อ่านบทอื่นๆ ได้ที่นี่ค่ะ
http://ppantip.com/topic/32729269
พอดีมีการปรับเนื้อหาใหม่นิดหน่อย โดยเฉพาะชื่อตัวละคร เพื่อให้ดูเป็นทางการมากขึ้น สำหรับบทก่อนหน้านี้ผู้แต่งได้แก้ไขหมดแล้วและอัพลงแล้วเรียบร้อย (หวังว่าทุกๆ คน คงไม่งงกันน้าาาา)
แนะนำตัวละคร
เมวดี (น้ำเมย)
กรกฤต (คริส)
กันติยา (กิฟ)
ธนทัต (แท่ง)
ภากร (บอม)
เพชร (แพทตี้)
บทที่ 10 รัก (ได้ยิน) รึเปล่า
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกและยังเป็นวันที่เด็กชายกรกฤตจะได้เลื่อนชั้นมาเรียนระดับมัธยมต้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย เขาดีใจมากและรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ ที่ต้องมาเรียนในตัวเมืองเพราะบริษัทของพ่อกับแม่เขาพึ่งสร้างเสร็จไปไม่กี่เดือนก่อน ครอบครัวเขาจึงพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองอย่างถาวรและนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เขามาเรียนที่โรงเรียนนี้ โดยที่ไม่มีเพื่อนเลย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เด็กชายรู้สึกเหงาเพราะเขาตื่นเต้นกับการได้เรียนระดับมัธยมมากกว่า
เนื่องจากเป็นคนชอบขี่รถจักรยานมากและขี่ไปโรงเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้เขาจึงขออนุญาตผู้เป็นแม่ขี่จักรยานไปโรงเรียนเอง แม่ของเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะคิดว่าลูกโตพอแล้วแถมยังเคยขี่จักรยานไปดูโรงเรียนตั้งหลายรอบเพราะตื่นเต้นกับโรงเรียนใหม่ โชคดีที่บ้านไม่อยู่ไกลจากโรงเรียนมากเธอจึงไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากมาย
เด็กชายขี่จักรยานตามถนนมาเรื่อยๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน ภายในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อยด้วยความตื่นเต้นตามประสาเด็กๆ ที่หวังจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ แต่แล้วความคิดทั้งหมดก็มลายหายไป เมื่อเขาได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นหนึ่งครั้ง
ปรี๊ก!!
‘อ๊าก! ’
เหมือนสติหายไปชั่วขณะด้วยความตกใจ เขามองดูรถยนต์คันที่ขับชนตัวเองขี่หนีไปต่อหน้าต่อตา ครู่หนึ่งเมื่อเริ่มมีสติมากขึ้นก็คิดว่าตนเองจะต้องลุกออกจากที่นี่ก่อนเพราะตรงนี้ค่อนข้างอันตราย มีรถผ่านไปผ่านมาตลอด
‘โอ๊ย! ’ พอขยับก็รู้สึกว่าตนเองเจ็บขา เขามองดูปาดแผลที่ร่างกายตนเองพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า ความรู้สึกแรกตอนนี้คือเขานึกถึงแม่
แม่ครับช่วยผมด้วย...
‘น้องคะ เป็นไงบ้าง’
ใคร...
เด็กชายเงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามาถามด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ทั้งดีใจที่มีคนมาช่วย ทั้งอยากจะร้องไห้เพราะความกลัวและความตกใจกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา แต่เมื่อเธอนั่งลงข้างๆ ความรู้สึกกลัวทั้งหมดกลับหายไป ‘นางฟ้า’ ยิ่งมองเธอชัดๆ เธอยิ่งดูดี ผิวขาวๆ ตากลมๆ ที่สำคัญเธอใส่ชุดโรงเรียนของเขา...
