ความเดิมตอนที่แล้ว (เนื่องจากใกล้อวสาน Happy Ending แล้ว ตั้งแต่ครั้งนี้ไป จะไม่มีความเดิมตอนที่แล้วนะครับ เพราะกินเนื้อที่ตัวอักษรมาก ทำให้เล่าเรื่องได้น้อยลง และเสียเวลาเอากระทู้เดิมมาแม่ะ ก็หาอ่านจากกระทู้ตอนที่ 7 ลงไป ได้แม่ะกระทู้เดิมทุกตอนไว้ให้ครับ)
มาเข้ากระทู้ของวันนี้กันครับ
ตอนที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว (1/2)
กำหนดการท่องเที่ยวในวันศุกร์ที่ 9 มกราคม 2558 ภาคเช้าจะขับไปที่ด่านมิตรภาพฯ เพื่อดูลาดเลาว่าเป็นอย่างไร ถ้าข้ามไปลาวได้ ก็จะข้ามไป ถ้าไม่ได้ ก็แค่ถ่ายรูปแล้วเดินทางกลับแล้วไปเดินโต๋เต๋ ในตลาดหรือหาที่เที่ยวในละแวกนี้ใหม่ อาหารเที่ยง ลอยแพห้วยกระทิง ภาคบ่าย เดินทางสู่เชียงคาน เที่ยยแก่งคุดคู้ ภูทอก (ดูพระอาทิตย์ตก) ถนนคนเดิน อาหารค่ำ ร้านเฮือนฝ้ายคำ
ก่อนอื่น (อีกและ) ขออภัยทุกท่าน เรื่องอะไรอีกล่ะ ก็จริง ๆ แล้ว ชื่อตอนน่าจะยาวกว่านี้ นั่นคือ “ตอนที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว ห้วยกระทิง เชียงคาน” เพราะว่าการเดินทางวันนี้ มี 3 สถานที่สำคัญที่ควรจดจำและบันทึกไว้ แต่ก็นั่นแหละ อักษรในการตั้งชื่อเรื่องถูกกำหนดให้มีได้ไม่เกิน 120 อักษร ก็เลยตั้งยาวกว่านี้ไม่ได้ มาดูรายละเอียดในเนื้อเรื่องก็แล้วกันนะครับ ขอบคุณครับที่เข้าใจ
เช้านี้ ก็ สบาย..สบาย ถูกใจ ก็คบกันไป (แบบเบิร์ด ๆ) ถึงเวลาก็ไปจ่อมอยู่โรงครัว เอ้ย ห้องอาหารของโรงแรม (เรียกให้สวยหรู มีคลาสหน่อย ไม่ใช่โรงครัวโรงเจนะ) สั่งอาหารเช้าได้หนึ่งอย่างระหว่างข้าวต้มเครื่อง กับไข่กระทะ (รวมอยู่ในค่าที่พัก) ก็เอาทั้งสองอย่างก็แล้วกัน ที่เหลือคิดตังเพิ่มไปอีก 140 บาท เชิญชมภาพครับ :
อิ่มจากอาหารมื้อเช้าแล้ว ทางโรงแรมก็มีของชำร่วยมอบให้เป็นที่ระลึก เป็นกล้วยน้ำว้าหวีเขื่องให้เอากลับไปกราบไหว้ เอ้ย ไม่ใช่ เอาไปทานระหว่างทาง (จริง ๆ ขอเขาไว้ คือ ชมว่าอร่อย ทางเขาก็เลยยกกล้วยให้หวีนึง เพราะปากหวานนะเนี่ย) Check out ออกจาก Le Bar Tarry ก็เข้าสู่โมดผจญภัย เพราะว่า ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับด่านแห่งนี้น้อยมาก สืบค้นหาแทบไม่มีใครมาเที่ยว หรือเคยมาแต่นานมาแล้ว ก็ขับไปตามทาง ผ่านวัดพระธาตุสัจจะกำลังจะเลี้ยวขวา ก็ยกมือไหว้ขอพรว่า วันนี้ขอให้ประสบความสำเร็จในการได้ไหว้พระ 2 แผ่นดิน ไทย-ลาว ตามที่ได้ตั้งใจไว้ จากนั้นก็ตรงไปหน้าด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว ซึ่งห่างไปประมาณ 7 กิโลเมตร
