แนวเรื่อง --- ดราม่า
ชมทองอกหักและตกงาน เบื้องหน้าของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ
แต่แล้วอย่างไม่คาดฝัน เมื่อชายอีกคนชื่อเดียวกันกับเขามาตายลงตรงหน้า
ความว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มด้วยโอกาส แล้วเขาก็ตัดสินใจฉวยไว้
กระทั่ง ณ ปลายทางของโอกาสนั้น เขาจึงได้พบกับเธอ.. พิมพ์เช้าผู้น่าสงสาร
บทที่ 1
เสียงทึบหนักคล้ายกับวัตถุสองชิ้นกระทบกันดึงสายตาเหม่อลอยบนทางเดินเท้าของ 'ชมทอง' ให้เหลียวไปมอง เขาเลิกคิ้วตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า อุบัติเหตุรถกระบะชนชายฉกรรจ์คนหนึ่งทำให้เขาลืมเรื่องราวมากมายที่กำลังนึกทบทวน คนอื่นปรี่เข้าไปเพื่อมุงดูเฉยๆ แต่เขาแทรกเข้าไปเพื่อช่วยชีวิต
"ไม่เป็นไรนะคุณ" เขาพยายามชวนคุยขณะประคองชายที่นอนอ่อนล้าบนพื้นถนนร้อนระอุ "คุณครับ"
"ผมต้องรีบ.. รีบ.. "
"รีบไปไหน ตอนนี้ต้องไปโรงพยาบาลก่อน ผมจะพาไปเอง"
เจ้าของรถเพิ่งหายขวัญกระเจิงหรือเปล่าก็ไม่ทราบถึงได้ลงมาดูอาการคนเจ็บช้าไปตั้งหลายนาที เจ้าตัวเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นสูงและค่อนไปทางเจ้าเนื้อ ดูจากการแต่งตัวแล้วก็เดาว่าคงเป็นนักธุรกิจรายย่อยหรือพ่อค้าที่มีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง
"ผมช่วย"
"เขาโดนกระแทกแถวหน้าอก ไม่แน่ใจว่าจะกระทบกระเทือนอวัยวะตรงส่วนไหนบ้าง เรารีบไป"
"คุณเป็นหมอหรือ"
"แค่เกือบเฉยๆ "
ชมทองเคยเรียนหมออยู่สองปี แต่ต้องลาออกเมื่อบิดามารดาหย่าร้างกัน สองฝ่ายเมินหมางใส่บุตรชาย เกี่ยงงอนว่าใครควรจะรับภาระ เขาจึงตัดสินใจออกจากบ้านไปลุยชีวิตแบบเดี่ยวๆ หางานทำไปเรื่อยและไม่คงทนถาวรสักงาน
เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือสลักสำคัญ เพราะที่ล้ำหน้าไปกว่าก็คือเขาอกหักยับเยินเพราะโดน 'พัชรภรณ์' ตีจากด้วยเหตุผลยอดนิยมทำนองว่าไปเจอคนที่ดีกว่าแล้ว ซึ่งก็ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาต้องมายืนเหม่อลอยเพื่อใคร่ครวญว่าควรจัดการกับชีวิตบัดซบของตนต่อไปยังไงดี
กว่าหมอจะมา คนเจ็บบนเปลก็ได้แต่อดทนและร้องโอดครวญเป็นระยะ พยาบาลมากมายก็ไม่อาจปลีกตัวมาดูแลเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคนไข้ที่มีอยู่ตอนนี้ก็แทบจะล้นออกไปข้างนอก
"คุณ"
"ครับ"
ชมทองหลุบมองท่อนแขนที่คนเจ็บกุมอย่างอ่อนล้า เขาโน้มตัวและเอียงหน้าเงี่ยหูจนชิดปากเพื่อให้ได้ยินว่าอีกฝ่ายกระซิบความอะไรบ้าง
"ผมต้องรีบไปรายงานตัว ผมไม่อยากตกงาน"
"สภาพอย่างนี้.. "
"ช่วยผมด้วย ผมตกงานมาหกเดือนแล้ว นี่เป็นงานแรกที่ผมจะ.. จะ.. "
คนเจ็บฝืนความเจ็บปวดภายในเพื่อกล่าวให้จบ แต่สุดท้ายก็ไม่จบ ชมทองน้ำตาซึมนิดๆ เขากลืนน้ำลายด้วยความสงสารอย่างยิ่งยวดเมื่อฝ่ายนั้นกระแอมไอแล้วกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย เจ้าตัวพยายามเลื่อนมือสั่นๆ อีกข้างล้วงอกเสื้อแล้วหยิบซองสีน้ำตาลชื้นๆ ออกมา
"นี่.. นี่.. "
"อะไรครับ"
เขารับมาพลิกแกนๆ พลางถาม แล้วค่อยใจหายเมื่อมือข้างนั้นร่วงผล็อย ไม่เว้นแม้แต่อีกข้างที่กุมท่อนแขนเขาอยู่นาน ยามเอะใจว่าทั้งร่างนั้นดูนิ่งผิดปกติ เขาจึงลองแตะจุดชีพจรพลางใจตนก็เต้นแรงขึ้น คุณพระช่วย คนเจ็บสิ้นใจแล้ว
