เต็มวัด-ศาลจีน!! “รับแก้ชงออนไลน์” ธุรกิจใหม่ “แม่ค้าจีน” หากินในไทย ผลพวง “ฟรีวีซ่า”


ขอบคุณที่มา: https://mgronline.com/live/detail/9680000008664

ลงพื้นที่เจาะ “ธุรกิจใหม่ชาวจีนในไทย” พ่อค้าแม่ค้าหัวใส เสิร์ฟลูกค้าอยู่จีนแต่ “ดวงชง” ตัวไม่ต้องมา เดี๋ยว “แก้ดวง” ออนไลน์ให้ ปักหลักหากินเต็มศาลเจ้า-วัดจีนไทย อาศัยช่องโหว่ “ฟรีวีซ่า” ใช้พื้นที่ทำกินคนไทย เกาะความเชื่อ เพื่อโกยเงินเข้ากระเป๋า

** มิติใหม่อาชีพ “จีนในไทย” **

ตอนนี้ “ธุรกิจสายมูฯ” ในไทยกำลังมาแรง จึงไม่แปลกที่จะเห็นอาชีพที่ใช้ความเชื่อนำทาง เข้ามาหาผลประโยชน์ตรงนี้

ล่าสุด กลายเป็นเรื่องราวที่ผู้คนให้ความสนใจ เมื่อผู้ใช้ “X” รายนึงโพสต์คลิป เล่าว่า “ไปแก้ชง” ที่วัดจีนแห่งนึง แต่ดันเจอ “ชาวจีน” มากมาย ยึดอาชีพ “แก้ชงออนไลน์” ในวัด จนต้องขอระบายออกมาว่า...

“จีนเหิมเกริมหนักมาก นอกจากอยากจะยึดประเทศ...แล้ว ยังนั่งแน่นเต็มศาลเจ้า ทำธุรกิจแก้บนออนไลน์ให้คนในประเทศนาง”

คลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัลที่มียอดเข้าชมกว่า 1 ล้านครั้งแล้ว ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ทั้งที่บอกว่า “วัดนี้คนจีนเยอะมาก” ไปทุกครั้งก็เจอแบบนี้ประจำ

บางคนบอกว่า เขาจะจัดแบ่งโซนเลย ระหว่าง “คนไทย” กับ “คนจีน” อย่างชัดเจน

“หลงไปดงนั้นปีที่แล้ว โดนไล่ไปชั้น 2 เขาแบ่งโซนกันเลยทีเดียว”

เมื่อทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลดู จึงพบว่าวัดในคลิปไวรัลคือ “วัดชื่อดัง”ซึ่งเป็นวัดจีนแห่งใหญ่ที่สุดแห่งนึงในไทยจึงตัดสินใจลงพื้นที่สำรวจหน้างาน เพื่อไขข้อสงสัยในหลายๆ จุดว่า มันเป็นอย่างที่โลกออนไลน์ลือเอาไว้หรือเปล่า?

เมื่อไปถึงภายในวัด ในโถงชั้น 1 ก็จะพบเคาน์เตอร์ของทางวัด ที่คอยบริการ “ซื้อของไหว้” โดยจะแยกกันอย่างชัดเจนคือ เคาน์เตอร์ 1 เป็น “การแก้ชง-ฝากดวง” ซึ่งราคาจะอยู่ที่ใบละ 100 บาท

ส่วนเคาน์เตอร์ที่ 2 จะเป็นบริการ “ซื้อของไหว้ขอพร” จัดมาเป็นเซ็ตต่างๆ ตามสิ่งที่ผู้ไหว้อยากจะขอ มีทั้งเรื่องสุขภาพ-โชคลาภ-การงาน ส่วนใหญ่อยู่ที่ชุดละ 60 บาท

ที่น่าสังเกตคือ ภายในชั้นนี้มี “เทวรูป” หลายองค์ ตั้งไว้ให้สักการะบูชา มีผู้คนมากมายทั้งไทยและจีน ทยอยมาซื้อของเซ่นไหว้ “แต่กลับไม่มีใครนำของมาไหว้ ณ จุดนี้เลย”

ต่างจากบริเวณหน้าเทวรูป ที่มีการตั้งโต๊ะยาวแบ่งเป็นล็อกๆ และมี “กลุ่มคน”จำนวนนึงนั่งประจำที่ ยกของไปเซ่นไหว้หน้าองค์พระต่างๆ หลายรอบ พร้อมหยิบมือถือมา “ถ่ายรูป”ขณะไหว้ทุกครั้ง

