ตามหาแสงลาว: ท่องไปบนรางเหล็กแห่งฝัน สู่หลวงพระบาง - หลวงน้ำทา

มีเพื่อนนักเดินทางคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า แสงที่ประเทศลาว โดยเฉพาะทางตอนเหนือนั้นสวยงามมาก เขาโชว์รูปถ่ายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของแสงธรรมชาติ และวิถีชีวิตผู้คนที่เรียบง่าย ภาพเหล่านั้นทรงพลัง และตราตรึงใจมาก ผมเลยอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้ง

เมื่อโอกาสมาถึง ผมจึงออกเดินทางไปตามหาแสงที่เขาพูดถึง ด้วยตาเนื้อและเลนส์กล้อง ผมหวังว่าจะได้เก็บภาพความงดงามของธรรมชาติและวิถีชีวิต กลับบ้านเป็นที่ระลึกและบันทึกความทรงจำอันล้ำค่านี้ครับ

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ผมกลับมาพร้อมกระทู้แรกของปี 2025!

มีประเทศหนึ่งที่ผมคิดถึงและไม่ได้ไปเฮือนมาหลายปี ดินแดนแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ แสงแดดที่อบอุ่น อากาศหนาวเย็นแต่สดชื่น และอาหารพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ประเทศนั้นก็คือ "ลาว" ครับ

ครั้งก่อนที่ผมไปเฮือนลาวยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง ครั้งนี้ผมจึงตั้งใจลองนั่งดูสักครั้ง ผมเปิดแผนที่และวางแผนคร่าว ๆ ว่าเส้นทางการเดินทางจะเริ่มจาก กรุงเทพ-หนองคาย-เวียงจันทน์-หลวงพระบาง-หลวงน้ำทา-เชียงราย-พะเยา แล้ววนกลับมาที่กรุงเทพ

ผมมีเวลาเดินทางทั้งหมด 12 วัน และผมชอบให้ทุกการเดินทางไหลไปตามจังหวะชีวิต ไม่เร่งรีบหรือวางแผนจนตึงเกินไป ครั้งนี้ผมเลยจองแค่รถไฟ กรุงเทพ-หนองคาย เที่ยวเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็ปล่อยให้โชคชะตานำทางไปครับ

เพื่อน ๆ ครับ พร้อมเดินทางกันหรือยัง? ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลยครับ ลุย!!!
 


สะบายดี....หลวงพระบาง


วันแรก: กรุงเทพ - หนองคาย - เวียงจันทน์ - หลวงพระบาง

เช้านี้ที่หนองคาย อุณหภูมิประมาณ 15 องศา ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศสดชื่น ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากธรรมชาติ ผมมาถึงสถานีรถไฟหนองคายเวลาประมาณ 6.30 น



ผมตัดสินใจเดินจากสถานีรถไฟไปยังด่านพรมแดนไทย-ลาว ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร อากาศดีขนาดนี้ เดินเล่นชมวิวดีกว่า ผมแวะซื้อข้าวเหนียวกับไก่ปิ้งร้อน ๆ เดินไปกินไป แฮปปี้มาก



ประมาณ 20 นาที ผมก็มาถึงด่านพรมแดนหนองคาย



ผมใช้พาสปอร์ตข้ามด่าน วิธีการก็ง่าย ๆ เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10-15 นาที ก็ข้ามด่านเสร็จ พร้อมผจญภัยในลาวแล้วครับ



ผมข้ามมาฝั่งลาวเวียงจันทร์เรียบร้อย

เดินออกมาจะเป็นท่ารถ มีคนดักรอ ต่อรองราคาค่ารถไปที่ต่าง ๆ ในเวียงจันทร์ มีพี่คนหนึ่ง ถามว่าไปหลวงพระบางไหม ซื้อตั๋วตอนนี้ทันรอบ 9.30 น. ผมลังเลอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจทะลุไปเลย พลังงานผมยังเหลือเฟือ ผมเหมาไปสถานีรถไฟความเร็วสูง ราคา 300 บาท

ผมมาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูง และวิ่งไปซื้อตั๋วได้สำเร็จเป็นใบสุดท้ายพอดี ก่อนที่เขาจะปิดตู้ขายตั๋ว โชคดีเป็นของผมวันนี้



ภาพนี้เป็นบรรยากาศบนรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ผ่านทุ่งนา ภูเขา และบ้านคน