"หมอมาแล้วครับ"
เจ้าของรถกระบะก็ใช่ว่านิ่งดูดาย เพราะเจ้าตัวก็พยายามอย่างยิ่งยวดต่อการควานหาตัวหมอว่างๆ สักคนมาช่วยดูอาการ ทว่า มาตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์เสียแล้ว
"เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้น" เจ้าตัวถามพลอยสีหน้าไม่ดีตามไปด้วย
"เขาสิ้นใจแล้ว" ชมทองบอกสั้นๆ และเบาๆ
"คุณพระช่วย"
ชมทองถอยห่างจากเปลเพื่อให้คุณหมอทำหน้าที่ต่อไป เขาออกมาสูดอากาศหน้าระเบียงที่แออัดไปด้วยคนเจ็บป่วยและเครือญาติ คิดไปว่าถ้าให้ยืนอยู่ตรงนี้ก็มีแต่จะหดหู่หัวใจ สมองก็พลอยตื้อๆ ไปด้วย
เมื่อเหลียวกลับไปดูสถานการณ์ข้างในอีกแวบ ก็คิดได้ว่าตนหมดหน้าที่พลเมืองดีลงแต่เพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือคงเป็นภาระต่อยอดของคู่กรณีกับกระบวนการทางกฎหมายแล้ว ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจปลีกตัวจากมาอย่างเงียบๆ
กระทั่งเจอสวนหย่อมที่เหมาะแก่การนั่งพักเพื่อสงบสติอารมณ์อยู่ค่อนไปทางด้านหลังอาคารที่จอแจไปด้วยผู้คน เขาจึงปรี่ไปจับจองม้านั่งใกล้ซุ้มเฟื่องฟ้าใหญ่ วางซองสีน้ำตาลชื้นๆ ลงบนตัก เงยหน้าแล้วสูดอากาศยามบ่ายแก่ๆ เข้าปอดลึกๆ
ระหว่างที่นึกไม่ออกว่าควรจัดการกับชีวิตบัดซบของตนต่อไปยังไงดี เขาก็ฆ่าเวลาด้วยการล้วงเอกสารในซองออกมาอ่านไปพลางๆ
"นายชมทอง น้องณัฐฐ์"
แหม ช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ เขาอ่านออกเสียงชื่อของคนตายหมาดๆ แล้วอดหัวเราะในใจไม่ได้ ไม่อยากขำ แต่เรื่องมันขำจริงๆ เขาเองก็ชื่อชมทองเหมือนกัน แล้วชีวิตบัดซบของเขาต่างหากที่สมควรจากโลกนี้ไป แต่ฟ้ากลับจงใจรับชายคนนี้ไปแทน ทั้งที่เจ้าตัวกำลังจะได้งานทำเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน
หนำซ้ำ ตอนฟังน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นบอกความนั้น เขายังสัมผัสได้ถึงพลังอันกระตือรือร้น แรงฮึกเหิมที่ล้นปรี่ขึ้นจากความสมหวัง ทว่า ทั้งหมดนั้นก็ถูกความตายมาขัดขวางและแย่งชิงไปหมดแล้ว
เอ๊ะ ไม่สิ เขาไม่ควรทิ้งความหวังของคนตายไปเปล่าสิ ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว ส่วนเขาเองก็ตกงาน อกหัก ชีวิตข้างหน้าว่างเปล่าไร้จุดหมาย ทำไมไม่ฉวยโอกาสนี้เติมเต็มความหวังให้คนตาย และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้ตนไม่ต้องเคว้งคว้างท่ามกลางโชคชะตาอันแสนเฮงซวยเช่นนี้ไปด้วย
"อายุสามสิบเอ็ด โสด เคยเรียนหมอแต่ไม่จบ เพราะพ่อแม่ทำการค้าไม่รุ่ง โรงงานทำเหล็กดัดเจ๊งเพราะภาวะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องลาออกมาหางานทำเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว"
เมื่ออ่านประวัติลำเค็ญของคนตายมาถึงบรรทัดนี้ ชมทองก็เงยหน้าขึ้นพลางสูดหายใจเข้าปอดอีกเฮือกลึกๆ นึกในใจว่าชายคนนี้โชคดีกว่าที่แม้จะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นเพราะสภาพครอบครัวเจอทางตัน ต่างจากเขาที่สภาพครอบครัวดูหรูในสายตาคนนอก แต่ความสัมพันธ์ภายในกลับตกต่ำดำดิ่งลงสู่ระดับแย่ที่สุด
"เอาเถอะ เป็นยามก็เป็นยาม ยังไงก็ดีกว่าเดินไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีปลายทางรอให้ถึง"