พอถึงหน้าด่าน จอดรถ เดินไปทางขวามือของหน้าด่าน จะมีสำนักงานทำใบผ่านแดนอยู่ เจ้าหน้าที่ก็ขอบัตรประจำตัวประชาชนไปทำเรื่อง ค่าทำเรื่อง 40 บาทต่อคน รอไม่นานแค่ควายออกลูกตัวที่สอง ก็ได้เอกสารใบผ่านด่าน ระหว่างนั้น ก็เดินดูโนติส ต่าง ๆ ที่ติดตามหน้าต่างประตู โอ้ ท่าทางจะเข้มงวดเอาการ ก็ขอเตือนให้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดนะครับ เชิญชมภาพครับ :
ก่อนไปก็แวะคำนับสุขาหน่อยนึง (นึกสภาพเวลาผู้ชายยืนปัสสาวะ แล้วก้มมองดูน้องคู่กายไม่ให้ทำเลอะเทอะออกนอกโถ) พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นกระดาษเล็ก ๆ แปะอยู่บนฝาผนัง ภาษาไทยอ่านได้ แต่ลาวอ่านไม่ออก ก็เลยถ่ายมาให้นักภาษาศาสตร์ลาวในนี้ ได้แปลกัน เชิญชมภาพครับ :
หลังจากได้เอกสารและทำธุระทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาทางหน้าด่าน เช้านี้อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุม ก็เลยเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ นึกในใจว่ากำลังจะได้ไปเยียบดินแดนลาวที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางครั้งนี้ เวลานั้น ก็มีรถ บขส. คันใหญ่มาจอดหน้าด่าน ผู้โดยสารทั้งหมดได้ลงจากรถและมาเข้าคิวเพื่อยื่นพาสปอร์ตผ่านด่าน อ้าว! พวกเราช้าไปแค่เสี้ยววินาทีผ่าแปด แทนที่จะเป็นคนแรกในคิว กลับกลายเป็นคนสุดท้ายของคิวเสียฉิบ เวรกรรม! ก็ให้ข้อมูลนิดนึงครับ ถ้าจะเข้าไปเที่ยวในลาวแถว ๆ ตลาดหน้าด่านภายในวันเดียว ก็ทำเอกสารผ่านด่านโดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวเท่านั้น แต่ถ้าจะเข้าไปเที่ยวลึกกว่านี้ เช่น ไปแขวงไซยะบุรี หรือหลวงพระบางต้องใช้พาสปอร์ต เพราะว่า จากด่านไปหลวงพระบาง ระยะทาง 363 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 6-8 ชั่วโมง ก็คือต้องไปค้างคืน
เสร็จจากยื่นเอกสาร ก็เดินผ่านช่องตรวจเอกสารไปด้านหลัง มีรถสกายแล็ปจอดรออยู่ ก็เสียค่าข้ามแม่น้ำเหืองไปถึงฝั่งลาวคนละ 20 บาท พอข้ามเขตแดนกลางแม่น้ำเหือง รถก็ต้องวิ่งเลนขวา เข้าไปในเขตด่านของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เชิญชมภาพครับ :
เอกสารที่ได้รับ:

ค่ารถคนละ 20 บาท:

กำลังข้ามแม่น้ำเหือง:
ถึงหน้าด่าน ก็ลงจากรถไปยื่นเอกสารและยื่นหน้าแต่ละคนให้เข้าเห็น เขาไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ เจ้าหน้าที่ลาวก็จะถามว่าไปไหน ก็บอกว่ามาเที่ยวตลาดแถวหน้าด่านนี้เอง ก็เสียค่าธรรมเนียมไปคนละ 40 บาท เสร็จจากเอกสารก็ขึ้นรถ เขาพาไปที่คิวรถตุ๊ก ๆ ลาว ที่จอดอยู่ลึกเข้าไปข้างในไม่มากนัก ลงจากรถสกายแล็ปก็เข้าไปแจ้งคนคุมคิวรถว่าเราจะมาแวะเที่ยวตลาดแถวนี้ และอยากไปไหว้พระด้วย เขาก็บอกว่า แล้วเราได้แจ้งกับทางหน้าด่านหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่ได้แจ้ง