พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ โปรดโยมมารดา
พระอาจารย์จวนโปรดโยมมารดาว่า ให้ภาวนา
โยมมารดาของท่าน ได้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเป็นอย่างดี และต่อมาได้เล่าเรื่องภาวนาให้ฟังว่า...
___________________________________________
" โยมได้ภาวนา บริกรรมว่า...
พุทโธ พุทโธ อยู่...แต่ในใจ บางวันจิตจะรวมลง
ไปใสบริสุทธิ์ อยู่เฉพาะแต่จิตล้วนๆ
ไม่มี...ทุกขเวทนาเลย แสนที่จะสบายยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันเป็นอย่างไร ? "
โยมมารดาถามข้าพเจ้า ก็ตอบว่า...
" จิตมันรวม มันวางธาตุ
มันอยู่เฉพาะจิต มันก็สบายน่ะซิ ให้มันรวม
อยู่เสมอ แต่ให้มีสติรู้ ว่า...จิตของเรารวม
อย่า ไปรบกวนจิต
อย่า ไปบังคับจิตให้รวม
ให้รวมเอง เมื่อจิตรวมเอง
เมื่อจิตรวม ก็ให้มีสติ
เมื่อจิตถอน ก็ให้มีสติ มาพิจารณากายของตน
และอย่าบังคับจิตให้ถอน จะถอนให้ถอนเอง "
ได้แนะนำโยมมารดาแต่เพียงแค่นี้
ตามแนวอุบายคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น
ที่เคยให้แก่ข้าพเจ้านั่นเอง และโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้
วันต่อมาโยมก็มาเล่าให้ฟังว่า...
"จิต มันรวมบ่อย
สามชั่วโมง ก็มี ตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงย่ำรุ่ง ก็มี"
และโยมมารดาพูดว่า...
"ไม่มี...ใครตาย มีแต่ผู้รู้...
รู้อยู่ ไม่มี...ผู้ตาย ที่ว่าตาย ตายนั้นเพราะคน
ไม่รู้สมมติ เพราะร่างกายธาตุขันธ์อันนี้
เป็นแต่สมมติ....มันไม่ตาย
มันตายไม่เป็น ธาตุทั้งหลาย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็น
ของมีอยู่นั้นเป็นธรรมดา เป็นประจำอยู่อย่างนั้น
ไม่มี...อะไรตายเลย ส่วนผู้รู้...ก็ไม่ตาย"
โยมเล่า ความรู้เห็น
ตามภาวนาให้ฟัง และกลับสงสัยว่า...
"จะให้เอาอะไร จะให้เอาผู้รู้นี่หรือ ?"
เมื่อโยมมารดาถาม เช่นนั้น
ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า...
"พระพุทธเจ้าท่านสอน
เบื้องต้นให้กำหนดให้รู้ตามเป็นจริง
เมื่อรู้แล้ว...
ละ...
วาง...
ปล่อย...
สละ...
สลัดตัดขาด
ถ้าเรารู้ ไปเอาความรู้ ก็ชื่อว่า...
เราละไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านว่า เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว
ยาวะ เทวะ ญาณมัตตายะ ญาณคือความรู้
ก็สักแต่ว่ารู้...
ปติสสติ มัตตายะ สติ
ความอาศัยระลึกรู้ ก็สักแต่ว่า...อาศัยระลึกรู้
เมื่อเธอเป็นผู้กำหนดรู้เห็น ด้วยปัญญาตามความ
เป็นจริงแล้ว...
อนิสสิโต จะ วิหระติ เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย
นะจะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ
ย่อม ไม่ยึดถืออะไรๆ แม้แต่นิดหนึ่ง น้อยหนึ่ง
มิได้มีอยู่ในโลก ดังนี้
คือ โอวาทคำสั่งสอนตักเตือน ของพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า
คำว่า...
ไม่ติดอยู่ด้วย คือความรู้ก็ไม่ติด
คำว่า ไม่ยึดถืออะไรๆในโลก
คือ...ความรู้ตามเป็นจริง รู้โลกนั่นเอง
คือ...โลกวิทู....รู้แจ้งโลก
เมื่อรู้แจ้งโลกแล้ว...
