ประสบการณ์ชวนพิศวง.....
ทุกคืนก่อนนอนเป็นกิจวัตรที่ผมกระทำมานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็กๆก็ว่าได้ คือสวดมนต์ อาจเป็นเพราะเห็นคุณพ่อ คุณแม่ญาติผู้ใหญ่ กระทำตั้งแต่จำความได้ จึงประพฤติปฎิบัติตามโดยอัตโนมัติ
คืนไหนไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน จะนอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาสวดเสียก่อน จึงจะหลับได้ แม้ว่าจะเปลี่ยนที่นอน ไปนอนที่ไหนก็ตาม
ระยะหลังๆมา ผมจะนั่งเจริญสติ เจริญปัญญา ตามควรแก่เวลา ให้จิตนิ่ง สงบ เสียก่อนจึงล้มตัวลงนอน กระทำมาโดยตลอดดังได้กล่าวแล้ว
บทสวดมนต์ที่ใช้สวดก็ง่ายๆ ธรรมดาคือตั้งนโมสามจบ ตามด้วยบทสรรเสริญพระพุทธคุณ,พระธรรมคุณ,พระสังฆคุณตามด้วยบทพาหุงฯ ,อิติปิโสถอยหลัง,คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า(อิติปิโสเรือนเตี้ย),ชินบัญชรย่อ,บทสวดยันทุนนิมิตตัง แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งปวงในไตรโลกธาตุ
ทั้งหลายทั้งปวง ผมก็ดำเนินชีวิตมาด้วยความสุขสงบ ผ่านทุกข์สุข ร้อนหนาว มาได้ตามอัตภาพ
เมื่อคืนวาน หลังจากสวดมนต์ ภาวนาตามกิจวัตรแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอนตามปกติ โดยเปิดปาฐกถาธรรมของท่านปัญญานันทะ ฟังไปด้วยหนึ่งเรื่อง ก่อนหลับ
ผมหลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ รู้สึกตัวตื่นขึ้นในความมืดมิด เวิ้งว้าง ว่างเปล่า หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ขณะนั้นตกใจมากคิดว่า เอ๊ะเรามาอยู่ไหนนี่ ฝันไปหรือเปล่า ทดลองสูดลมหายใจก็ยังหายใจได้คล่องดีอยู่ วาบความคิดบอกว่าลองลุกขึ้นยืนดูซิว่ายืนได้หรือไม่
ยังไม่ทันจะตั้งหลักเพื่อยืน ความรู้สึกกลับวูบลง เหมือนถูกจับกดน้ำ หายใจไม่ได้และถูกกดลึกลงไปเรื่อยๆ แม้จะพยายามดิ้นรนให้หลุดจากแรงอันมหาศาลที่กดลงไป แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงกดนั้นได้ และรู้สึกได้ว่าหายใจไม่ได้ทั้งหายใจเข้าและออก
สติตอนนั้นมี มีแน่นอน ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นนี่ ที่สำคัญรู้สึกได้ว่าลมหายใจเหมือนกำลังจะสิ้นสุดลง ความกลัวเกิดขึ้นอย่างรุนแรง นี่หรือคืออาการของคนจะหมดลม จะสิ้นใจ เราคงหมดกรรมแล้ว สติกลับมาทันที บอกตัวเองว่าหากจะไปขอไปดีๆ โดยกำหนดจิตระลึกถึงคำบริกรรมที่ฝึกใช้กำกับลมหายใจ มาโดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา "พุทโธ" ทันที และภาพตอนที่ผมนำเอาตะเกียงโซล่าเซลล์ไปถวายเข้าพรรษาแก่พระตามป่าเขาแถบจังหวัดสกลนคร,อุดรานี เมื่อหลายปีก่อน ปรากฎขึ้นในห้วงความมืดมิด
วินาทีดับจิต คิดว่าอย่างไรๆก็ไม่ได้หายใจอีกแล้ว ชีวิตคงวูบหายไปกับความมืดมิดและอ้างว้าง ที่กำลังประสบอยู่ ใจหนึ่งเบาสบายว่าเราพ้นทุกข์แล้ว ไม่ต้องเจ็บปวด หิว โกรธ ฯลฯ อะไรอีกแล้ว
รวบรวมสติกำกับลมหายใจด้วยพุทโธ ได้สักสามครั้ง รู้สึกได้ว่า แรงกดนั้นผ่อนลง ตัวเบาและทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านความมืดมิดขึ้นมา เห็นแสงสว่างประดุจท้องฟ้า กว้างจนหาที่สิ้นสุดมิได้ ที่สำคัญคือสามารถผ่อนลมหายใจ และสูดเข้าออกได้ ภาพองค์ครูบาอาจารย์ที่เคารพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ,หลวงปู่ขาว อนาลโย,หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ปรากฎเด่นชัดในความรู้สึกเหมือนภาพจากเครื่องฉายสไลด์
จังหวะนั้น ถามตัวเองทันที่ว่านี่เราตายแล้วหรือนี่ เราไปอยู่ที่ไหนกัน ทั้งพยายามลุกขึ้นยืน พยายามลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือแสงหรี่ของตะเกียงโซล่าเซลล์ที่เปิดไว้บนโต๊ะข้างผนัง ตั้งสติเดินไปที่ตะเกียง เพ่งมองแสงสว่าง หายใจเข้าออกลึกๆหลายครั้ง จึงบอกตัวเองได้ว่า ยังมีชีวิตอยู่
เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆที่เกิดขึ้นกับตัวผม ซึ่งแม้จะเป็นผู้ฝึกจิตตนเองด้วยการเจริญสมาธิ เป็นประจำ แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็มิเคยปรากฎ ซึ่งตรงกันข้ามหากเมื่อใดจิตรวมสงบนิ่งก็จะปรากฏแต่อยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าง อันเงียบสงบ ท่ามกลางแสงละมุน สุขสงบสบาย
สิ่งที่เกิดขึ้นดังได้เล่าไปแล้ว เป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง มิคาดคิด เมื่อมาทบทวน ยิ่งเห็นจริงในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ถ่ายทอดมายังองค์ครูบาอาจารย์ มาถึงเราที่ว่าชีวิตนี้น้อยนัก การมีชีวิตอยู่กับการตาย มีเพียงลมหายใจเท่านั้นที่เป็นสื่อ
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ ผมก็จะขอมีโอกาสสร้างบุญกุศล คุณความดี เก็บเป็นเสบียงติดตัวไป ไม่ว่าโลกหน้าภพหน้าจะมีหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ความสุขที่คิดว่าสุขในโลกนี้แสวงหาไปก็เท่านั้นเพราะเมื่อยามคับขัน ความสุขที่แสวงหาทางโลกไว้ กอปรด้วย รัก โลภ โกรธ หลงจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้จิตสงบนิ่งก่อนเดินทางต่อไปได้หรือไม่ ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน
ผมขอนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยขอให้ถือว่าเป็นเรื่องเล่าจากคนแก่ก็แล้วกันครับอ่านพอเพลินๆ ถือว่านำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เพราะทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็น "ปัจจัตตัง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตัว" ตามคำกล่าวของพระพุทธองค์ โดยแท้
ส่วนตัวผม ผมคิดว่าการละวางโลภโกรธ หลง สร้างบุญกุศลตามสมควร เจริญสมาธิ เจริญปัญญาบ้างตามโอกาส น่าจะเป็นทางที่ทำให้จิตสงบสบาย พอควรแก่การมีชีวิตอย่างสงบสุข ไปได้ ในช่วงชีวิตที่เกิดมาแสนสั้นนี้ ......ขอบคุณครับ
ประสบการณ์ชวนพิศวง
คืนไหนไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน จะนอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาสวดเสียก่อน จึงจะหลับได้ แม้ว่าจะเปลี่ยนที่นอน ไปนอนที่ไหนก็ตาม
ระยะหลังๆมา ผมจะนั่งเจริญสติ เจริญปัญญา ตามควรแก่เวลา ให้จิตนิ่ง สงบ เสียก่อนจึงล้มตัวลงนอน กระทำมาโดยตลอดดังได้กล่าวแล้ว
บทสวดมนต์ที่ใช้สวดก็ง่ายๆ ธรรมดาคือตั้งนโมสามจบ ตามด้วยบทสรรเสริญพระพุทธคุณ,พระธรรมคุณ,พระสังฆคุณตามด้วยบทพาหุงฯ ,อิติปิโสถอยหลัง,คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า(อิติปิโสเรือนเตี้ย),ชินบัญชรย่อ,บทสวดยันทุนนิมิตตัง แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งปวงในไตรโลกธาตุ
ทั้งหลายทั้งปวง ผมก็ดำเนินชีวิตมาด้วยความสุขสงบ ผ่านทุกข์สุข ร้อนหนาว มาได้ตามอัตภาพ
เมื่อคืนวาน หลังจากสวดมนต์ ภาวนาตามกิจวัตรแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอนตามปกติ โดยเปิดปาฐกถาธรรมของท่านปัญญานันทะ ฟังไปด้วยหนึ่งเรื่อง ก่อนหลับ
ผมหลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ รู้สึกตัวตื่นขึ้นในความมืดมิด เวิ้งว้าง ว่างเปล่า หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ขณะนั้นตกใจมากคิดว่า เอ๊ะเรามาอยู่ไหนนี่ ฝันไปหรือเปล่า ทดลองสูดลมหายใจก็ยังหายใจได้คล่องดีอยู่ วาบความคิดบอกว่าลองลุกขึ้นยืนดูซิว่ายืนได้หรือไม่
ยังไม่ทันจะตั้งหลักเพื่อยืน ความรู้สึกกลับวูบลง เหมือนถูกจับกดน้ำ หายใจไม่ได้และถูกกดลึกลงไปเรื่อยๆ แม้จะพยายามดิ้นรนให้หลุดจากแรงอันมหาศาลที่กดลงไป แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงกดนั้นได้ และรู้สึกได้ว่าหายใจไม่ได้ทั้งหายใจเข้าและออก