เขาเปรยกับตัวเองเมื่ออ่านไปถึงตำแหน่งงานของคนตาย ช่างเป็นยามที่หล่อเหลาเอาการทีเดียว ผีสางนางไม้ที่ออกเตร็ดเตร่ตอนดึกๆ คงหลงโฉมกันน่าดู หรือแม้แต่ตัวเขาเองก็เถอะ ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ความหล่อเหลาฝ่ายตนก็เอาเรื่องไม่ใช่น้อย ถ้าวัดกันด้วยคะแนนก็คงสูสีระหว่างเก้าสิบเก้ากับเก้าสิบเก้าจุดห้านั่นแหละ
"ผมขอโทษนะที่ทำเหมือนตัวเองเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนตายแล้วอย่างคุณ"
เขางึมงำส่งความไปถึงคนตายพลางสอดเอกสารทั้งหมดใส่ซองดังเดิม เวลาไม่คอยท่าแล้ว เขาไม่ควรโอ้เอ้หม่นหมองอยู่ตรงนี้ ต้องรีบเดินทางเพื่อไม่ให้ผิดเวลานัดจนผู้จ้างทางโน้นฉวยเป็นเหตุผลยกเลิกการจ้างเอาได้
"เอาอย่างนี้นะคุณชมทอง" เขาลุกขึ้นพลางกล่าวเบาๆ ฝากไปกับสายลมเฉื่อยๆ "เงินเดือนที่ได้มา ผมจะส่งให้ทางบ้านคุณด้วย ขอให้รับรู้ไว้ว่าผมไม่มีเจตนาร้าย แค่อยากช่วยให้ความสมหวังของคุณเป็นจริง และส่วนหนึ่งก็ช่วยให้ตัวเองมีจุดหมายขึ้นมาอีกนิดหน่อยเท่านั้น"
ก็ได้แต่หวังว่าสายลมเฉื่อยๆ แถวนี้จะหอบทุกถ้อยคำของเขาไปให้ถึงคนตายหมาดๆ เมื่อไปถึงทางโน้นแล้ว รอไว้ให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเสียก่อน เขาจะหมั่นตักบาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
'คฤหาสน์ยุรวัฒน์' หาไม่ยากเมื่อไต่ไปตามแผนที่ที่ระบุไว้ในเอกสาร ชมทองหยุดนิ่งหน้าประตูเล็กเพื่อสูดหายใจลึกยาว จากนั้นจึงตัดสินใจกดกริ่ง ทว่า ก็แค่ตัดสินใจและมือก็เพิ่งจะเอื้อมไปยังไม่ทันได้แตะถึงกริ่งใต้ซุ้มตุ๊กตาสีชมพูเลย ประตูเล็กก็ถูกเปิดจากข้างในเสียก่อน คนเปิดเป็นชายสูงวัยเยี่ยมหน้าออกมามองเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะถามว่า
"มาพบใครหรือพ่อหนุ่ม"
"ผมมาจากกรุงเทพครับ เอ้อ นี่ครับจดหมายเรียกให้มารายงานตัว"
แล้วชมทองก็ค่อยเห็นว่าชายสูงวัยตัวสูงมาก ผิวขาวผ่อง ผมสีดอกเลาบนศีรษะแทบจะกลืนกินสีดำอยู่รอมร่อ เขาไม่แน่ใจว่าสายตาคู่นั้นยังใช้งานได้คมชัดดีแค่ไหน แต่ก็สังเกตเห็นว่าเจ้าตัวไม่สวมแว่น
"คุณลุงมองเห็นไหมครับ" เขาถามอย่างมีน้ำใจ อยากช่วยอ่านให้ถ้าแกมองไม่เห็นจริงๆ
"สายตาฉันยังดี เห็นอะไรต่อมิอะไรคมชัดกว่าหนุ่มๆ สาวๆ เยอะเลย เอ้า เอาคืนไป แล้วตามเข้ามา"
"รู้ได้ยังไงว่าผมมายืนอยู่หน้าบ้าน"
"ไม่รู้หรอก บังเอิญเปิดมาเจอเฉยๆ "
ชมทองหัวเราะในใจ ออกจะขบขันว่าระยะนี้โชคชะตาของตนค่อนไปทางประหลาดสักหน่อย พบเจอแต่เรื่องบังเอิญไม่หยุดหย่อน เจออุบัติเหตุบนถนนสายที่ตนเหม่อลอย คนตายชื่อชมทอง ตนสวมรอยมาทำงาน แล้วประตูก็เปิดต้อนรับ
"คุณลุงจะไปไหนหรือครับ" เขาชวนสนทนาหลังจากช่วยปิดประตูเล็กให้ แล้วเดินตามหลังมาเนิบๆ
"จะออกไปดูจดหมายให้คุณท่านเฉยๆ "
"ไม่มีหรอกครับ" เขารีบบอกเพราะก่อนจะหยุดหน้ากริ่งก็แง้มฝาตู้จดหมายเพื่อทำใจนิดหน่อยแล้ว
"ฮื่อ ฉันก็เห็นแล้วว่าไม่มี เอ้า นั่งรอตรงนี้ก่อน ฉันต้องไปเรียนคุณท่านก่อน"
แกชี้ไปยังศาลาไม้ใต้ร่มเงา ถัดไปก็เป็นสระบัว น้ำพุกลางสระกำลังฉีดพุ่งเป็นฝอยกระจัดกระจาย ก็ดี นอกจากร่มรื่นแล้ว ยังได้ละอองจากน้ำพุช่วยให้สดชื่นขึ้นอีกเล็กน้อย ชมทองสำรวจโดยรอบจนพอใจแล้วจึงค่อยนั่งสำรวมลงบนม้าหินอ่อนตัวหนึ่งพลางมองตามคุณลุงตัวสูงเดินกระฉับกระเฉงหายเข้าไปในตัวตึกอันโอ่อ่า