และผมก็มาถึงหลวงพระบาง ผมเดินตามหาโรงแรมที่จะไว้ซุกหัวนอนคืนนี้ หายากอยู่เหมือนกัน เพราะช่วงที่ผมไปคือวันคริสต์มาส ทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน ฝรั่ง ต่างก็หลั่งไหลมาที่จุดนัดพบแห่งนี้ หลวงพระบาง ภาพนี้ถ่ายจากพระธาตุพูสี วิวมุมสูงเมืองหลวงพระบาง



วิวมุมสูงอีกภาพหนึ่ง



บนพระธาตุพูสี เต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมแสงสีของลาวในยามพระอาทิตย์ตกดิน



ผมเดินลงมาก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน เพราะสู้รบปรบมือกับคนจีนไม่ไหว ตกเย็นหลวงพระบางจะมีตลาดมืด เป็นตลาดของกิน ของที่ระลึก เสื้อผ้า และของพื้นถิ่นให้ได้ช็อปปิ้งกัน



ผมหลีกหนีความวุ่นวายมานั่งเงียบ ๆ กินเบียร์ริมแม่น้ำโขง ลมเย็น ๆ พัดผ่าน และมองวิวแม่น้ำที่ไหลผ่านไป ทุกอย่างรอบตัวดูช้าและสงบดีจัง



มืดแล้ว ผมเดินเข้าไปในตลาดมืด มีของแปลก สำหรับผมไม่แน่ใจว่าน่ากินไหม แต่ผมลองถ่ายมาให้เพื่อน ๆ ดูกันครับ มีต้มอึ่ง หมูหัน เครื่องในต้ม และก็ไส้กรอกเลือด



ผมเดินไปเรื่อย ๆ สะดุดกับตะแกรงเนื้อถาดนี้ เพราะจ้องอยู่และสงสัยว่าเป็นเนื้ออะไร ดูแปลก สรุปคือ เนื้อหมาครับ



ตลาดเช้าหลวงพระบาง เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดครับ ผู้คนออกมาขายของ มีของกินแปลก ให้ได้ลองชม ลองชิมกัน และยังคงมีวิถีชีวิตดั้งเดิม หลงเหลืออยู่บ้าง



เด็กน้อยน่ารักกำลังกินข้าวจี่ (ข้าวเหนียวชุบไข่ปิ้ง)



อันนี้ไส้กรอกเนื้อครับ ราคาชิ้นละประมาณ 80 บาท ผมได้ลองแล้ว เนื้อแน่นเคี้ยวหนึบ สมุนไพรแปลกดี รสชาติไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่ถ้าจะให้กินอีกก็ไม่แน่ใจว่าอยากกินไหมครับ



ห่อนี้เรียกว่า "ข้าวซอยคั่ว" ครับ ลักษณะเหมือนเส้นขนมจีน คลุกกับซอสแล้วโรยหน้าด้วยแคปหมู ราคาห่อละ 15 บาท อร่อยดีครับ


 
ตลาดสดหลวงพระบางจะมีอันนี้ที่สะดุดตาครับเครื่องในปลา มีขายหลายร้านมาก เป็นปลาจากแม่น้ำโขง ถามแม่ค้าส่วนมากจะเอาไป ต้มยำ ทำ อ่อม ทำแกง กันครับ


 
ผมเคยมาหลวงพระบางเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก วิถีชีวิตผู้คน มีความเป็นเมืองมากขึ้น เป็นทุนนิยมมากขึ้น แต่คงเป็นเรื่องปรกติที่โลกต้องก้าวไปข้างหน้า แต่ก็ยังคงมีตลาดเช้าที่พอจะมีคราบวิถีชีวิตดั้งเดิมให้ได้เห็นกันบ้าง



สายๆ ร้านค้าในเมืองเก่าเริ่มเปิดบริการ



วันนี้คือวันคริสตร์มาส เด็ก ๆ แต่งตัวน่ารักมาก



ในหลวงพระบางมีร้านขายโปสการ์ดเท่ ๆ มากมาย ส่วนมากเขาจะถ่ายรูปวิว กับวิถีชีวิตผู้คน


 
ของที่ระลึก งานคราฟ ของฝากน่ารักมากมาย วางเรียงรายตามร้านเล็กๆ ในย่านเมืองเก่า



ลาว วิสกี้ เหล้าที่มี งูตะขาบ ตุ๊กแกดองอยู่ข้างใน



บ่ายๆ ผมไปแอบส่อง เด็ก ๆ เล่นวิ่งไลจับ กระโดดยาง เพลินมากครับ



ผมชอบมากเลยเวลาแสงส่องผ่านเมือง บ้านเรือน ผ่านผู้คน มันดูมีชีวิตชีวาดี
 


เมื่อความเจริญขยายอาณาเขต ผู้คนในป่าก็เข้ามาในเมืองหางานทำ มาทำธุรกิจมากขึ้น ในรูปคือ คน ชาติพันธ์เข้ามาขายของ ในย่านเมืองเก่า