เพราะคิดว่า ในตลาดก็น่าจะมีวัดอยู่ (เหมือนเมืองไทย เห็นพระชอบมายืนบิณฑบาตอยู่ในตลาด) เขาบอกว่า แถวนี้ไม่มีวัด ต้องเข้าไปอีก 8 กิโลเมตร ว่าแล้วก็ตกลงกับคนขับ ได้ราคาเหมา 500 บาท คนขับก็เอาเอกสารพวกเราแล้วขับรถกลับไปทางหน้าด่าน เห็นบอกว่าจะไปขออนุญาตเข้าไปข้างในเมืองไปไหว้พระ ใช้เวลาไม่นานนักแค่ควายท้องแก่ออกลูกตัวที่สอง คนขับคนเดิมก็กลับมา เรียกให้ขึ้นรถ แล้วขับพาพวกเราวิ่งปุเลง ๆ ไปตามถนน 2 เลน ตรงเข้าสู่ตัวเมือง ระยะทางไม่ไกล แค่ควายท้องแก่ออกลูกตัวที่สาม สักพักก็มายืนอยู่ที่ตลาดลาว เชิญชมภาพครับ :
คิวรถฝั่งลาว:
สภาพการเดินทาง ถนนดี (กว่าพม่า) ครับ:
สินค้าส่วนใหญ่ไปจากไทยและจีนครับ:
ออกจากตลาด ก็วิ่งไปอีกไม่ไกลก็ถึงวัดวัดนึง ไม่แน่ใจว่าชื่อวัดอะไร เชิญชมภาพก็แล้วกัน :
พระพุทธรูปของลาวดูเรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาด สวยงามไปอีกแบบครับ:
มีเจดีย์เก่าแก่อายุ 700 ปี อยู่ทางด้านซ้ายของโบสถ์ด้วย:
หลังจากได้สักการะพระประธานในวัดและทำบุญด้วยความเลื่อมใสแล้ว คนขับก็ขับพาไปที่อีกแห่งนึง ก็ไม่ไกลมาก ชื่อบ้านต้นไม้ใหญ่ เป็นบ้านของผู้มีอันจะทานของที่นี่ คิดดูว่าเสาแต่ละต้น สองคนโอบไม่มิด เขาบอกเป็นต้นประดู่ เชิญชมภาพครับ :
ออกจากบ้านต้นไม้ใหญ่ ก็ขอให้คนขับพาไปทานข้าว (จริง ๆ กำหนดการจะไปทานข้าวเที่ยงที่ห้วยกระทิง แต่ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ มาถึงลาวแล้ว และเวลาก็ปาเข้าไป 11 โมงเศษ ก็ถือว่า มาเปิปพิสดารอาหารลาว เดี๋ยวจะมาหาว่าไม่ถึงลาว) ก็บอกคนขับไปว่า ทานอะไรก็ได้ที่เป็นอาหารที่คนลาวทานกันน่ะ คนขับก็เลยขับกลับไปหน้าด่าน เกือบถึงคิวรถ มีร้านอาหารลาวสร้างเป็นกระต๊อปอยู่ ก็พากันเข้าไป สั่งอาหารมา 3 อย่าง คือ ใส้หมูต้ม ต้มส้มไก่ ไข่เจียว พร้อมข้าวเหนียว กระติ๊บใหญ่ เชิญชมภาพครับ :
รูปหน้าร้านอาหาร:

อาหารที่สั่ง:

มาลาวต้องดื่ม "เขยลาว" ถึงจะมาถึงลาว:

ทั้งหมด 159,000 กีบ เท่ากับ 636 บาท:
อิ่มแล้ว คนขับก็ขับไปส่งที่ร้านค้าปลอดภาษี แวะซื้อไวน์ไปฝากผู้ใหญ่ (อีกและ ก็ผู้ใหญ่เยอะมากอ่ะ ตัวเองก็เป็นผู้ใหญ่คนนึงเหมือนกัลลล) :
นี่แหละ ร้านค้าปลอดภาษี:
ซื้อของเสร็จ ก็ขับไปส่งหน้าด่าน ลงจากรถก็เดินผ่านด่านตรวจของไทย เอาเอกสารที่เหลืออยู่ยื่นให้ เสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถ ขับออกจากหน้าด่านอย่างมีความสุขที่ได้บรรลุเป้าหมายทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้ในเช้าวันนี้ ทิ้งท้ายภาค 1 ด้วยภาพนี้ครับ แล้วก็โบกมือ บ๊าย บาย โอกาสหน้าจะมาเยี่ยมด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว อีกครั้ง :