สติตอนนั้นมี มีแน่นอน ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นนี่ ที่สำคัญรู้สึกได้ว่าลมหายใจเหมือนกำลังจะสิ้นสุดลง ความกลัวเกิดขึ้นอย่างรุนแรง นี่หรือคืออาการของคนจะหมดลม จะสิ้นใจ เราคงหมดกรรมแล้ว สติกลับมาทันที บอกตัวเองว่าหากจะไปขอไปดีๆ โดยกำหนดจิตระลึกถึงคำบริกรรมที่ฝึกใช้กำกับลมหายใจ มาโดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา "พุทโธ" ทันที และภาพตอนที่ผมนำเอาตะเกียงโซล่าเซลล์ไปถวายเข้าพรรษาแก่พระตามป่าเขาแถบจังหวัดสกลนคร,อุดรานี เมื่อหลายปีก่อน ปรากฎขึ้นในห้วงความมืดมิด
วินาทีดับจิต คิดว่าอย่างไรๆก็ไม่ได้หายใจอีกแล้ว ชีวิตคงวูบหายไปกับความมืดมิดและอ้างว้าง ที่กำลังประสบอยู่ ใจหนึ่งเบาสบายว่าเราพ้นทุกข์แล้ว ไม่ต้องเจ็บปวด หิว โกรธ ฯลฯ อะไรอีกแล้ว
รวบรวมสติกำกับลมหายใจด้วยพุทโธ ได้สักสามครั้ง รู้สึกได้ว่า แรงกดนั้นผ่อนลง ตัวเบาและทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านความมืดมิดขึ้นมา เห็นแสงสว่างประดุจท้องฟ้า กว้างจนหาที่สิ้นสุดมิได้ ที่สำคัญคือสามารถผ่อนลมหายใจ และสูดเข้าออกได้ ภาพองค์ครูบาอาจารย์ที่เคารพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ,หลวงปู่ขาว อนาลโย,หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ปรากฎเด่นชัดในความรู้สึกเหมือนภาพจากเครื่องฉายสไลด์
จังหวะนั้น ถามตัวเองทันที่ว่านี่เราตายแล้วหรือนี่ เราไปอยู่ที่ไหนกัน ทั้งพยายามลุกขึ้นยืน พยายามลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือแสงหรี่ของตะเกียงโซล่าเซลล์ที่เปิดไว้บนโต๊ะข้างผนัง ตั้งสติเดินไปที่ตะเกียง เพ่งมองแสงสว่าง หายใจเข้าออกลึกๆหลายครั้ง จึงบอกตัวเองได้ว่า ยังมีชีวิตอยู่
เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆที่เกิดขึ้นกับตัวผม ซึ่งแม้จะเป็นผู้ฝึกจิตตนเองด้วยการเจริญสมาธิ เป็นประจำ แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็มิเคยปรากฎ ซึ่งตรงกันข้ามหากเมื่อใดจิตรวมสงบนิ่งก็จะปรากฏแต่อยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าง อันเงียบสงบ ท่ามกลางแสงละมุน สุขสงบสบาย
สิ่งที่เกิดขึ้นดังได้เล่าไปแล้ว เป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง มิคาดคิด เมื่อมาทบทวน ยิ่งเห็นจริงในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ถ่ายทอดมายังองค์ครูบาอาจารย์ มาถึงเราที่ว่าชีวิตนี้น้อยนัก การมีชีวิตอยู่กับการตาย มีเพียงลมหายใจเท่านั้นที่เป็นสื่อ
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ ผมก็จะขอมีโอกาสสร้างบุญกุศล คุณความดี เก็บเป็นเสบียงติดตัวไป ไม่ว่าโลกหน้าภพหน้าจะมีหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ความสุขที่คิดว่าสุขในโลกนี้แสวงหาไปก็เท่านั้นเพราะเมื่อยามคับขัน ความสุขที่แสวงหาทางโลกไว้ กอปรด้วย รัก โลภ โกรธ หลงจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้จิตสงบนิ่งก่อนเดินทางต่อไปได้หรือไม่ ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน
ผมขอนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยขอให้ถือว่าเป็นเรื่องเล่าจากคนแก่ก็แล้วกันครับอ่านพอเพลินๆ ถือว่านำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เพราะทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็น "ปัจจัตตัง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตัว" ตามคำกล่าวของพระพุทธองค์ โดยแท้
ส่วนตัวผม ผมคิดว่าการละวางโลภโกรธ หลง สร้างบุญกุศลตามสมควร เจริญสมาธิ เจริญปัญญาบ้างตามโอกาส น่าจะเป็นทางที่ทำให้จิตสงบสบาย พอควรแก่การมีชีวิตอย่างสงบสุข ไปได้ ในช่วงชีวิตที่เกิดมาแสนสั้นนี้ ......ขอบคุณครับ