‘ลุกไหวไหม...เลือดออกเยอะจัง ต้องไปหาหมอแล้วนะเนี่ย คุณลุงคะ! น้องเจ็บหนักเลย พาน้องไปหาหมอดีกว่า’
เด็กชายนั่งรถไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขารู้ว่าหัวใจของตนเองเต้นไม่เป็นปกติเลย ยิ่งได้นั่งใกล้ๆ แล้วมองหน้านางฟ้าคนนี้ชัดๆ ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
‘ชื่ออะไรเหรอ... ’
สะดุ้งแล้วกลืนน้ำลงคอแทบจะไม่ทัน ‘ชื่อคริส...ครับ’ แต่เสียงที่ออกมานั่นค่อนข้างเบา
‘คิด’
เธอพยักหน้าเข้าใจ เด็กชายอยากจะบอกว่าเธอออกเสียงผิดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด
‘พี่ชื่อน้ำเมย เรียกพี่เมยเฉยๆ ก็ได้’ เธอส่งยิ้มให้ นั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนวูบขึ้นมาทันที
นางฟ้าชื่อน้ำเมย...ชื่อน่ารักจัง ส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเขินๆ
เมื่อรถขับไปถึงโรงพยาบาลเมวดีก็จัดการเรื่องทุกๆ อย่างให้เสร็จสับแถมยังถามเด็กชายอีกว่าจะให้โทรบอกพ่อกับแม่ไหม แต่เขาก็ปฏิเสธเพราะถ้าแม่รู้เข้าจะต้องได้กลับบ้านไปพักอย่างแน่นอน ความรู้สึกของเขาตอนนี้คือ อยากไปเรียนวันแรก อยากเจอเพื่อน ส่วนเรื่องบาดแผลเขาก็ทนได้เพราะมันก็ไม่ได้ถึงกับหักแต่แค่ถนอกเท่านั้น
‘ผมอยากไปโรงเรียนครับ ถ้าแม่รู้แม่ต้องมารับกลับบ้านแน่ๆ ’
‘แต่เราเจ็บอยู่นะ จะเรียนไหวเหรอ’
‘ไหวครับ เดี๋ยวพอเลิกเรียนผมจะโทรบอกแม่มารับเองครับ’
เมวดีพยักหน้า ‘ก็ได้ งั้นเรารีบๆ กลับโรงเรียนดีกว่านะ เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทันเพื่อน’
‘ครับ’
‘มาพี่ช่วย’ เธอเขามาพยุง ‘ค่อยๆ เดินนะเดี๋ยวล้มอีกแย่เลย’
ความใกล้ชิดทำให้เด็กชายได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของพี่สาวคนนี้อย่างชัดเจน กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คุ้นจมูกเขามากๆ เธอใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกับแม่เขา!
‘ลุงคะ เดี๋ยวจอดร้านเครื่องเขียนข้างหน้าแป๊บนะ’
‘ครับ’
เธอก็รีบเดินเข้าไปในร้านก่อนที่จะวิ่งออกมาพร้อมถุงอะไรบ้างอย่าง ‘นี่พี่ซื้อให้’ เมวดียื่นกระเป๋าดินสอและชุดเรื่องเขียนให้คนเจ็บหลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถ
ตอนแรกเด็กชายก็ตกใจนิดหน่อยที่อยู่ดีๆ สิ่งที่เมวดีลงไปซื้อนั่นเธอยื่นมาให้เขา แต่สุดท้ายก็ยอมรับมันมา ‘ขอบคุณครับ...’ ยกมือไหว้
เมวดียิ้มกว้าง ‘ไม่เป็นไร ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน’
‘ครับ...’ ตอบเสียงแผ่วก่อนะคลี่ยิ้มใครคนใจดีตรงหน้า ผมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนครับนางฟ้า...
เมวดีเดินมาส่งเด็กชายถึงหน้าอาคารเรียนก็รีบลาและจากไปทั้งที่เขายังไม่ได้พูดขอบคุณอีกครั้งด้วยซ้ำ เธอวิ่งไปยังอาคารเรียนอีกหลังโดนมีสายตาของกรกกฤตคอยมองตาม เขาคลี่ยิ้มกับความน่ารักของพี่สาวที่แสนใจดีก่อนจะถอนหายใจเมื่อเธอวิ่งลับตาไป ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหมแต่รู้แค่เขาจะจดจำเหตุการณ์วันนี้ตลอดไป
‘ขอบคุณนะครับพี่เมย’ หมุนตัวเดินจะเข้าไปในอาคารเรียน
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกจนได้!