ร่วมสิบนาทีทีเดียวกว่าคุณลุงตัวสูงจะย้อนกลับออกมา แกชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจที่เห็นเขาไม่รอในที่ที่แกสั่งให้รอ แต่เขาไพล่มาสนทนาเพลินๆ กับสาวใช้ที่บังเอิญมาให้อาหารปลาพอดี
"ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะ สั่งให้รอตรงไหนก็ต้องรอตรงนั้น จะเดินเพ่นพ่านตามใจชอบไม่ได้ เข้าใจด้วยนะพ่อหนุ่ม"
สาวใช้ชื่อ 'เจือแก้ว' อมยิ้มตอนเขาโดนเอ็ดเสียงเขียว เขาวางหน้าเรียบเฉยเหมือนว่าไม่อาย แต่ความจริงก็อายนิดหน่อย ไม่นึกว่ามาถึงวันแรกก็โดนดีเข้าเสียแล้ว ท่าทางว่ากฎระเบียบของคฤหาสน์หลังนี้ต้องเข้มงวดเคร่งครัดกันน่าดูเชียว
"เสร็จหรือยัง" แกหันไปถามเจือแก้วที่ยังยืนยิ้มเล็กยิ้มน้อย
"เสร็จแล้วค่ะ"
"ก็ไปเสียทีสิ ยืนฟังอะไรอยู่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก"
ชมทองเกิดอาการกระหายใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่าคุณลุงตัวสูงคนนี้มีฐานะตำแหน่งอะไรในคฤหาสน์สวย เหมือนว่าแกจะเบ่งอำนาจข่มคนอื่นได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เขาที่เพิ่งจะมาถึงวันนี้
"ที่นี่มีกฎระเบียงเคร่งครัดนะพ่อหนุ่ม รับได้ก็อยู่ได้ ถ้ารับไม่ไหวก็คงต้องจากลากันเร็วๆ นี้"
"บอกหรือเตือนครับ เอ๊ะ หรือว่าขู่ข่มขวัญไว้ก่อน"
"อยากคิดยังไงก็เชิญ"
แกยักไหล่ไม่ยี่หระว่าโดนเขายอกย้อนเสียงนุ่มๆ แต่ก็ยังแถมสาดตาขุ่นมาบอกอารมณ์ฉิวๆ กันอีกเล็กน้อย เขาเม้มปากและพยายามซ่อนยิ้มขบขัน ขณะเดินตามหลังก็พาสองมือไพล่หลัง สายตาก็กวาดไปเรื่อยเปื่อย ทางซ้ายของสนามหญ้าบ้าง ทางขวาบนเนินที่ตั้งศาลาหกเหลี่ยมหลังใหญ่บ้าง
กระทั่งลุถึงเฉลียงกว้าง ร่มรื่นด้วยไม้ประดับที่มีทั้งกลิ่นและไร้กลิ่น แต่เรื่องดอกตูมโตกับสีสันนั้นก็หายห่วง สดจัดแสนสวยไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย
"นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวคุณท่านจะออกมาถามอะไรนิดหน่อย" แกชี้ไปที่เก้าอี้ชุดซึ่งตั้งชิดมุม แดดส่องบางๆ
"เอ้อ คุณท่านเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ" เขาอยากมีข้อมูลไว้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง
"ถามแปลก" เสียงนี้แปร่ง ตาก็วาวขึ้นวูบหนึ่ง "ไหนคุณท่านบอกว่ามาสัมภาษณ์แล้วไม่ใช่หรือ ท่านสัมภาษณ์ด้วยตัวเองนี่ ผ่านไปสองอาทิตย์ก็ลืมแล้วหรือว่าท่านเป็นชายหรือหญิง"
ชมทองแอบหยิกต้นขาตนอย่างฉิวๆ คิดว่าตนยังไม่ควรผลีผลามบอกความจริงจนกว่าจะเจอหน้าผู้จ้างเสียก่อน เห็นทีว่าคราวต่อไปต้องระมัดระวังคำพูดให้จงหนักเสียแล้ว ส่วนเหตุเฉพาะหน้าตรงนี้ก็แถข้างๆ คูๆ ไปก่อนก็แล้วกัน
"ผมแค่ชวนคุย ไม่อยากให้คุณลุงเครียดน่ะ ตั้งแต่เราเจอกัน คุณลุงยังไม่ยิ้มให้ผมเลยสักครั้ง"
"ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อหนุ่ม อยู่นานไปสักวันครึ่งวัน พ่อหนุ่มก็จะลืมยิ้มของตัวเองไปเอง"
ประโยคนี้แฝงบางอย่างไว้ แต่ชมทองลังเลระหว่างเตือนกรายๆ หรือเสียดสีอะไรก็ไม่รู้หรอก ทว่า ขอเพียงอยู่นานไปสักวันครึ่งวัน เขาต้องรู้เข้าจนได้นั่นแหละ