ก็ละ วาง สละ สลัด ตัดขาดกันเท่านั้น "
เป็นการเตือนให้โยมมารดา
ไปพิจารณาเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้
เมื่อโยมมารดาได้รับการตักเตือนอย่างนี้
ก็ไปภาวนาต่อไป ภายหลังจึงมาเล่าให้ข้าพเจ้า
ฟังว่า...
"บัดนี้ โยมรู้แล้ว
คุณลูกจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย"
เมื่อโยมมารดาบวชเป็นชีอายุได้ 75 - 76 ปีแล้ว
ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านคงจะพิจารณารู้การณ์
ข้างหน้า ท่านจึงแต่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษา กับมารดาท่านว่า...
" ท่านจวนเอามารดามาบวชแล้ว
ไม่ได้ ต้องไปอบรมสั่งสอนผู้เฒ่านะ"
แล้วท่าน ก็แนะนำวิธีให้ว่า...
"อบรมผู้เฒ่านั้น อย่าไปอบรมมากๆ
ลึกซึ่งอะไร ผู้เฒ่าจำไม่ได้หรอก เอาแต่สั้นๆ พอให้ทำได้แล้ว จึงค่อยแนะขั้นต่อไปเป็นลำดับ"
ท่านบอกอุบายให้แล้ว ก็เตือนข้าพเจ้า
ออกพรรษาแล้ว ให้รีบไปหาท่านเพราะประเดี๋ยว
จะไม่ทันท่าน...
ดังที่ข้าพเจ้าเคยเล่าไว้แล้ว เมื่อมาจำพรรษากับโยมมารดา ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติแนะนำท่านตามที่ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะวิธีมา
โดยเริ่มสอนให้ท่องเพียง พุทโธ ให้มีสติกำกับใจ อยู่...กับพุทโธ
อยู่ กับอารมณ์พุทโธ ให้พุทโธอยู่กับใจ
อย่า พลั้งเผลอ
อย่า ขาดจากกัน
บอกเพียงแค่นั้น โยมก็ไปปฏิบัติ และมาบอกผล
ของการภาวนาเป็นลำดับๆ และข้าพเจ้าก็แนะนำ
ต่อไปเป็นลำดับๆ เช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณากาย
กระทั่งวันหนึ่งโยมมารดา ก็เล่าว่า...
ท่านพิจารณากาย จนเห็นชัดและมันเปื่อย ผุพังลงไป
"แม่นแล้วมันไม่ใช่ของเราจริงๆ
เห็นหมดเลยทุกส่วน ยังเหลือแต่ลำไส้อยู่ส่วนเดียวในกาย ยังมืดตื้ออยู่ เห็นไม่ชัด ละลายยัง
ไม่ได้
" ข้าพเจ้าก็ว่า...
ให้ละลายมันให้ได้ ทำให้ได้
ภาวนาให้มันได้ซีโยม"
โยมมารดาก็ภาวนาต่อไป
สุดท้ายพอจะออกพรรษาท่านก็ออกอุทานว่า...
" โอย คุณลูกโยมรู้แล้ว
รู้จักทางแล้ว คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ
อย่าเป็นห่วงโยมเลย มันบ่มีผู้ตายหรอก
จิต มันก็ตายไม่เป็นหรอก
มันละ...ใสบริสุทธิ์ มีแต่ผู้รู้ ไม่มี...ผู้ตาย
ร่างกายนี้ ก็ไม่ใช่ของเรานะ เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ นะคุณลูก"
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน
ตอนโยมมารดาเจ็บหนักนี้ ท่านก็บอกว่า...
ท่านจะอยู่ไม่ได้นาน อีกสามวันก็จะไปละ
เพราะมารดาเกิดวันพฤหัสบดี จะตายวันนั้น
โยมมารดาบอกวันตายด้วย แล้วก็บอกเวลา
อีกว่า...เวลาตีหนึ่ง จะลาละ อย่ารีบไปไหน
พอถึงวันพฤหัสบดี
ลูกหลานทุกคน ก็มาเฝ้ากันหมดพร้อมหน้า
ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ คอยเฝ้าผู้เฒ่าอยู่ถาม
โยมมารดาว่า...