‘โอ๊ย! ’ กรกฤตทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเพราะแรงกระแทกจากข้างหลัง
‘เฮ้ย!! ’ เด็กชายที่เป็นต้นเหตุรีบเข้าไปช่วยพยุง ‘นายเป็นไงบ้าง เราขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ พอดีเรารีบไปเรียน’
‘เกิดอะไรขึ้นเหรอ’ เด็กชายอีกคนที่วิ่งตามหลังมาถาม
‘แท่งมาช่วยพยุงหน่อยเพื่อนไม่สบาย’
รีบเข้าไปพยุงช่วย ‘นายเป็นอะไร’ มองดูสภาพร่างกายของกรกฤตแล้วก็เข้าใจ ‘เกิดอุบัติเหตุมาเหรอ บอมเราว่าพาเพื่อนไปห้องพยาบาลดีกว่า’
‘ไปๆ ’ ภากรพยักหน้าเห็นด้วย
‘เราไปโรงพยาบาลมาแล้ว เราไม่เป็นไร’ พูดแทรกขึ้น ‘แค่ยังเจ็บๆ แผลเฉยๆ ’
‘นายเรียนห้องไหน เดี๋ยวพวกเราจะไปส่ง’ ภากรถาม
‘ห้องหนึ่งทับสิบ’
‘เฮ้ย! ’ ภากรอุทานออกมา ‘เรากับแท่งก็เรียนห้องนั้นเหมือนกัน’
‘เรารีบไปห้องกันก่อนดีกว่าบอม ถ้ายังยืนคุยกันอยู่อย่างนี้ มีหวังโดนเช็คขาดตั้งแต่คาบแรกแน่ๆ ’
‘นายชื่ออะไรเหรอ’ ธนทัตถามหันหลังไปถามคนที่นั่งเงียบอยู่คนเดียวตั้งแต่คาบแรกจนเที่ยง
‘เราชื่อคริส’
‘ชื่อคิด’ ภากรทวนอย่างมั่นใจ
‘ไม่ใช่คิด ชื่อคริส...’ ออกเสียงให้ชัดขึ้น
เด็กทั้งสองคนพยักหน้าเข้าใจ
‘เราชื่อบอมและนี่ชื่อแท่งเป็นเพื่อนเราเอง นายมาจากโรงเรียนไหนทำไมเหมือนเราไม่เคยเห็นหน้านายเลย’
‘เรามาจากโรงเรียนแถวๆ นอกเมืองนายไม่รู้จักหรอก เราย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่กับพ่อแม่ยังไม่ถึงสามเดือนเลย’
‘แสดงว่านายก็ไม่มีเพื่อนเลยล่ะสิ’ ธนทัตพูดบ้าง
กรกฤตพยักหน้า
‘งั้นนายมาเล่นกับพวกเราก็ได้ พวกเราก็ไม่มีเพื่อนเหมือนกัน’
กรกฤตยิ้มรับความรู้สึกที่เรียกว่ามิตรภาพ จากวันแรกของการมาเรียน ‘ขอบใจนะ’
‘ไม่เป็นไรๆ เราไปกินข้าวกันเถอะมันเที่ยงแล้ว นายลุกไหวไหม’
‘เดี๋ยวเราช่วยพยุงนะ บอมนายถือกระเป๋าให้เรากับคริสแล้วกัน’ หันไปบอกภากรที่ยืนมองอยู่เฉยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เด็กทั้งสามก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนแทบจะเรียกว่าเจอกรกฤตที่ไหนต้องเจอภากรกับธนทัตที่นั่น เจอภากรกับธนทัตที่ไหนก็ต้องเจอกรกฤตที่นั่นเหมือนกัน
ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นก็ยิ่งทำให้รู้อะไรๆ เกี่ยวกับกันและกันมากขึ้น หนึ่งในเรื่องที่ภากรกับธนทัตรู้เกี่ยวกับกรกฤตคือ...เขาแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อ น้ำเมย
‘มาแล้วๆ ’ ภากรหันมาบอกกรกฤตกับธนทัตที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ
ทุกวันพวกเขาทั้งสามจะต้องรีบมานั่งที่โรงอาหารก่อนชาวบ้านชาวเมือง เพราะต้องมารีบจองโต๊ะที่สามารถมองเห็นกลุ่มของเมวดีชัดที่สุด ด้วยความที่แก๊งนางฟ้าเป็นอะไรที่ดังมากของโรงเรียนจึงทำให้คนแอบชอบสาวๆ เต็มโรงเรียนไปหมด โดยเฉพาะ น้ำเมย! ที่จะมีแฟนคลับมากที่สุดในกลุ่ม
ภากรกับธนทัตรู้เรื่องนี้ดีแต่ก็ยังคอยช่วยเหลือกรกฤตทุกๆ อย่าง เพื่อให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับเมวดีมากที่สุด
‘คริสแกก็อย่ามัวแต่ก้มหน้าสิวะ’
แต่กรกฤตก็ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไม่สนใจเสียงของภากร ส่วนธนทัตก็อดหัวเราะกับท่าทางของเพื่อนทั้งสองไม่ได้ คนหนึ่งเขินจนไม่กล้าจะเงยหน้าจากจานข้าวส่วนอีกคนก็ชะเง้อมองผู้หญิงกลุ่มนั่นแทนเพื่อนแล้วคอยรายงานความเคลื่อนไหว ทุกๆ กิริยาท่าทาง ทั้งพี่เขาหัวเราะ พี่เขายิ้ม พี่เขากินน้ำ สรุปคือมานั่งที่โรงอาหารก่อนเพื่อนก็จริงจะก็ต้องลุกเป็นกลุ่มท้ายๆ ทุกที
‘ถ่ายไกลขนาดนี้เห็นด้วยเหรอคริส ทำไมไม่เข้าไปถ่ายใกล้ๆ ’
‘ใช่ๆ ฉันเห็นด้วยกับแท่ง’ พูดไปกินไอศกรีมไป
ช่วงนี้เป็นช่วงกีฬาสีของโรงเรียน ซึ่งเป็นช่วงที่กรกฤตจะมีโอกาสเจอเมวดีได้บ่อยที่สุด เมื่อรู้ว่าเมวดีเป็นเชียร์รีดเดอร์ประจำสีแถมยังเป็นนางรำในพิธีเปิดงานกีฬา กรกฤตดีใจมากจนต้องขอเงินพ่อซื้อกล้องตัวใหม่เพื่อมาถ่ายรูปเมวดีโดยเฉพาะ แต่กว่าจะได้กล้องมาเขาต้องเหนื่อยมากพอสมควรเพราะต้องสอบให้ได้คะแนนตามที่พ่อกำหนดเกณฑ์ไว้เท่านั้น
‘อยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องไปใกล้พี่เขาหรอก’ ชะโงกคอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ถามทีไรได้คำตอบเดิมทุกที...อยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว ดีบ้าดีบออะไร! ตูปวดคอแทนโว๊ย!
‘ชะโชกเข้าไป คอจะยาวเป็นยีราฟอยู่แล้ว’ ภากรแซวอย่างอดไม่ได้
ทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่ใกล้ๆ เมวดี เด็กชายจะไม่แสดงออกใดๆ แต่พออยู่ห่าง...ห่างจนเธอไม่สนใจและไม่คิดที่จะสังเกต เขาก็จะชะโงกหน้าแอบมองเธออย่างนี้เป็นประจำ
กรกฤตได้ฉายาว่า ‘ยีราฟคอยาว’ ตั้งแต่ช่วงม.2 คือช่วงที่เขามีกล้องใหม่ๆ ด้วยความที่เขาจะชอบไปทุกๆ ที่ ที่เมวดีไปแล้วแอบถ่ายรูปเธอเก็บไว้ ภากรก็เลยตั้งฉายานี่ให้ไปโดยปริยาย
ธนทัตกับภากรยอมรับว่าเมวดีมีแฟนคลับเยอะมาก เยอะจนเธอไม่ได้สังเกตหรือสนใจเพื่อนของพวกเขาเลย เธอคงไม่รู้หรอกว่ามีแฟนคลับคนหนึ่งที่แปลกกว่าคนอื่นๆ แฟนคลับที่ไม่เคยคิดจะเข้าไปหาเธอแม้แต่ครั้งเดียว ยอมมองเธออยู่ใกล้ๆ ยอมเป็นเหมือนอากาศที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ขอแค่สามารถที่จะมองเห็นเธอได้นานกว่าคนอื่นๆ
รักได้ยินรึเปล่า #บทที่ 10
แนะนำตัวละคร
เมวดี (น้ำเมย)
กรกฤต (คริส)
กันติยา (กิฟ)
ธนทัต (แท่ง)
