The guardian-เกมรักพิทักษ์ใจ บทที่ 10

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มอ่าน  ตามได้ที่
บทนำ http://ppantip.com/topic/32046546
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/32102961  บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/32333496
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/32342880  บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/32944640
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/32956425  บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/32965746
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/32986942  บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/33054093
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/33101361
The guardian-เกมรักพิทักษ์ใจ

โดย พิมพ์สราญ(ตฤณภัทร)

บทที่ 10


              เสียงหัวใจเต้นรัวในอกขณะนี้เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีถึงการทำงานของร่างกายที่กำลังเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดจากการที่เจ้าของร่างนั้นทั้งวิ่ง และตะเกียกตะกายเพื่อให้ร่างอวบผ่านสิ่งกีดขวางไปอย่างยากลำบาก ร่างกายทำงานหนักจนสมองแทบจะหยุดทำงาน คิดแต่ว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นจากสถานการณ์นี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอคลาดกับพี่ชายเพียงไม่กี่นาที

          ...    ที่ทำให้เธอได้รู้โฉมหน้าของคนที่กำลังคุกคามเพื่อนสนิทของตน

              ‘โอ้ย’ ร่างอวบอุทานออกมาเมื่อข้อเท้าพลิกทำให้เสียหลักล้ม และเจ็บเพิ่มเข้าไปอีกเมื่อน้ำหนักกว่าเจ็ดสิบกิโลกรัมของตนเองทำโถมลงมาผสมโรงทำให้แขนข้างที่โดนทับเลือดไหล ร่างอวบกัดฟันลุกขึ้นและยิ้มอย่างยินดีเมื่อเธอหลุดออกมาข้างร้านค้าแล้ว แต่ดูเหมือนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามพฤกษ์คงกำลังรอเธออยู่ ไม่แน่เฉินหย่งเหออาจจะมาแล้วก็ได้ เธอต้องรีบไปเตือนเขา

              พัชภิชาก้าวเดินตรงไป เธอเห็นเหมือนพฤกษ์กับเฉินหย่งเหอเถียงกันอยู่หน้าร้าน เด็กสาวโล่งใจก่อนตัดสินใจข้ามถนนไปหาทั้งคู่
    ‘ปรื้นนนนนนนนนน’ เสียงแตรยาวและไฟหน้ารถที่สาดมานั้นไม่ทำให้เธอตกใจเท่ากับหน้าคนขับ แต่สติบอกให้เธอหนีไปให้ไกลจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็ทำได้เพียงหลีกอวัยวะบางส่วนให้พ้นจากวถีรถสัญชาติยุโรปคันโต รู้ตัวอีกทีร่างของเธอก็กระเด็นไปไกลจากจุดนั้นพร้อมสติที่เลือนราง


               “เฮ้ พาย ตื่นสิ” เสียงเรียกใกล้หูนั้นเรียกสติที่กระจัดกระจายเหมือนฝุ่นผงที่โดนสะบัดกลับมารวมกันอีกครั้ง    “เต๋อซั่ว ขับเร็วกว่านี้อีกหน่อย ประสานโรงพยาบาลแล้วใช่ไหม” เสียงนั้นสื่อถึงอารมณ์ร้อนใจของผู้พูดได้เป็นอย่างดี

              “ครับ แต่ผมว่าคุณต้องไปประชุมนะ อย่างที่คีย์บอก” หานเต๋อซั่วเอ่ย    “ไม่งั้นล่ะก็เจ้าพวกนั้นอาจรู้ว่าเราสับขาหลอก แผนพังกันพอดี”

              คำเตือนของลูกน้องคนสนิททำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงัก สามเดือนที่ผ่านมาคนที่อยู่ในเงามืดรุกหนักขึ้น จากที่มีการก่อกวนคลายต้องการให้ผู้นำตระกูลอย่างเขาเดือดร้อนจนต้องเข้าโรมรันด้วยตนเอง แต่เขาและบิดามีความคิดเห็นตรงกัน ว่าในเมื่อตระกูลเฉินหันหลังให้กับอดีตแล้ว ก็ควรเดินหน้าอยู่กับปัจจุบัน และรับมือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติ

            “ถ้าตอนนี้ยังเป็นเหมือนสมัยที่เรารุ่งเรืองในเรื่องนั้น ฉันจะไม่แปลกใจเลยให้ตาย” เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยความแปลกใจ ถ้าเป็นเมื่อห้าสิบปีก่อนความเกรียงไกรของตระกูลเฉินในฐานะผู้มีอิทธินั้นแผ่กระจายอำนาจทั่วฮ่องกงหลังจากการบุกเบิกการค้าของตระกูลเฉินได้ไม่นาน อิทธิพลของตระก็แผ่ขยาย กิจการรุ่งเรือง ทั้งอำนาจนั้นยังรุ่งเรืองยิ่งกว่า เรียกได้ว่าไม่มีใครขัดขืนตระกูลเฉินได้ แต่นั่นเป็นเพียงอดีต หลังจากที่บิดาของเขาได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อจากลุงซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของบิดา ตระกูลเฉินก็ค่อยๆถอยออกจากเงามืดอย่างช้าๆ