"มีห่วง มีอะไรสงสัยไหม"
ท่านก็ว่า มีอยู่อย่างหนึ่ง
ท่านสงสัยเรื่องกรรม คือท่านเอาหมากถั่ว (ถั่วฝักยาว) ที่ไร่ของหลาน
ไร่นั้นเขาทิ้งร้างแล้ว โยมเก็บมาประกอบเป็นอาหารถวายพระ กลัวว่าการกระทำนี้จะเป็นบาปเป็นกรรม เพราะไม่ได้บอกหลานเขา
ข้าพเจ้าก็เลยบอกโยมมารดาว่า ไม่เป็นไรหรอก
เป็นไร่ของหลานเราเอง และไร่นั้นเขาก็ทิ้งร้างแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านมีสงสัยเพียงแค่นั้น
พอถึงเวลาตีหนึ่ง ท่านก็ดับไปจริงๆ โดยหลับตา สิ้นลมไปอย่างสบาย สงบที่สุด...
เมื่อมีโอกาสที่จำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย
ในภายหลัง ข้าพเจ้าได้กราบเรียนเล่า เรื่องการภาวนาของโยมมารดาถวายให้หลวงปู่ขาวฟัง
ท่านพิจารณาอยู่ 3 วัน แล้วก็เล่าให้ข้าพจ้าฟัง
"โอ....โยมมารดาของท่านไปสูงเลย
ไปถึงสุทธาวาส พรหมโลก ได้สำเร็จอนาคามี
ทีเดียว "
หลวงปู่ขาวว่าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็สาธุ อนุโมทนาด้วยโยม ส่วนเรื่องผู้รู้ ตายไม่ตายนั้น...
ฟังแล้ว โปรดพิจารณากันเอาเอง"
-----------------------------------------------------------------------
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
เรื่อฃเล่าน่าอ่านหลวงปู่ จวนโปรดโยมมารดา
พระอาจารย์จวนโปรดโยมมารดาว่า ให้ภาวนา
โยมมารดาของท่าน ได้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเป็นอย่างดี และต่อมาได้เล่าเรื่องภาวนาให้ฟังว่า...
___________________________________________
" โยมได้ภาวนา บริกรรมว่า...
พุทโธ พุทโธ อยู่...แต่ในใจ บางวันจิตจะรวมลง
ไปใสบริสุทธิ์ อยู่เฉพาะแต่จิตล้วนๆ
ไม่มี...ทุกขเวทนาเลย แสนที่จะสบายยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันเป็นอย่างไร ? "
โยมมารดาถามข้าพเจ้า ก็ตอบว่า...
" จิตมันรวม มันวางธาตุ
มันอยู่เฉพาะจิต มันก็สบายน่ะซิ ให้มันรวม
อยู่เสมอ แต่ให้มีสติรู้ ว่า...จิตของเรารวม
อย่า ไปรบกวนจิต
อย่า ไปบังคับจิตให้รวม
ให้รวมเอง เมื่อจิตรวมเอง
เมื่อจิตรวม ก็ให้มีสติ
เมื่อจิตถอน ก็ให้มีสติ มาพิจารณากายของตน
และอย่าบังคับจิตให้ถอน จะถอนให้ถอนเอง "
ได้แนะนำโยมมารดาแต่เพียงแค่นี้
ตามแนวอุบายคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น
ที่เคยให้แก่ข้าพเจ้านั่นเอง และโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้
วันต่อมาโยมก็มาเล่าให้ฟังว่า...
"จิต มันรวมบ่อย
สามชั่วโมง ก็มี ตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงย่ำรุ่ง ก็มี"
และโยมมารดาพูดว่า...
"ไม่มี...ใครตาย มีแต่ผู้รู้...