ด้วยความสงสัย ทีมข่าวจึงสอบถามกับเจ้าหน้าที่วัด ณ ตรงนั้น จนได้ความว่า คนที่จับกลุ่มกันอยู่ตรงนั้น คือเหล่า “คนจีน”ที่ทำอาชีพ “รับแก้ชง-ไหว้ขอพรออนไลน์”ให้กับคนจีนด้วยกันเอง

วิธีการก็คือ เขียน “ชื่อ” พร้อม “วัน-เดือน-ปีเกิด”ของลูกค้า ก่อนนำไปไหว้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธี เขาก็จะถ่ายรูปส่งกลับไปหาลูกค้าว่า เป็นตัวแทนไหว้ให้เรียบร้อยแล้ว ถามว่ามีลูกค้าเยอะขนาดไหน? เจ้าหน้าที่วัดคนเดิมบอกกับเราว่า

“วันนึงเขาซื้อกระดาษ(ใบแก้ชง-ใบฝากดวง) 3-4 หมื่น(ใบ)นะ ลองคิดดูสิ เป็นเงินเขาเท่าไหร่”

ที่สำคัญ พื้นที่ที่นักแก้ชงออนไลน์เหล่านี้ประจำการ “ไม่ได้มีการเก็บค่าเช่า” จากทางวัดหรือ “ไม่มีการจอง” แต่อย่างใด ใช้วิธีใครมาก่อนได้ก่อน จนเจ้าหน้าที่วัดยังถึงกับออกปากว่า ที่เห็นอยู่ “นี่ยังน้อย”ปกติบางครั้ง ถึงขั้นแย่งที่กันเลยทีเดียว

ลองสังเกตอุปกรณ์บนโต๊ะ ที่เหล่าชาวจีนใช้ประกอบอาชีพ จะเห็นว่าเต็มไปกระดาษที่เขียนเป็นภาษาจีน พร้อมมือถือ เอาไว้ตอบแชตและรับออเดอร์ลูกค้า ว่าต้องการทำอะไร “แก้ชง” หรือ “เสริมดวง”

เมื่อทีมข่าวลองพูดคุยกับ “นักแก้ชงชาวจีน” รายนึงตรงนั้น จึงได้ทราบรายละเอียดเพิ่มอีกว่า “ค่าบริการ”ที่พวกเขารับจากลูกค้า อยู่ที่ “3 หยวน”ต่อครั้งต่อคน หรือตกราวๆ 14 บาท แต่เป็นราคาที่ยังไม่รวม“ค่าของเซ่นไหว้” หรือ“ค่าใบแก้ชง” ที่ต้องไปซื้อจากทางวัดอีก

ส่วนคนที่มาที่วัดได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะ “คนไทย” หรือ “ต่างชาติ”จะไม่ได้ใช้บริการในพื้นที่เดียวกัน เพราะหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว จะต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

คือถ้าเป็นการ “แก้ชง-ฝากดวง”ต้องขึ้นไปไหว้ ไปฝากดวงบนชั้น 2 ของวัด ส่วนถ้าเป็นการ “ไหว้ขอพร” จะต้องไปจุดธูปเทียน ไหว้บริเวณหน้าวัดด้วยตัวเอง

** ฟรีวีซ่า = ฟรี(ด้อม)ผีน้อย **

อีกหนึ่งข้อสงสัยที่หลายคนอยากรู้คือ อาชีพ “รับแก้ชงออนไลน์”ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่นี้ คือการเข้ามาแย่งอาชีพของคนไทยไหม?, มีวีซ่าทำงานหรือเปล่า?, ควรต้องเสียภาษีด้วยหรือไม่

และคือความคิดเห็นของ “ผศ.ดร.ชาดา เตรียมวิทยา”อาจารย์คณะศิลปะศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หัวหน้าทีมวิจัยเรื่อง “การตั้งถิ่นฐานของชาวจีนรุ่นใหม่”ที่ก็ตั้งถามประเด็นนี้เหมือนกัน

“ใช่..ตรงนี้ก็สงสัยเหมือนกันว่า แล้ววีซ่าทำงาน กับการเสียภาษี มันอยู่ตรงไหน?”