            ...จนเรียกได้ว่าอยู่ในที่สว่างได้เต็มที่ในยุคที่ตระกูลเฉินได้รับการนำโดยเฉินหย่งเหอ

            เพราะการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปของบิดา ผสานกับการที่ธุรกิจของตระกูลของเขาเข้มแข็งด้วยการคิดค้นนวัตกรรมซึ่งเป็นตัวทำเงินจากเขา และการบริหารงานอันทรงประสิทธิภาพ ทำให้การเป็น ‘ขาใหญ่’ นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป สมาชิกในตระกูลทุกคนนั้นสามารถมีกินมีใช้โดยไม่ต้องทำงานผิดกฎหมาย เหลือไว้แต่เพียงกำลังไว้ปกป้องตัวเอง ตระกูลเฉินก็ยิ่งใหญ่ได้อย่างสง่าผ่าเผย

            ...ด้วยความช่วยเหลือจากคนคนหนึ่ง เดอะคีย์

            “นั่นสินะ” หานเต๋อซั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด    “เคีย์เองก็คิดวิธีให้นายแบบดักหน้าดักหลังขนาดนี้ ยังจับมือใครดมไม่ได้เลย”

           “ฉันเริ่มเชื่ออย่างที่เจ้าตัวแสบบอก” เฉินหย่งเหอพูด นึกถึงข้อสันนิษฐานที่อาวุธลับของเขาได้บอกเขาตั้งแต่ปีแรกๆที่มีการก่อกวน แต่เขาไม่อยากจะเชื่อนัก

            ‘ไม่ใช่คนนอกแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม’ ผู้ช่วยอเนกประสงค์ของเขาที่ซ่อนในเงามืดหรือ ‘เดอะคีย์’ บอกอย่างนั้น นอกจากนี้ยังแนะนำเขาในหลายเรื่องจนการปองร้ายทุกครั้งนั้นทำให้เขาไม่ได้รับอาการบาดเจ็บอะไรเลย มีเพียงตัวแทนที่ส่งไปสับขาหลอกเท่านั้นที่ได้รับผล ทว่าก็ไม่เคยมีใครตาย จนกระทั่งคืนที่เขาแย่งตัวพัชภิชามาจาก ‘เดอะคีย์’ นั่นแหละที่รถตัวแทนของเขาโดนระเบิดจนคนของเขาเสียชีวิตถึงสามคน

            ...พัชภิชาคงไม่เชื่อแน่ว่าที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหล่อนทั้งนั้น ใครใช้ให้เขาต้องเพิ่งเดอะคีย์ ทั้งที่ก็ต้องปกป้องเธอล่ะ ทางเลือกนี้คงดีที่สุด

           “เฮือก” เสียงที่ลอดลำคอของพัชภิชาพร้อมกิริยาที่สะดุ้งของหญิงสาวเรียกความสนใจจากชายหนุ่มซึ่งตอนนี้กำลังโอบหญิงสาวไว้

           “เฮ้ ตื่นแล้วเหรอ เธอเป็นอะไรกันแน่เนี่ย” ชายหนุ่มสอบถาม อาการหลายครั้งที่หญิงสาวแสดงทำเอาเขาเป็นห่วงเธอได้ไม่น้อย

            “ตาเนิร์ด” พัชภิชาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงขาดห้วง หญิงสาวหอบเหมือนเหนื่อยกับอะไรบางอย่าง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาแตกตื่นคงหนีไม่พ้นคำเรียกขาน เพราะมีเพียงยัยอ้วนเมื่อสามปีก่อนเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้

             “ เธอจำได้แล้ว” เขาถามอย่างประหลาดใจแกมดีใจ

             “ฉันไม่ได้โดนรถชน ฉันโดนไล่ชน มันจะเก็บนาย ชั้นเห็น” เธอเล่าแต่ก่อนจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมอาการปวดศีรษะก็พุ่งเข้าเล่นงาน ร่างบางทำหน้าเหยเกจากความเจ็บปวดที่เข้าเล่นงานจนไม่สามารถพูดอะไรต่อได้

             “อะไรนะ มีคนจะฆ่าเธอ พาย เป็นอะไร” ชายหนุ่มที่โดยคำพูดจากปากหญิงสาวร่างบางเล่นงานจนจุก ถามต่อ และชะงักเมื่อเห็นว่าอาการเธอนั้นแย่ลง    “พายไม่เป็นไร ปวดหัวก็ไม่ต้องพูด จะถึงโรงพยาบาลแล้ว” เขาปลอบเธอเสียงเบาพร้อมโอบกระชับร่างบางเข้าสู่อ้อมแขน

             “ชั้นต้องเตือนนาย ต้องเตือน” เธอพูดด้วยเสียงแผ่วคล้ายคนหมดแรงก่อนจะนิ่งไป ทันในนั้นเสียงเรียกเข้าอันเป็นเสียงเฉพาะของคนคนหนึ่งก็ดังขึ้น  ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์เครื่องบางมาเปิดพร้อมรับสาย