ภากร (บอม)
เพชร (แพทตี้)
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกและยังเป็นวันที่เด็กชายกรกฤตจะได้เลื่อนชั้นมาเรียนระดับมัธยมต้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย เขาดีใจมากและรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ ที่ต้องมาเรียนในตัวเมืองเพราะบริษัทของพ่อกับแม่เขาพึ่งสร้างเสร็จไปไม่กี่เดือนก่อน ครอบครัวเขาจึงพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองอย่างถาวรและนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เขามาเรียนที่โรงเรียนนี้ โดยที่ไม่มีเพื่อนเลย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เด็กชายรู้สึกเหงาเพราะเขาตื่นเต้นกับการได้เรียนระดับมัธยมมากกว่า
เนื่องจากเป็นคนชอบขี่รถจักรยานมากและขี่ไปโรงเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้เขาจึงขออนุญาตผู้เป็นแม่ขี่จักรยานไปโรงเรียนเอง แม่ของเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะคิดว่าลูกโตพอแล้วแถมยังเคยขี่จักรยานไปดูโรงเรียนตั้งหลายรอบเพราะตื่นเต้นกับโรงเรียนใหม่ โชคดีที่บ้านไม่อยู่ไกลจากโรงเรียนมากเธอจึงไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากมาย
เด็กชายขี่จักรยานตามถนนมาเรื่อยๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน ภายในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อยด้วยความตื่นเต้นตามประสาเด็กๆ ที่หวังจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ แต่แล้วความคิดทั้งหมดก็มลายหายไป เมื่อเขาได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นหนึ่งครั้ง
ปรี๊ก!!
‘อ๊าก! ’
เหมือนสติหายไปชั่วขณะด้วยความตกใจ เขามองดูรถยนต์คันที่ขับชนตัวเองขี่หนีไปต่อหน้าต่อตา ครู่หนึ่งเมื่อเริ่มมีสติมากขึ้นก็คิดว่าตนเองจะต้องลุกออกจากที่นี่ก่อนเพราะตรงนี้ค่อนข้างอันตราย มีรถผ่านไปผ่านมาตลอด
‘โอ๊ย! ’ พอขยับก็รู้สึกว่าตนเองเจ็บขา เขามองดูปาดแผลที่ร่างกายตนเองพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า ความรู้สึกแรกตอนนี้คือเขานึกถึงแม่
แม่ครับช่วยผมด้วย...
‘น้องคะ เป็นไงบ้าง’
ใคร...
เด็กชายเงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามาถามด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ทั้งดีใจที่มีคนมาช่วย ทั้งอยากจะร้องไห้เพราะความกลัวและความตกใจกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา แต่เมื่อเธอนั่งลงข้างๆ ความรู้สึกกลัวทั้งหมดกลับหายไป ‘นางฟ้า’ ยิ่งมองเธอชัดๆ เธอยิ่งดูดี ผิวขาวๆ ตากลมๆ ที่สำคัญเธอใส่ชุดโรงเรียนของเขา...