(อ่านต่อ ภาค 2 นะครับ)
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 8. เดินทางวันที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว (1/2)
มาเข้ากระทู้ของวันนี้กันครับ
ตอนที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว (1/2)
กำหนดการท่องเที่ยวในวันศุกร์ที่ 9 มกราคม 2558 ภาคเช้าจะขับไปที่ด่านมิตรภาพฯ เพื่อดูลาดเลาว่าเป็นอย่างไร ถ้าข้ามไปลาวได้ ก็จะข้ามไป ถ้าไม่ได้ ก็แค่ถ่ายรูปแล้วเดินทางกลับแล้วไปเดินโต๋เต๋ ในตลาดหรือหาที่เที่ยวในละแวกนี้ใหม่ อาหารเที่ยง ลอยแพห้วยกระทิง ภาคบ่าย เดินทางสู่เชียงคาน เที่ยยแก่งคุดคู้ ภูทอก (ดูพระอาทิตย์ตก) ถนนคนเดิน อาหารค่ำ ร้านเฮือนฝ้ายคำ
ก่อนอื่น (อีกและ) ขออภัยทุกท่าน เรื่องอะไรอีกล่ะ ก็จริง ๆ แล้ว ชื่อตอนน่าจะยาวกว่านี้ นั่นคือ “ตอนที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว ห้วยกระทิง เชียงคาน” เพราะว่าการเดินทางวันนี้ มี 3 สถานที่สำคัญที่ควรจดจำและบันทึกไว้ แต่ก็นั่นแหละ อักษรในการตั้งชื่อเรื่องถูกกำหนดให้มีได้ไม่เกิน 120 อักษร ก็เลยตั้งยาวกว่านี้ไม่ได้ มาดูรายละเอียดในเนื้อเรื่องก็แล้วกันนะครับ ขอบคุณครับที่เข้าใจ
เช้านี้ ก็ สบาย..สบาย ถูกใจ ก็คบกันไป (แบบเบิร์ด ๆ) ถึงเวลาก็ไปจ่อมอยู่โรงครัว เอ้ย ห้องอาหารของโรงแรม (เรียกให้สวยหรู มีคลาสหน่อย ไม่ใช่โรงครัวโรงเจนะ) สั่งอาหารเช้าได้หนึ่งอย่างระหว่างข้าวต้มเครื่อง กับไข่กระทะ (รวมอยู่ในค่าที่พัก) ก็เอาทั้งสองอย่างก็แล้วกัน ที่เหลือคิดตังเพิ่มไปอีก 140 บาท เชิญชมภาพครับ :
อิ่มจากอาหารมื้อเช้าแล้ว ทางโรงแรมก็มีของชำร่วยมอบให้เป็นที่ระลึก เป็นกล้วยน้ำว้าหวีเขื่องให้เอากลับไปกราบไหว้ เอ้ย ไม่ใช่ เอาไปทานระหว่างทาง (จริง ๆ ขอเขาไว้ คือ ชมว่าอร่อย ทางเขาก็เลยยกกล้วยให้หวีนึง เพราะปากหวานนะเนี่ย) Check out ออกจาก Le Bar Tarry ก็เข้าสู่โมดผจญภัย เพราะว่า ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับด่านแห่งนี้น้อยมาก สืบค้นหาแทบไม่มีใครมาเที่ยว หรือเคยมาแต่นานมาแล้ว ก็ขับไปตามทาง ผ่านวัดพระธาตุสัจจะกำลังจะเลี้ยวขวา ก็ยกมือไหว้ขอพรว่า วันนี้ขอให้ประสบความสำเร็จในการได้ไหว้พระ 2 แผ่นดิน ไทย-ลาว ตามที่ได้ตั้งใจไว้ จากนั้นก็ตรงไปหน้าด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว ซึ่งห่างไปประมาณ 7 กิโลเมตร
พอถึงหน้าด่าน จอดรถ เดินไปทางขวามือของหน้าด่าน จะมีสำนักงานทำใบผ่านแดนอยู่ เจ้าหน้าที่ก็ขอบัตรประจำตัวประชาชนไปทำเรื่อง ค่าทำเรื่อง 40 บาทต่อคน รอไม่นานแค่ควายออกลูกตัวที่สอง ก็ได้เอกสารใบผ่านด่าน ระหว่างนั้น ก็เดินดูโนติส ต่าง ๆ ที่ติดตามหน้าต่างประตู โอ้ ท่าทางจะเข้มงวดเอาการ ก็ขอเตือนให้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดนะครับ เชิญชมภาพครับ :
