหลวงปู่ ซึ่งเราก็นั่งปฏิบัติหลวงปู่ กลุ่มคนราวนั้นเอาน้ำผึ้งมาถวาย และจู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งคล้ายของเข้า สั่นๆ และรำๆเป็นกลอนอะไรไม่รู้ เหมือนของเข้า หลวงตาแกก็นั่งเคี้ยวหมากไป ดูไปรอให้เขาพร่ำเพ้อเสร็จ และแกก็ให้พรธรรมดาแก หลังจากคนกลุ่มนี้กลับแกก็สอนว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่รู้จิต ไม่รู้ใครมาแนวไหน ไม่รู้สิ่งแบบนี้มีจริงใหม เราทำอะไม่ได้หรอก เราไม่มีวิชาไรผี ไล่อะไรเนาะ เขามาแนวไหนหลวงปู่ก็ตามน้ำไป ขอให้เขาเป็นคนดีไม่ทำใครเดือนร้อนก็พอแล้ว
หลวงปู่บอกว่า "คนเราเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น กราบไหว้ต้นไม้ขอนไม้นี้ก็แปลก" หลวงปู่กราบไหว้แค่ครูบาร์อาจารย์ พระพุธเจ้า สิ่งไหนที่มองไม่เห็นหลวงปู่ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ลบลู่สิ่งที่มองไม่เห็น
มีคนมาถามหลวงปู่ว่า เขาว่าโดนทำของใส่ ไปหาแล้วมีคนทักว่าโดนของ หลวงปู่สอนว่า "นั้นก็แล้วแต่เราจะเชื่อ ถามหลวงปู่ หลวงปู่ไม่เชื่อหรอก หรอกปู่เชื่อคำสอนของครูบาร ท่านสอนให้เราเชื่อในศีลในธรรม เชื่อในคุณงามความดี ใครจะว่าอะไรก็อย่าไปหูเบา มันอยู่ที่เราทั้งนั้นเนาะ" ที่จริงพระอาจารย์แกพูดดีกว่านี้ยาวกว่านี้ แต่แนวๆนี้ละ
หลวงปู่ถาม คนเรานี้ก็แปลกตอนตั้งศาล กราบไหว้ศาล เอานั้นนี้มาถวายศาลอย่างดี ขอโชคขอลาบกัน พอไม่จำเป็น ไม่ให้โชคก็เอามาทิ้งกัน ตอนนั้นทำซะดีเลย ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใหมที่ศาล หรือกราบไหว้ปูนก็ไม่รู้เนาะกัน
หลวงปู่เล่าถึงหลวงปู่คูณด้วยละ
แกเล่าว่า หลวงปู่คูณน่าสงสารเนาะ ไม่สบายขนาดนั้นยังต้องออกมาทำนั้นนี้ ลูกศิษย์นี้ตัวดี ทำวัตถุมงคลนั้นนี้เยอะๆเอง แล้วไปเอาท่านมาแตะวัตถุมงคลแล้วบอกว่าของหลวงพ่อคูณ (และแกก็ขำ ปกติพูดอะไรจบแกก็หัวเราะตลอด) ไม่รู้ถามแกหรือยังว่าแกอยากทำใหม แกบอกลูกศิษย์ไม่ดี แทนที่จะให้แกพักผ่อนกับเอาแกมาทรมาน สมัยนี้ทำบล็อกปั้มๆๆๆ อยากได้กี่อันก็ปั้มไป และก็ทำรุ่นใหม่ออกมา หลวงปู่บอกว่าวัตถุมงคลแต่ละชิ้นไม่ได้ทำง่ายๆ ไม่ได้ทำบ่อยๆด้วย เพราะทำยาก ของก็หายาก ทำหลายอาทิตย์ ต้องหานั้นนี้ อย่างไม้ก็มานั้นพัน นั่งเหลา นั่งท่องทำด้วยมือ เผื่อจะได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หลวงปู่บอกคนสมัยนี้อยู่บนสรรค์
มีหูทิตย์ ตาทิตย์ อาหารทิตย์ อยากได้อะไรก็ยกหูโทรเอา อยากกินช้าก็ยกหูโทรแป๊บเดียวเขามาส่ง ทีวีก็มีดู อะไรก็ง่ายไปหมด เข้า 7-11 ก็มีหมด หลวงปู่บอกว่าสมัยก่อนนะลำบาก น้ำเนี่ยต้องไปแบกหลายกิโลมาเทใส่ไว้ ข้าวเนี่ยไม่ใช่อะไรดีๆแบบนี้นะ บางวันก็อาจได้กินแต่ปลาทั้งเดือน ปิ้งปลา หมกปลา ต้มปลา บางวันได้กินแต่หน่อไม้ทั้งเดือน ต้มหน่อไม้ แกหน่อยไม้ หมกหน่อยไม้ สมัยนี้ไม่รู้จะเลือกกินอะไรเยอะ สมัยนี้สบายจนหลายคนลืมความพอดี ความสบายทำให้คนเกียจคร้าน