‘ลุกไหวไหม...เลือดออกเยอะจัง ต้องไปหาหมอแล้วนะเนี่ย คุณลุงคะ! น้องเจ็บหนักเลย พาน้องไปหาหมอดีกว่า’
เด็กชายนั่งรถไปอย่างเงียบเชียบไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขารู้ว่าหัวใจของตนเองเต้นไม่เป็นปกติเลย ยิ่งได้นั่งใกล้ๆ แล้วมองหน้านางฟ้าคนนี้ชัดๆ ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
‘ชื่ออะไรเหรอ... ’
สะดุ้งแล้วกลืนน้ำลงคอแทบจะไม่ทัน ‘ชื่อคริส...ครับ’ แต่เสียงที่ออกมานั่นค่อนข้างเบา
‘คิด’
เธอพยักหน้าเข้าใจ เด็กชายอยากจะบอกว่าเธอออกเสียงผิดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด
‘พี่ชื่อน้ำเมย เรียกพี่เมยเฉยๆ ก็ได้’ เธอส่งยิ้มให้ นั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนวูบขึ้นมาทันที
นางฟ้าชื่อน้ำเมย...ชื่อน่ารักจัง ส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเขินๆ
เมื่อรถขับไปถึงโรงพยาบาลเมวดีก็จัดการเรื่องทุกๆ อย่างให้เสร็จสับแถมยังถามเด็กชายอีกว่าจะให้โทรบอกพ่อกับแม่ไหม แต่เขาก็ปฏิเสธเพราะถ้าแม่รู้เข้าจะต้องได้กลับบ้านไปพักอย่างแน่นอน ความรู้สึกของเขาตอนนี้คือ อยากไปเรียนวันแรก อยากเจอเพื่อน ส่วนเรื่องบาดแผลเขาก็ทนได้เพราะมันก็ไม่ได้ถึงกับหักแต่แค่ถนอกเท่านั้น
‘ผมอยากไปโรงเรียนครับ ถ้าแม่รู้แม่ต้องมารับกลับบ้านแน่ๆ ’
‘แต่เราเจ็บอยู่นะ จะเรียนไหวเหรอ’
‘ไหวครับ เดี๋ยวพอเลิกเรียนผมจะโทรบอกแม่มารับเองครับ’
เมวดีพยักหน้า ‘ก็ได้ งั้นเรารีบๆ กลับโรงเรียนดีกว่านะ เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทันเพื่อน’
‘ครับ’
‘มาพี่ช่วย’ เธอเขามาพยุง ‘ค่อยๆ เดินนะเดี๋ยวล้มอีกแย่เลย’
ความใกล้ชิดทำให้เด็กชายได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของพี่สาวคนนี้อย่างชัดเจน กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คุ้นจมูกเขามากๆ เธอใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกับแม่เขา!
‘ลุงคะ เดี๋ยวจอดร้านเครื่องเขียนข้างหน้าแป๊บนะ’
‘ครับ’
เธอก็รีบเดินเข้าไปในร้านก่อนที่จะวิ่งออกมาพร้อมถุงอะไรบ้างอย่าง ‘นี่พี่ซื้อให้’ เมวดียื่นกระเป๋าดินสอและชุดเรื่องเขียนให้คนเจ็บหลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถ
ตอนแรกเด็กชายก็ตกใจนิดหน่อยที่อยู่ดีๆ สิ่งที่เมวดีลงไปซื้อนั่นเธอยื่นมาให้เขา แต่สุดท้ายก็ยอมรับมันมา ‘ขอบคุณครับ...’ ยกมือไหว้
เมวดียิ้มกว้าง ‘ไม่เป็นไร ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน’
‘ครับ...’ ตอบเสียงแผ่วก่อนะคลี่ยิ้มใครคนใจดีตรงหน้า ผมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนครับนางฟ้า...
เมวดีเดินมาส่งเด็กชายถึงหน้าอาคารเรียนก็รีบลาและจากไปทั้งที่เขายังไม่ได้พูดขอบคุณอีกครั้งด้วยซ้ำ เธอวิ่งไปยังอาคารเรียนอีกหลังโดนมีสายตาของกรกกฤตคอยมองตาม เขาคลี่ยิ้มกับความน่ารักของพี่สาวที่แสนใจดีก่อนจะถอนหายใจเมื่อเธอวิ่งลับตาไป ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหมแต่รู้แค่เขาจะจดจำเหตุการณ์วันนี้ตลอดไป
‘ขอบคุณนะครับพี่เมย’ หมุนตัวเดินจะเข้าไปในอาคารเรียน
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกจนได้!