รู้อยู่ ไม่มี...ผู้ตาย ที่ว่าตาย ตายนั้นเพราะคน
ไม่รู้สมมติ เพราะร่างกายธาตุขันธ์อันนี้
เป็นแต่สมมติ....มันไม่ตาย
มันตายไม่เป็น ธาตุทั้งหลาย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็น
ของมีอยู่นั้นเป็นธรรมดา เป็นประจำอยู่อย่างนั้น
ไม่มี...อะไรตายเลย ส่วนผู้รู้...ก็ไม่ตาย"
โยมเล่า ความรู้เห็น
ตามภาวนาให้ฟัง และกลับสงสัยว่า...
"จะให้เอาอะไร จะให้เอาผู้รู้นี่หรือ ?"
เมื่อโยมมารดาถาม เช่นนั้น
ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า...
"พระพุทธเจ้าท่านสอน
เบื้องต้นให้กำหนดให้รู้ตามเป็นจริง
เมื่อรู้แล้ว...
ละ...
วาง...
ปล่อย...
สละ...
สลัดตัดขาด
ถ้าเรารู้ ไปเอาความรู้ ก็ชื่อว่า...
เราละไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านว่า เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว
ยาวะ เทวะ ญาณมัตตายะ ญาณคือความรู้
ก็สักแต่ว่ารู้...
ปติสสติ มัตตายะ สติ
ความอาศัยระลึกรู้ ก็สักแต่ว่า...อาศัยระลึกรู้
เมื่อเธอเป็นผู้กำหนดรู้เห็น ด้วยปัญญาตามความ
เป็นจริงแล้ว...
อนิสสิโต จะ วิหระติ เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย
นะจะ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ
ย่อม ไม่ยึดถืออะไรๆ แม้แต่นิดหนึ่ง น้อยหนึ่ง
มิได้มีอยู่ในโลก ดังนี้
คือ โอวาทคำสั่งสอนตักเตือน ของพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า
คำว่า...
ไม่ติดอยู่ด้วย คือความรู้ก็ไม่ติด
คำว่า ไม่ยึดถืออะไรๆในโลก
คือ...ความรู้ตามเป็นจริง รู้โลกนั่นเอง
คือ...โลกวิทู....รู้แจ้งโลก
เมื่อรู้แจ้งโลกแล้ว...
ก็ละ วาง สละ สลัด ตัดขาดกันเท่านั้น "
เป็นการเตือนให้โยมมารดา
ไปพิจารณาเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้
เมื่อโยมมารดาได้รับการตักเตือนอย่างนี้
ก็ไปภาวนาต่อไป ภายหลังจึงมาเล่าให้ข้าพเจ้า
ฟังว่า...
"บัดนี้ โยมรู้แล้ว
คุณลูกจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย"
เมื่อโยมมารดาบวชเป็นชีอายุได้ 75 - 76 ปีแล้ว
ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านคงจะพิจารณารู้การณ์
ข้างหน้า ท่านจึงแต่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษา กับมารดาท่านว่า...
" ท่านจวนเอามารดามาบวชแล้ว
ไม่ได้ ต้องไปอบรมสั่งสอนผู้เฒ่านะ"
แล้วท่าน ก็แนะนำวิธีให้ว่า...
"อบรมผู้เฒ่านั้น อย่าไปอบรมมากๆ
ลึกซึ่งอะไร ผู้เฒ่าจำไม่ได้หรอก เอาแต่สั้นๆ พอให้ทำได้แล้ว จึงค่อยแนะขั้นต่อไปเป็นลำดับ"
ท่านบอกอุบายให้แล้ว ก็เตือนข้าพเจ้า
ออกพรรษาแล้ว ให้รีบไปหาท่านเพราะประเดี๋ยว
จะไม่ทันท่าน...