ก่อนไปก็แวะคำนับสุขาหน่อยนึง (นึกสภาพเวลาผู้ชายยืนปัสสาวะ แล้วก้มมองดูน้องคู่กายไม่ให้ทำเลอะเทอะออกนอกโถ) พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นกระดาษเล็ก ๆ แปะอยู่บนฝาผนัง ภาษาไทยอ่านได้ แต่ลาวอ่านไม่ออก ก็เลยถ่ายมาให้นักภาษาศาสตร์ลาวในนี้ ได้แปลกัน เชิญชมภาพครับ :
หลังจากได้เอกสารและทำธุระทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาทางหน้าด่าน เช้านี้อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุม ก็เลยเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ นึกในใจว่ากำลังจะได้ไปเยียบดินแดนลาวที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางครั้งนี้ เวลานั้น ก็มีรถ บขส. คันใหญ่มาจอดหน้าด่าน ผู้โดยสารทั้งหมดได้ลงจากรถและมาเข้าคิวเพื่อยื่นพาสปอร์ตผ่านด่าน อ้าว! พวกเราช้าไปแค่เสี้ยววินาทีผ่าแปด แทนที่จะเป็นคนแรกในคิว กลับกลายเป็นคนสุดท้ายของคิวเสียฉิบ เวรกรรม! ก็ให้ข้อมูลนิดนึงครับ ถ้าจะเข้าไปเที่ยวในลาวแถว ๆ ตลาดหน้าด่านภายในวันเดียว ก็ทำเอกสารผ่านด่านโดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวเท่านั้น แต่ถ้าจะเข้าไปเที่ยวลึกกว่านี้ เช่น ไปแขวงไซยะบุรี หรือหลวงพระบางต้องใช้พาสปอร์ต เพราะว่า จากด่านไปหลวงพระบาง ระยะทาง 363 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 6-8 ชั่วโมง ก็คือต้องไปค้างคืน
เสร็จจากยื่นเอกสาร ก็เดินผ่านช่องตรวจเอกสารไปด้านหลัง มีรถสกายแล็ปจอดรออยู่ ก็เสียค่าข้ามแม่น้ำเหืองไปถึงฝั่งลาวคนละ 20 บาท พอข้ามเขตแดนกลางแม่น้ำเหือง รถก็ต้องวิ่งเลนขวา เข้าไปในเขตด่านของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เชิญชมภาพครับ :
เอกสารที่ได้รับ:
ค่ารถคนละ 20 บาท:
กำลังข้ามแม่น้ำเหือง:
ถึงหน้าด่าน ก็ลงจากรถไปยื่นเอกสารและยื่นหน้าแต่ละคนให้เข้าเห็น เขาไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ เจ้าหน้าที่ลาวก็จะถามว่าไปไหน ก็บอกว่ามาเที่ยวตลาดแถวหน้าด่านนี้เอง ก็เสียค่าธรรมเนียมไปคนละ 40 บาท เสร็จจากเอกสารก็ขึ้นรถ เขาพาไปที่คิวรถตุ๊ก ๆ ลาว ที่จอดอยู่ลึกเข้าไปข้างในไม่มากนัก ลงจากรถสกายแล็ปก็เข้าไปแจ้งคนคุมคิวรถว่าเราจะมาแวะเที่ยวตลาดแถวนี้ และอยากไปไหว้พระด้วย เขาก็บอกว่า แล้วเราได้แจ้งกับทางหน้าด่านหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่ได้แจ้ง เพราะคิดว่า ในตลาดก็น่าจะมีวัดอยู่ (เหมือนเมืองไทย เห็นพระชอบมายืนบิณฑบาตอยู่ในตลาด) เขาบอกว่า แถวนี้ไม่มีวัด ต้องเข้าไปอีก 8 กิโลเมตร ว่าแล้วก็ตกลงกับคนขับ ได้ราคาเหมา 500 บาท คนขับก็เอาเอกสารพวกเราแล้วขับรถกลับไปทางหน้าด่าน เห็นบอกว่าจะไปขออนุญาตเข้าไปข้างในเมืองไปไหว้พระ ใช้เวลาไม่นานนักแค่ควายท้องแก่ออกลูกตัวที่สอง คนขับคนเดิมก็กลับมา เรียกให้ขึ้นรถ แล้วขับพาพวกเราวิ่งปุเลง ๆ ไปตามถนน 2 เลน ตรงเข้าสู่ตัวเมือง ระยะทางไม่ไกล แค่ควายท้องแก่ออกลูกตัวที่สาม สักพักก็มายืนอยู่ที่ตลาดลาว เชิญชมภาพครับ :
คิวรถฝั่งลาว:
สภาพการเดินทาง ถนนดี (กว่าพม่า) ครับ:
สินค้าส่วนใหญ่ไปจากไทยและจีนครับ:
ออกจากตลาด ก็วิ่งไปอีกไม่ไกลก็ถึงวัดวัดนึง ไม่แน่ใจว่าชื่อวัดอะไร เชิญชมภาพก็แล้วกัน :
พระพุทธรูปของลาวดูเรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาด สวยงามไปอีกแบบครับ:
มีเจดีย์เก่าแก่อายุ 700 ปี อยู่ทางด้านซ้ายของโบสถ์ด้วย:
หลังจากได้สักการะพระประธานในวัดและทำบุญด้วยความเลื่อมใสแล้ว คนขับก็ขับพาไปที่อีกแห่งนึง ก็ไม่ไกลมาก ชื่อบ้านต้นไม้ใหญ่ เป็นบ้านของผู้มีอันจะทานของที่นี่ คิดดูว่าเสาแต่ละต้น สองคนโอบไม่มิด เขาบอกเป็นต้นประดู่ เชิญชมภาพครับ :
ออกจากบ้านต้นไม้ใหญ่ ก็ขอให้คนขับพาไปทานข้าว (จริง ๆ กำหนดการจะไปทานข้าวเที่ยงที่ห้วยกระทิง แต่ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ มาถึงลาวแล้ว และเวลาก็ปาเข้าไป 11 โมงเศษ ก็ถือว่า มาเปิปพิสดารอาหารลาว เดี๋ยวจะมาหาว่าไม่ถึงลาว) ก็บอกคนขับไปว่า ทานอะไรก็ได้ที่เป็นอาหารที่คนลาวทานกันน่ะ คนขับก็เลยขับกลับไปหน้าด่าน เกือบถึงคิวรถ มีร้านอาหารลาวสร้างเป็นกระต๊อปอยู่ ก็พากันเข้าไป สั่งอาหารมา 3 อย่าง คือ ใส้หมูต้ม ต้มส้มไก่ ไข่เจียว พร้อมข้าวเหนียว กระติ๊บใหญ่ เชิญชมภาพครับ :
รูปหน้าร้านอาหาร:
อาหารที่สั่ง:
มาลาวต้องดื่ม "เขยลาว" ถึงจะมาถึงลาว:
ทั้งหมด 159,000 กีบ เท่ากับ 636 บาท:
อิ่มแล้ว คนขับก็ขับไปส่งที่ร้านค้าปลอดภาษี แวะซื้อไวน์ไปฝากผู้ใหญ่ (อีกและ ก็ผู้ใหญ่เยอะมากอ่ะ ตัวเองก็เป็นผู้ใหญ่คนนึงเหมือนกัลลล) :
นี่แหละ ร้านค้าปลอดภาษี:
ซื้อของเสร็จ ก็ขับไปส่งหน้าด่าน ลงจากรถก็เดินผ่านด่านตรวจของไทย เอาเอกสารที่เหลืออยู่ยื่นให้ เสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถ ขับออกจากหน้าด่านอย่างมีความสุขที่ได้บรรลุเป้าหมายทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้ในเช้าวันนี้ ทิ้งท้ายภาค 1 ด้วยภาพนี้ครับ แล้วก็โบกมือ บ๊าย บาย โอกาสหน้าจะมาเยี่ยมด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว อีกครั้ง :
(อ่านต่อ ภาค 2 นะครับ)