‘โอ๊ย! ’ กรกฤตทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเพราะแรงกระแทกจากข้างหลัง
‘เฮ้ย!! ’ เด็กชายที่เป็นต้นเหตุรีบเข้าไปช่วยพยุง ‘นายเป็นไงบ้าง เราขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ พอดีเรารีบไปเรียน’
‘เกิดอะไรขึ้นเหรอ’ เด็กชายอีกคนที่วิ่งตามหลังมาถาม
‘แท่งมาช่วยพยุงหน่อยเพื่อนไม่สบาย’
รีบเข้าไปพยุงช่วย ‘นายเป็นอะไร’ มองดูสภาพร่างกายของกรกฤตแล้วก็เข้าใจ ‘เกิดอุบัติเหตุมาเหรอ บอมเราว่าพาเพื่อนไปห้องพยาบาลดีกว่า’
‘ไปๆ ’ ภากรพยักหน้าเห็นด้วย
‘เราไปโรงพยาบาลมาแล้ว เราไม่เป็นไร’ พูดแทรกขึ้น ‘แค่ยังเจ็บๆ แผลเฉยๆ ’
‘นายเรียนห้องไหน เดี๋ยวพวกเราจะไปส่ง’ ภากรถาม
‘ห้องหนึ่งทับสิบ’
‘เฮ้ย! ’ ภากรอุทานออกมา ‘เรากับแท่งก็เรียนห้องนั้นเหมือนกัน’
‘เรารีบไปห้องกันก่อนดีกว่าบอม ถ้ายังยืนคุยกันอยู่อย่างนี้ มีหวังโดนเช็คขาดตั้งแต่คาบแรกแน่ๆ ’
‘นายชื่ออะไรเหรอ’ ธนทัตถามหันหลังไปถามคนที่นั่งเงียบอยู่คนเดียวตั้งแต่คาบแรกจนเที่ยง
‘เราชื่อคริส’
‘ชื่อคิด’ ภากรทวนอย่างมั่นใจ
‘ไม่ใช่คิด ชื่อคริส...’ ออกเสียงให้ชัดขึ้น
เด็กทั้งสองคนพยักหน้าเข้าใจ
‘เราชื่อบอมและนี่ชื่อแท่งเป็นเพื่อนเราเอง นายมาจากโรงเรียนไหนทำไมเหมือนเราไม่เคยเห็นหน้านายเลย’
‘เรามาจากโรงเรียนแถวๆ นอกเมืองนายไม่รู้จักหรอก เราย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่กับพ่อแม่ยังไม่ถึงสามเดือนเลย’
‘แสดงว่านายก็ไม่มีเพื่อนเลยล่ะสิ’ ธนทัตพูดบ้าง
กรกฤตพยักหน้า
‘งั้นนายมาเล่นกับพวกเราก็ได้ พวกเราก็ไม่มีเพื่อนเหมือนกัน’
กรกฤตยิ้มรับความรู้สึกที่เรียกว่ามิตรภาพ จากวันแรกของการมาเรียน ‘ขอบใจนะ’
‘ไม่เป็นไรๆ เราไปกินข้าวกันเถอะมันเที่ยงแล้ว นายลุกไหวไหม’
‘เดี๋ยวเราช่วยพยุงนะ บอมนายถือกระเป๋าให้เรากับคริสแล้วกัน’ หันไปบอกภากรที่ยืนมองอยู่เฉยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เด็กทั้งสามก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนแทบจะเรียกว่าเจอกรกฤตที่ไหนต้องเจอภากรกับธนทัตที่นั่น เจอภากรกับธนทัตที่ไหนก็ต้องเจอกรกฤตที่นั่นเหมือนกัน
ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นก็ยิ่งทำให้รู้อะไรๆ เกี่ยวกับกันและกันมากขึ้น หนึ่งในเรื่องที่ภากรกับธนทัตรู้เกี่ยวกับกรกฤตคือ...เขาแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อ น้ำเมย
‘มาแล้วๆ ’ ภากรหันมาบอกกรกฤตกับธนทัตที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ
ทุกวันพวกเขาทั้งสามจะต้องรีบมานั่งที่โรงอาหารก่อนชาวบ้านชาวเมือง เพราะต้องมารีบจองโต๊ะที่สามารถมองเห็นกลุ่มของเมวดีชัดที่สุด ด้วยความที่แก๊งนางฟ้าเป็นอะไรที่ดังมากของโรงเรียนจึงทำให้คนแอบชอบสาวๆ เต็มโรงเรียนไปหมด โดยเฉพาะ น้ำเมย! ที่จะมีแฟนคลับมากที่สุดในกลุ่ม
ภากรกับธนทัตรู้เรื่องนี้ดีแต่ก็ยังคอยช่วยเหลือกรกฤตทุกๆ อย่าง เพื่อให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับเมวดีมากที่สุด
‘คริสแกก็อย่ามัวแต่ก้มหน้าสิวะ’
แต่กรกฤตก็ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไม่สนใจเสียงของภากร ส่วนธนทัตก็อดหัวเราะกับท่าทางของเพื่อนทั้งสองไม่ได้ คนหนึ่งเขินจนไม่กล้าจะเงยหน้าจากจานข้าวส่วนอีกคนก็ชะเง้อมองผู้หญิงกลุ่มนั่นแทนเพื่อนแล้วคอยรายงานความเคลื่อนไหว ทุกๆ กิริยาท่าทาง ทั้งพี่เขาหัวเราะ พี่เขายิ้ม พี่เขากินน้ำ สรุปคือมานั่งที่โรงอาหารก่อนเพื่อนก็จริงจะก็ต้องลุกเป็นกลุ่มท้ายๆ ทุกที
‘ถ่ายไกลขนาดนี้เห็นด้วยเหรอคริส ทำไมไม่เข้าไปถ่ายใกล้ๆ ’
‘ใช่ๆ ฉันเห็นด้วยกับแท่ง’ พูดไปกินไอศกรีมไป
ช่วงนี้เป็นช่วงกีฬาสีของโรงเรียน ซึ่งเป็นช่วงที่กรกฤตจะมีโอกาสเจอเมวดีได้บ่อยที่สุด เมื่อรู้ว่าเมวดีเป็นเชียร์รีดเดอร์ประจำสีแถมยังเป็นนางรำในพิธีเปิดงานกีฬา กรกฤตดีใจมากจนต้องขอเงินพ่อซื้อกล้องตัวใหม่เพื่อมาถ่ายรูปเมวดีโดยเฉพาะ แต่กว่าจะได้กล้องมาเขาต้องเหนื่อยมากพอสมควรเพราะต้องสอบให้ได้คะแนนตามที่พ่อกำหนดเกณฑ์ไว้เท่านั้น
‘อยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องไปใกล้พี่เขาหรอก’ ชะโงกคอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ถามทีไรได้คำตอบเดิมทุกที...อยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว ดีบ้าดีบออะไร! ตูปวดคอแทนโว๊ย!
‘ชะโชกเข้าไป คอจะยาวเป็นยีราฟอยู่แล้ว’ ภากรแซวอย่างอดไม่ได้
ทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่ใกล้ๆ เมวดี เด็กชายจะไม่แสดงออกใดๆ แต่พออยู่ห่าง...ห่างจนเธอไม่สนใจและไม่คิดที่จะสังเกต เขาก็จะชะโงกหน้าแอบมองเธออย่างนี้เป็นประจำ
กรกฤตได้ฉายาว่า ‘ยีราฟคอยาว’ ตั้งแต่ช่วงม.2 คือช่วงที่เขามีกล้องใหม่ๆ ด้วยความที่เขาจะชอบไปทุกๆ ที่ ที่เมวดีไปแล้วแอบถ่ายรูปเธอเก็บไว้ ภากรก็เลยตั้งฉายานี่ให้ไปโดยปริยาย
ธนทัตกับภากรยอมรับว่าเมวดีมีแฟนคลับเยอะมาก เยอะจนเธอไม่ได้สังเกตหรือสนใจเพื่อนของพวกเขาเลย เธอคงไม่รู้หรอกว่ามีแฟนคลับคนหนึ่งที่แปลกกว่าคนอื่นๆ แฟนคลับที่ไม่เคยคิดจะเข้าไปหาเธอแม้แต่ครั้งเดียว ยอมมองเธออยู่ใกล้ๆ ยอมเป็นเหมือนอากาศที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ขอแค่สามารถที่จะมองเห็นเธอได้นานกว่าคนอื่นๆ