ดังที่ข้าพเจ้าเคยเล่าไว้แล้ว เมื่อมาจำพรรษากับโยมมารดา ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติแนะนำท่านตามที่ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะวิธีมา
โดยเริ่มสอนให้ท่องเพียง พุทโธ ให้มีสติกำกับใจ อยู่...กับพุทโธ
อยู่ กับอารมณ์พุทโธ ให้พุทโธอยู่กับใจ
อย่า พลั้งเผลอ
อย่า ขาดจากกัน
บอกเพียงแค่นั้น โยมก็ไปปฏิบัติ และมาบอกผล
ของการภาวนาเป็นลำดับๆ และข้าพเจ้าก็แนะนำ
ต่อไปเป็นลำดับๆ เช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณากาย
กระทั่งวันหนึ่งโยมมารดา ก็เล่าว่า...
ท่านพิจารณากาย จนเห็นชัดและมันเปื่อย ผุพังลงไป
"แม่นแล้วมันไม่ใช่ของเราจริงๆ
เห็นหมดเลยทุกส่วน ยังเหลือแต่ลำไส้อยู่ส่วนเดียวในกาย ยังมืดตื้ออยู่ เห็นไม่ชัด ละลายยัง
ไม่ได้
" ข้าพเจ้าก็ว่า...
ให้ละลายมันให้ได้ ทำให้ได้
ภาวนาให้มันได้ซีโยม"
โยมมารดาก็ภาวนาต่อไป
สุดท้ายพอจะออกพรรษาท่านก็ออกอุทานว่า...
" โอย คุณลูกโยมรู้แล้ว
รู้จักทางแล้ว คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ
อย่าเป็นห่วงโยมเลย มันบ่มีผู้ตายหรอก
จิต มันก็ตายไม่เป็นหรอก
มันละ...ใสบริสุทธิ์ มีแต่ผู้รู้ ไม่มี...ผู้ตาย
ร่างกายนี้ ก็ไม่ใช่ของเรานะ เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ นะคุณลูก"
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน
ตอนโยมมารดาเจ็บหนักนี้ ท่านก็บอกว่า...
ท่านจะอยู่ไม่ได้นาน อีกสามวันก็จะไปละ
เพราะมารดาเกิดวันพฤหัสบดี จะตายวันนั้น
โยมมารดาบอกวันตายด้วย แล้วก็บอกเวลา
อีกว่า...เวลาตีหนึ่ง จะลาละ อย่ารีบไปไหน
พอถึงวันพฤหัสบดี
ลูกหลานทุกคน ก็มาเฝ้ากันหมดพร้อมหน้า
ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ คอยเฝ้าผู้เฒ่าอยู่ถาม
โยมมารดาว่า...
"มีห่วง มีอะไรสงสัยไหม"
ท่านก็ว่า มีอยู่อย่างหนึ่ง
ท่านสงสัยเรื่องกรรม คือท่านเอาหมากถั่ว (ถั่วฝักยาว) ที่ไร่ของหลาน
ไร่นั้นเขาทิ้งร้างแล้ว โยมเก็บมาประกอบเป็นอาหารถวายพระ กลัวว่าการกระทำนี้จะเป็นบาปเป็นกรรม เพราะไม่ได้บอกหลานเขา
ข้าพเจ้าก็เลยบอกโยมมารดาว่า ไม่เป็นไรหรอก
เป็นไร่ของหลานเราเอง และไร่นั้นเขาก็ทิ้งร้างแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านมีสงสัยเพียงแค่นั้น
พอถึงเวลาตีหนึ่ง ท่านก็ดับไปจริงๆ โดยหลับตา สิ้นลมไปอย่างสบาย สงบที่สุด...
เมื่อมีโอกาสที่จำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย
ในภายหลัง ข้าพเจ้าได้กราบเรียนเล่า เรื่องการภาวนาของโยมมารดาถวายให้หลวงปู่ขาวฟัง
ท่านพิจารณาอยู่ 3 วัน แล้วก็เล่าให้ข้าพจ้าฟัง
"โอ....โยมมารดาของท่านไปสูงเลย
ไปถึงสุทธาวาส พรหมโลก ได้สำเร็จอนาคามี
ทีเดียว "
หลวงปู่ขาวว่าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็สาธุ อนุโมทนาด้วยโยม ส่วนเรื่องผู้รู้ ตายไม่ตายนั้น...
ฟังแล้ว โปรดพิจารณากันเอาเอง"
-----------------------------------------------------------------------
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