บรรยากาศเย็นนี้ กับมุมหนึ่งในเมืองเก่าหลวงพระบาง



โค้งแม่น้ำที่ออกไปถนนเส้นรองของหลวงพระบาง เงียบสงบ และสวยมาก



ต้นทุนชีวิต ความเหลื่อมล้ำ ที่เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้



เช้าวันใหม่ที่หลวงพระบาง หมอกหนามาก อากาศหนาว บรรยากาศดี



ผมเห็นเรือข้ามฝาก เลยลองไปนั่งดู อยากได้บรรยากาศ สองฝั่งโขง ค่าข้ามฝากประมาณ 15 บาท



ฝั่งตรงข้าม จะเป็นสวนชาวบ้าน บ้านคน ผมเดินเล่นซักพักก็ข้ามกลับ



วันนี้ ผมมีแพลนเดินทางไป เมืองหลวงน้ำทา ผมจองรถไฟความเร็วสูงเมื่อคืนให้โรงแรมจองให้ ราคาประมาน เกือบ 400 บาท รถไฟออกประมาณ 12.30 น. ผมเดินเพลินจนไม่มีเวลากินข้าว เลยซื้อข้าวจี่(ขนมปังใส่ไส้) ห่อไปกินที่รถไฟตอนกลางวัน


บันทึกการเดินทาง....หลวงพระบาง

เมื่อรถไฟความเร็วสูงของลาวเปิดเส้นทาง ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่า "ขบวนรถไฟแห่งความฝันของชาวลาว" ได้หรือไม่ เพราะพูดตามตรง ผู้โดยสารราว 70-80% บนขบวนรถไฟที่ผมนั่งเป็นคนจีนล้วน ๆ การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงกลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนจนส่งผลให้นักท่องเที่ยวทั่วไปและแม้แต่ชาวลาวเองต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า "จองตั๋วไม่ได้" เพราะตั๋วเต็มตลอดเวลา

ขณะนั่งอยู่ในรถไฟ ผมสังเกตว่ารถไฟวิ่งผ่านอุโมงค์มากกว่า 20 แห่ง ซึ่งหมายถึงภูเขา ทรัพยากรธรรมชาติ และป่าไม้จำนวนมหาศาลที่ต้องถูกทำลายเพื่อสร้างทางรถไฟเส้นทางนี้

การมาถึงของรถไฟความเร็วสูงส่งผลให้หลวงพระบาง ซึ่งเคยเป็นเมืองเก่าเงียบสงบ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีนจนล้นหลาม ทุกวันนี้หลวงพระบาง ทุกอย่างแพงขึ้นตามกลไกตลาด แต่ในขณะเดียวกัน ความขลังและเสน่ห์ของเมืองเก่าก็เริ่มจางหาย

ผมเดินไปทางไหนก็เจอแต่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนถือธง เปิดโทรโข่ง ไล่ต้อนลูกทัวร์เสียงดังทั่วเมือง ถนนสายเก่าที่เคยงดงาม ตอนนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยรถทัวร์ที่จอดเบียดเสียด บดบังทัศนียภาพและกำแพงวัดอันสวยงาม

แม้แต่น้ำโขงที่เคยเงียบสงบ ทุกวันนี้กลับเต็มไปด้วยเรือนักท่องเที่ยวจีน เสียงเพลง "เถียนมีมี่" ดังสนั่นไปหมด ผมเคยมาหลวงพระบางเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว เมืองนี้เคยสงบ มีเสน่ห์เหมือนหลุดไปอยู่ในเมืองเก่าคลาสสิก แต่วันนี้หลวงพระบางเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ครับ

สำหรับผมแล้วก็คงมีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือเศรษกิจลาวดี ผู้คนมีงานมีเงิน ความเจริญขยายออกไป แต่อีกจุดหนึ่งเมืองนี้ก็สูญเสียเสน่ห์เมืองเก่า มนต์ขลัง และทรัพยาการมหาศาลเช่นกัน

การเดินทางของผมยังไม่จบครับ เมืองต่อไปของผม หลวงน้ำทา.....

ผมขออนุญาติฝาก https://www.facebook.com/Baypacker.th ขอบคุณทุกท่านที่ซัพพอร์ตครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่