เพราะปกติ การไปทำงานในประเทศอื่นๆ มันต้องขอ “วีซ่าทำงาน”และรายได้ที่เกิดในประเทศนั้นๆ “เราก็ต้องเสียภาษีให้เจ้าของประเทศ”

ปัญหาของเรื่องนี้อาจอยู่ที่นโยบาย “ฟรีวีซ่า” กับ “ระบบคัดกรอง”และ “การติดตาม”นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในบ้านเราที่ “มันไม่มีประสิทธิภาพ” ทำให้ไม่รู้ว่า คนที่เข้ามาเป็น “นักท่องเที่ยวจริงๆ”หรือ “แอบมาทำงาน”

เริ่มด้วย “ฟรีวีซ่า” ที่แม้จะกระตุ้นการท่องเที่ยวได้จริง แต่ก็เป็นช่องโหว่ให้ “ต่างชาติ” ที่เราฟรีวีซ่าให้ทั้งหมด 35 ประเทศ แอบเข้ามา “ทำงานแบบผิดกฎหมาย” ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ “จีน”

ในสมัยก่อนที่จะมีฟรีวีซ่าให้คนจีน การขอเอกสารและทำเรื่องต่างๆ เพื่อเข้ามาไทย ค่อนข้างจะวุ่นวาย ต้องมีการ “เก็บข้อมูล” คนที่เข้ามา ต้องเซ็กว่ามีการติด Blacklist อะไรหรือเปล่า แต่พอฟรีวีซ่า เรื่องพวกนี้ก็ไม่ต้องทำ

“พอฟรีวีซ่าปั๊บ เขามองว่า อย่างนั้นก็มาดิ ถือวีซ่าแล้ว เราไม่ต้องเสียภาษี อาจจะมองว่า เหมือนได้เที่ยวด้วย ได้เงินด้วย”

แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาทั้งหมด “ดร.ชาดา” บอกว่า ฟรีวีซ่าทำให้คนที่อยากแอบมาทำงานในไทย ตัดสินใจมาง่ายขึ้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เกิด ถ้าด่านแรกอย่าง“สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)” เข้มงวด...
“ถามว่า ไอ้ด่านแรกที่ลงจากสุวรรณภูมิมา ลงจากสนามบินมาเนี่ย คุณมีการตั้งคำถามเขาไหมอะ”

ยกตัวอย่างในประเทศที่เข้มงวดอย่าง “จีน” หรือ “เกาหลี” ต่อให้เป็นการ “ฟรีวีซ่า” หรือ “วีซ่าท่องเที่ยว” ตม.ก็ถามละเอียดว่า จะไปที่ไหน เมืองอะไร พักที่ไหน อยู่กี่วัน และกลับวันไหน

เพราะจุดนี้มันก็จะทำให้สังเกตความผิดปกติได้ เช่น เป็นนักท่องเที่ยว แต่ไปเมืองเล็กๆ ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว หรือมีแต่ตั๋วบินมา ไม่มีตั๋วขากลับ ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเขาอาจไม่ได้มาเที่ยวก็ได้

ประเด็นต่อมาคือ เมื่อเข้ามาแล้ว เราก็ “ไม่มีระบบติดตาม” ว่า นักท่องเที่ยวที่เข้ามา “เขาไปอยู่ตรงไหนของประเทศ” จึงกลายเป็นช่องโหว่รูใหญ่ เพราะ “ผีน้อยชาวจีน” หรือ “ผีน้อยชาติอื่นๆ”มีมากมายที่เข้าแอบมาทำงานจากฟรีวีซ่า

โดยมีระยะเวลากำหนดให้อยู่ในประเทศได้ 30 วัน พอใกล้หมดเวลา พวกเขาก็จะข้ามชายแดน ไปประเทศอื่น 2-3 วัน แล้วกลับมาไทยใหม่ ให้ระยะเวลาฟรีวีซ่าในไทยนับใหม่อีก 30 วัน วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ

“มันกลายเป็นแหล่งของสังคมนานาชาติไปแล้ว ของพวกผีน้อยนานาชาติไปแล้วอะ”...กูรูรายเดิมบอกว่า ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนจีนที่แอบมาทำงานในไทย มีทั้ง “อิสราเอล”, “ฟิลิปปินส์”ส่วนละแวกภูเก็ตก็มี “รัสเซีย” และจันทบุรีก็มี “แอฟริกา”

คำแนะนำคือ หน่วยงานรัฐอย่าง “ตำรวจท่องเที่ยว”, “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)” หรือแม้แต่ “กองปราบ” ต้องเข้มงวดมากขึ้น และเอาข้อมูลที่แต่ละคนถืออยู่มาใช้ทำงานร่วมกัน เพราะการจะยกเลิกฟรีวีซ่าคงทำไม่ได้ เนื่องจากมันช่วยให้การท่องเที่ยวไทยดีขึ้นจริงๆ

“แต่นึกถึงระยะยาว เพราะว่าเขามาใช้ทรัพยากรในบ้านเรา โดยที่ว่าแม้กระทั่งภาษี เขาก็ไม่ได้จ่ายให้เรา เขาได้รายได้จากบ้านเราไป แต่ว่าเม็ดเงินมันไม่ได้กระจายสู่คนในสังคมไทย”

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่