เงาอลวน - บทที่ 1 - รักษ์คำ
ชมทองอกหักและตกงาน เบื้องหน้าของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ
แต่แล้วอย่างไม่คาดฝัน เมื่อชายอีกคนชื่อเดียวกันกับเขามาตายลงตรงหน้า
ความว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มด้วยโอกาส แล้วเขาก็ตัดสินใจฉวยไว้
กระทั่ง ณ ปลายทางของโอกาสนั้น เขาจึงได้พบกับเธอ.. พิมพ์เช้าผู้น่าสงสาร
บทที่ 1
เสียงทึบหนักคล้ายกับวัตถุสองชิ้นกระทบกันดึงสายตาเหม่อลอยบนทางเดินเท้าของ 'ชมทอง' ให้เหลียวไปมอง เขาเลิกคิ้วตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า อุบัติเหตุรถกระบะชนชายฉกรรจ์คนหนึ่งทำให้เขาลืมเรื่องราวมากมายที่กำลังนึกทบทวน คนอื่นปรี่เข้าไปเพื่อมุงดูเฉยๆ แต่เขาแทรกเข้าไปเพื่อช่วยชีวิต
"ไม่เป็นไรนะคุณ" เขาพยายามชวนคุยขณะประคองชายที่นอนอ่อนล้าบนพื้นถนนร้อนระอุ "คุณครับ"
"ผมต้องรีบ.. รีบ.. "
"รีบไปไหน ตอนนี้ต้องไปโรงพยาบาลก่อน ผมจะพาไปเอง"
เจ้าของรถเพิ่งหายขวัญกระเจิงหรือเปล่าก็ไม่ทราบถึงได้ลงมาดูอาการคนเจ็บช้าไปตั้งหลายนาที เจ้าตัวเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นสูงและค่อนไปทางเจ้าเนื้อ ดูจากการแต่งตัวแล้วก็เดาว่าคงเป็นนักธุรกิจรายย่อยหรือพ่อค้าที่มีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง
"ผมช่วย"
"เขาโดนกระแทกแถวหน้าอก ไม่แน่ใจว่าจะกระทบกระเทือนอวัยวะตรงส่วนไหนบ้าง เรารีบไป"
"คุณเป็นหมอหรือ"
"แค่เกือบเฉยๆ "
ชมทองเคยเรียนหมออยู่สองปี แต่ต้องลาออกเมื่อบิดามารดาหย่าร้างกัน สองฝ่ายเมินหมางใส่บุตรชาย เกี่ยงงอนว่าใครควรจะรับภาระ เขาจึงตัดสินใจออกจากบ้านไปลุยชีวิตแบบเดี่ยวๆ หางานทำไปเรื่อยและไม่คงทนถาวรสักงาน
เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือสลักสำคัญ เพราะที่ล้ำหน้าไปกว่าก็คือเขาอกหักยับเยินเพราะโดน 'พัชรภรณ์' ตีจากด้วยเหตุผลยอดนิยมทำนองว่าไปเจอคนที่ดีกว่าแล้ว ซึ่งก็ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาต้องมายืนเหม่อลอยเพื่อใคร่ครวญว่าควรจัดการกับชีวิตบัดซบของตนต่อไปยังไงดี
กว่าหมอจะมา คนเจ็บบนเปลก็ได้แต่อดทนและร้องโอดครวญเป็นระยะ พยาบาลมากมายก็ไม่อาจปลีกตัวมาดูแลเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคนไข้ที่มีอยู่ตอนนี้ก็แทบจะล้นออกไปข้างนอก
"คุณ"
"ครับ"
ชมทองหลุบมองท่อนแขนที่คนเจ็บกุมอย่างอ่อนล้า เขาโน้มตัวและเอียงหน้าเงี่ยหูจนชิดปากเพื่อให้ได้ยินว่าอีกฝ่ายกระซิบความอะไรบ้าง
"ผมต้องรีบไปรายงานตัว ผมไม่อยากตกงาน"
"สภาพอย่างนี้.. "
"ช่วยผมด้วย ผมตกงานมาหกเดือนแล้ว นี่เป็นงานแรกที่ผมจะ.. จะ.. "
คนเจ็บฝืนความเจ็บปวดภายในเพื่อกล่าวให้จบ แต่สุดท้ายก็ไม่จบ ชมทองน้ำตาซึมนิดๆ เขากลืนน้ำลายด้วยความสงสารอย่างยิ่งยวดเมื่อฝ่ายนั้นกระแอมไอแล้วกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย เจ้าตัวพยายามเลื่อนมือสั่นๆ อีกข้างล้วงอกเสื้อแล้วหยิบซองสีน้ำตาลชื้นๆ ออกมา
"นี่.. นี่.. "
"อะไรครับ"
เขารับมาพลิกแกนๆ พลางถาม แล้วค่อยใจหายเมื่อมือข้างนั้นร่วงผล็อย ไม่เว้นแม้แต่อีกข้างที่กุมท่อนแขนเขาอยู่นาน ยามเอะใจว่าทั้งร่างนั้นดูนิ่งผิดปกติ เขาจึงลองแตะจุดชีพจรพลางใจตนก็เต้นแรงขึ้น คุณพระช่วย คนเจ็บสิ้นใจแล้ว
"หมอมาแล้วครับ"
เจ้าของรถกระบะก็ใช่ว่านิ่งดูดาย เพราะเจ้าตัวก็พยายามอย่างยิ่งยวดต่อการควานหาตัวหมอว่างๆ สักคนมาช่วยดูอาการ ทว่า มาตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์เสียแล้ว
"เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้น" เจ้าตัวถามพลอยสีหน้าไม่ดีตามไปด้วย
"เขาสิ้นใจแล้ว" ชมทองบอกสั้นๆ และเบาๆ
"คุณพระช่วย"
ชมทองถอยห่างจากเปลเพื่อให้คุณหมอทำหน้าที่ต่อไป เขาออกมาสูดอากาศหน้าระเบียงที่แออัดไปด้วยคนเจ็บป่วยและเครือญาติ คิดไปว่าถ้าให้ยืนอยู่ตรงนี้ก็มีแต่จะหดหู่หัวใจ สมองก็พลอยตื้อๆ ไปด้วย
เมื่อเหลียวกลับไปดูสถานการณ์ข้างในอีกแวบ ก็คิดได้ว่าตนหมดหน้าที่พลเมืองดีลงแต่เพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือคงเป็นภาระต่อยอดของคู่กรณีกับกระบวนการทางกฎหมายแล้ว ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจปลีกตัวจากมาอย่างเงียบๆ
กระทั่งเจอสวนหย่อมที่เหมาะแก่การนั่งพักเพื่อสงบสติอารมณ์อยู่ค่อนไปทางด้านหลังอาคารที่จอแจไปด้วยผู้คน เขาจึงปรี่ไปจับจองม้านั่งใกล้ซุ้มเฟื่องฟ้าใหญ่ วางซองสีน้ำตาลชื้นๆ ลงบนตัก เงยหน้าแล้วสูดอากาศยามบ่ายแก่ๆ เข้าปอดลึกๆ
ระหว่างที่นึกไม่ออกว่าควรจัดการกับชีวิตบัดซบของตนต่อไปยังไงดี เขาก็ฆ่าเวลาด้วยการล้วงเอกสารในซองออกมาอ่านไปพลางๆ
"นายชมทอง น้องณัฐฐ์"
แหม ช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ เขาอ่านออกเสียงชื่อของคนตายหมาดๆ แล้วอดหัวเราะในใจไม่ได้ ไม่อยากขำ แต่เรื่องมันขำจริงๆ เขาเองก็ชื่อชมทองเหมือนกัน แล้วชีวิตบัดซบของเขาต่างหากที่สมควรจากโลกนี้ไป แต่ฟ้ากลับจงใจรับชายคนนี้ไปแทน ทั้งที่เจ้าตัวกำลังจะได้งานทำเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน
หนำซ้ำ ตอนฟังน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นบอกความนั้น เขายังสัมผัสได้ถึงพลังอันกระตือรือร้น แรงฮึกเหิมที่ล้นปรี่ขึ้นจากความสมหวัง ทว่า ทั้งหมดนั้นก็ถูกความตายมาขัดขวางและแย่งชิงไปหมดแล้ว
เอ๊ะ ไม่สิ เขาไม่ควรทิ้งความหวังของคนตายไปเปล่าสิ ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว ส่วนเขาเองก็ตกงาน อกหัก ชีวิตข้างหน้าว่างเปล่าไร้จุดหมาย ทำไมไม่ฉวยโอกาสนี้เติมเต็มความหวังให้คนตาย และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้ตนไม่ต้องเคว้งคว้างท่ามกลางโชคชะตาอันแสนเฮงซวยเช่นนี้ไปด้วย
"อายุสามสิบเอ็ด โสด เคยเรียนหมอแต่ไม่จบ เพราะพ่อแม่ทำการค้าไม่รุ่ง โรงงานทำเหล็กดัดเจ๊งเพราะภาวะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องลาออกมาหางานทำเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว"
เมื่ออ่านประวัติลำเค็ญของคนตายมาถึงบรรทัดนี้ ชมทองก็เงยหน้าขึ้นพลางสูดหายใจเข้าปอดอีกเฮือกลึกๆ นึกในใจว่าชายคนนี้โชคดีกว่าที่แม้จะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นเพราะสภาพครอบครัวเจอทางตัน ต่างจากเขาที่สภาพครอบครัวดูหรูในสายตาคนนอก แต่ความสัมพันธ์ภายในกลับตกต่ำดำดิ่งลงสู่ระดับแย่ที่สุด
"เอาเถอะ เป็นยามก็เป็นยาม ยังไงก็ดีกว่าเดินไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีปลายทางรอให้ถึง"
เขาเปรยกับตัวเองเมื่ออ่านไปถึงตำแหน่งงานของคนตาย ช่างเป็นยามที่หล่อเหลาเอาการทีเดียว ผีสางนางไม้ที่ออกเตร็ดเตร่ตอนดึกๆ คงหลงโฉมกันน่าดู หรือแม้แต่ตัวเขาเองก็เถอะ ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ความหล่อเหลาฝ่ายตนก็เอาเรื่องไม่ใช่น้อย ถ้าวัดกันด้วยคะแนนก็คงสูสีระหว่างเก้าสิบเก้ากับเก้าสิบเก้าจุดห้านั่นแหละ
"ผมขอโทษนะที่ทำเหมือนตัวเองเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนตายแล้วอย่างคุณ"
เขางึมงำส่งความไปถึงคนตายพลางสอดเอกสารทั้งหมดใส่ซองดังเดิม เวลาไม่คอยท่าแล้ว เขาไม่ควรโอ้เอ้หม่นหมองอยู่ตรงนี้ ต้องรีบเดินทางเพื่อไม่ให้ผิดเวลานัดจนผู้จ้างทางโน้นฉวยเป็นเหตุผลยกเลิกการจ้างเอาได้
"เอาอย่างนี้นะคุณชมทอง" เขาลุกขึ้นพลางกล่าวเบาๆ ฝากไปกับสายลมเฉื่อยๆ "เงินเดือนที่ได้มา ผมจะส่งให้ทางบ้านคุณด้วย ขอให้รับรู้ไว้ว่าผมไม่มีเจตนาร้าย แค่อยากช่วยให้ความสมหวังของคุณเป็นจริง และส่วนหนึ่งก็ช่วยให้ตัวเองมีจุดหมายขึ้นมาอีกนิดหน่อยเท่านั้น"
ก็ได้แต่หวังว่าสายลมเฉื่อยๆ แถวนี้จะหอบทุกถ้อยคำของเขาไปให้ถึงคนตายหมาดๆ เมื่อไปถึงทางโน้นแล้ว รอไว้ให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเสียก่อน เขาจะหมั่นตักบาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
'คฤหาสน์ยุรวัฒน์' หาไม่ยากเมื่อไต่ไปตามแผนที่ที่ระบุไว้ในเอกสาร ชมทองหยุดนิ่งหน้าประตูเล็กเพื่อสูดหายใจลึกยาว จากนั้นจึงตัดสินใจกดกริ่ง ทว่า ก็แค่ตัดสินใจและมือก็เพิ่งจะเอื้อมไปยังไม่ทันได้แตะถึงกริ่งใต้ซุ้มตุ๊กตาสีชมพูเลย ประตูเล็กก็ถูกเปิดจากข้างในเสียก่อน คนเปิดเป็นชายสูงวัยเยี่ยมหน้าออกมามองเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะถามว่า
"มาพบใครหรือพ่อหนุ่ม"
"ผมมาจากกรุงเทพครับ เอ้อ นี่ครับจดหมายเรียกให้มารายงานตัว"
แล้วชมทองก็ค่อยเห็นว่าชายสูงวัยตัวสูงมาก ผิวขาวผ่อง ผมสีดอกเลาบนศีรษะแทบจะกลืนกินสีดำอยู่รอมร่อ เขาไม่แน่ใจว่าสายตาคู่นั้นยังใช้งานได้คมชัดดีแค่ไหน แต่ก็สังเกตเห็นว่าเจ้าตัวไม่สวมแว่น
"คุณลุงมองเห็นไหมครับ" เขาถามอย่างมีน้ำใจ อยากช่วยอ่านให้ถ้าแกมองไม่เห็นจริงๆ
"สายตาฉันยังดี เห็นอะไรต่อมิอะไรคมชัดกว่าหนุ่มๆ สาวๆ เยอะเลย เอ้า เอาคืนไป แล้วตามเข้ามา"
"รู้ได้ยังไงว่าผมมายืนอยู่หน้าบ้าน"
"ไม่รู้หรอก บังเอิญเปิดมาเจอเฉยๆ "
ชมทองหัวเราะในใจ ออกจะขบขันว่าระยะนี้โชคชะตาของตนค่อนไปทางประหลาดสักหน่อย พบเจอแต่เรื่องบังเอิญไม่หยุดหย่อน เจออุบัติเหตุบนถนนสายที่ตนเหม่อลอย คนตายชื่อชมทอง ตนสวมรอยมาทำงาน แล้วประตูก็เปิดต้อนรับ
"คุณลุงจะไปไหนหรือครับ" เขาชวนสนทนาหลังจากช่วยปิดประตูเล็กให้ แล้วเดินตามหลังมาเนิบๆ
"จะออกไปดูจดหมายให้คุณท่านเฉยๆ "
"ไม่มีหรอกครับ" เขารีบบอกเพราะก่อนจะหยุดหน้ากริ่งก็แง้มฝาตู้จดหมายเพื่อทำใจนิดหน่อยแล้ว
"ฮื่อ ฉันก็เห็นแล้วว่าไม่มี เอ้า นั่งรอตรงนี้ก่อน ฉันต้องไปเรียนคุณท่านก่อน"
แกชี้ไปยังศาลาไม้ใต้ร่มเงา ถัดไปก็เป็นสระบัว น้ำพุกลางสระกำลังฉีดพุ่งเป็นฝอยกระจัดกระจาย ก็ดี นอกจากร่มรื่นแล้ว ยังได้ละอองจากน้ำพุช่วยให้สดชื่นขึ้นอีกเล็กน้อย ชมทองสำรวจโดยรอบจนพอใจแล้วจึงค่อยนั่งสำรวมลงบนม้าหินอ่อนตัวหนึ่งพลางมองตามคุณลุงตัวสูงเดินกระฉับกระเฉงหายเข้าไปในตัวตึกอันโอ่อ่า
ร่วมสิบนาทีทีเดียวกว่าคุณลุงตัวสูงจะย้อนกลับออกมา แกชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจที่เห็นเขาไม่รอในที่ที่แกสั่งให้รอ แต่เขาไพล่มาสนทนาเพลินๆ กับสาวใช้ที่บังเอิญมาให้อาหารปลาพอดี
"ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะ สั่งให้รอตรงไหนก็ต้องรอตรงนั้น จะเดินเพ่นพ่านตามใจชอบไม่ได้ เข้าใจด้วยนะพ่อหนุ่ม"
สาวใช้ชื่อ 'เจือแก้ว' อมยิ้มตอนเขาโดนเอ็ดเสียงเขียว เขาวางหน้าเรียบเฉยเหมือนว่าไม่อาย แต่ความจริงก็อายนิดหน่อย ไม่นึกว่ามาถึงวันแรกก็โดนดีเข้าเสียแล้ว ท่าทางว่ากฎระเบียบของคฤหาสน์หลังนี้ต้องเข้มงวดเคร่งครัดกันน่าดูเชียว
"เสร็จหรือยัง" แกหันไปถามเจือแก้วที่ยังยืนยิ้มเล็กยิ้มน้อย
"เสร็จแล้วค่ะ"
"ก็ไปเสียทีสิ ยืนฟังอะไรอยู่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก"
ชมทองเกิดอาการกระหายใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่าคุณลุงตัวสูงคนนี้มีฐานะตำแหน่งอะไรในคฤหาสน์สวย เหมือนว่าแกจะเบ่งอำนาจข่มคนอื่นได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เขาที่เพิ่งจะมาถึงวันนี้
"ที่นี่มีกฎระเบียงเคร่งครัดนะพ่อหนุ่ม รับได้ก็อยู่ได้ ถ้ารับไม่ไหวก็คงต้องจากลากันเร็วๆ นี้"
"บอกหรือเตือนครับ เอ๊ะ หรือว่าขู่ข่มขวัญไว้ก่อน"
"อยากคิดยังไงก็เชิญ"
แกยักไหล่ไม่ยี่หระว่าโดนเขายอกย้อนเสียงนุ่มๆ แต่ก็ยังแถมสาดตาขุ่นมาบอกอารมณ์ฉิวๆ กันอีกเล็กน้อย เขาเม้มปากและพยายามซ่อนยิ้มขบขัน ขณะเดินตามหลังก็พาสองมือไพล่หลัง สายตาก็กวาดไปเรื่อยเปื่อย ทางซ้ายของสนามหญ้าบ้าง ทางขวาบนเนินที่ตั้งศาลาหกเหลี่ยมหลังใหญ่บ้าง
กระทั่งลุถึงเฉลียงกว้าง ร่มรื่นด้วยไม้ประดับที่มีทั้งกลิ่นและไร้กลิ่น แต่เรื่องดอกตูมโตกับสีสันนั้นก็หายห่วง สดจัดแสนสวยไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย
"นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวคุณท่านจะออกมาถามอะไรนิดหน่อย" แกชี้ไปที่เก้าอี้ชุดซึ่งตั้งชิดมุม แดดส่องบางๆ
"เอ้อ คุณท่านเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ" เขาอยากมีข้อมูลไว้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง
"ถามแปลก" เสียงนี้แปร่ง ตาก็วาวขึ้นวูบหนึ่ง "ไหนคุณท่านบอกว่ามาสัมภาษณ์แล้วไม่ใช่หรือ ท่านสัมภาษณ์ด้วยตัวเองนี่ ผ่านไปสองอาทิตย์ก็ลืมแล้วหรือว่าท่านเป็นชายหรือหญิง"
ชมทองแอบหยิกต้นขาตนอย่างฉิวๆ คิดว่าตนยังไม่ควรผลีผลามบอกความจริงจนกว่าจะเจอหน้าผู้จ้างเสียก่อน เห็นทีว่าคราวต่อไปต้องระมัดระวังคำพูดให้จงหนักเสียแล้ว ส่วนเหตุเฉพาะหน้าตรงนี้ก็แถข้างๆ คูๆ ไปก่อนก็แล้วกัน
"ผมแค่ชวนคุย ไม่อยากให้คุณลุงเครียดน่ะ ตั้งแต่เราเจอกัน คุณลุงยังไม่ยิ้มให้ผมเลยสักครั้ง"
"ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อหนุ่ม อยู่นานไปสักวันครึ่งวัน พ่อหนุ่มก็จะลืมยิ้มของตัวเองไปเอง"
ประโยคนี้แฝงบางอย่างไว้ แต่ชมทองลังเลระหว่างเตือนกรายๆ หรือเสียดสีอะไรก็ไม่รู้หรอก ทว่า ขอเพียงอยู่นานไปสักวันครึ่งวัน เขาต้องรู้เข้าจนได้นั่นแหละ