              “นายไม่ไปประชุม บ้าหรือเปล่า” เดอะคีย์เริ่มประโยคด้วยการต่อว่า บนโลกนี้จะมีกี่คนเชียวที่กล้าใช้เสียงแบบนี้กับเขา

              “ก็เธอไม่สบาย ฉันส่งคุณเหวินไปแล้ว” เขาหมายถึงกรรมการคนหนึ่งในบริษัทที่เป็นตัวแทนซึ่งสามารถประชุมผู้ถือหุ้นแทนเข้าได้
    “ที่ฉันจะด่าคือ นายบอกว่านายท้องเสีย แล้วเจ้าบ้าเต๋อซั่วติดต่อโรงพยาบาล อะไรที่ทำให้นายทำหลุดแผนที่ฉันวางหา” ปลายเสียงเอ่ยช้าชัด   “แล้วรู้อะไรไหมทุกคนในนั้นต้องการความคืบหน้าเพราะเป็นห่วงท่านผู้นำสูงสุด โรงพยาบาลเราก็แจ้งว่านายจะเข้ารักษาที่นั่น กำลังไปถึง เหอะ ฉันบอกจนปากแทบฉีกว่าว่าให้ระวัง”

               “คงไม่ได้หมายถึง” ชายหนุ่มเริ่มประติดประต่อเรื่อง

                “เออ ถ้าสิ่งที่ชั้นเพียรบอกนายมาเป็นปีๆเป็นจริงละก็ เส้นทางเดียวที่เชื่อมตึกของนายกับโรงพยาบาลนั่นคงมีญาติๆมารอลุ้นอาการนายเป็นพรวน” เสียงนั้น-ดัน

               “เต๋อซั่วกลับรถ” เฉินหย่งเหอสั่งลูกน้องคนสนิทเสียงเข้ม หานเต๋อซั่วรับคำก่อนจะรีบกลับรถ ชายหนุ่มมองทางอย่างระแวดระวังขอให้เจ้าคีย์นั่นคิดผิดด้วยเถอะ เพราะถ้าไอพวกที่จ้องเอาชีวิตเขามีสายเป็นระดับหัวหน้าในตระกูลละก็ไม่มีที่ไหนที่จะเก็บเขาได้สะดวกเท่ากับถนนสายนี้ซึ่งเป็นถนนส่วนบุคคลที่ตัดตรงไปสู่โรงพยาบาลที่ตระกูลเขาเป็นเจ้าของแล้ว

               อาการป่วยของพัชภิชาทำให้เขาลืมคิดไปสนิท ทั้งๆที่เขาไม่ได้ใช้ถนนสายนี้มา5 เดือน ตามคำแนะนำ ของคีย์!

              “พายๆๆ ตื่นๆๆ” ชายหนุ่มตบที่แก้มหญิงสาวในอ้อมกอดเบาๆ เพื่อให้เธอตื่นตัวหากมีกรณีฉุกเฉิน

              “ฉันตื่นแล้ว ฉันแค่ผะอืดผะอม แล้วนี่ใครช่วยอธิบายมั้ยว่าเรากำลังจะไปไหน” พัชภิชาพูดจาเต็มเสียงก่อนที่จะเอ่ยปาก    “ขอถุงพลาสติกหน่อยฉันไม่ไหวแล้ว” พูดแล้วก็ต้องเอาสองมือปิดปาก เฉินหย่งเหอเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามหาสิ่งที่หญิงสาวขอ ทว่าดูเหมือนจะไม่ทัน เพราะพัชภิชาชิงกระโจนไปที่กระจกรถ มือบางกดเพื่อเปิดกระจก เมื่อบานใสลดระดับลง

                “แหวะ” ร่างโปร่งชะโงกหน้าไปอาเจียนเอาอาหารที่ปั่นป่วนลำไส้ออก และถอนหายใจเมื่อรู้สึกโล่งสบายท้องแต่ทว่ากลับเห็นสิ่งผิดปกติ

                “เฮ้ย รถ เฮ้ยปืน เฮ้ย เฮ้ย มาแล้ว”     หญิงสาวตะโกนเสียงดังอันที่จริงขบวนรถพวกนั้นก็ตามมาในระยะที่ค่อนข้างไกล ทว่าพัชภิชาเป็นคนสายตาค่อนข้างดีและคลุกคลีกับอาวุธหลายประเภท ประสาทรับรู้จึงเร็วกว่าคนทั่วไป

               “เข้ามา” เฉินหย่งเหอพูดพลางดึงหลังคอพัชภิชาเข้ามาในรถก่อนปิดกระจก ชายหนุ่มดึงแผงควบคุมบนหลังคารถลงมาก่อนเปิดเป็นโหมดป้องกันตัว

              “ส่งสัญญาณฉุกเฉินไปแล้วครับผม” หานเต๋อซั่วบอกในขณะที่เร่งเครื่องรถ เข้าเห็นความผิดปกติก่อนพัชภิชาเพียงเสี้ยววินาที    “แปลก ทำไมยังไม่มากันอีก”

              “เออ หมายถึงขบวนรถสีดำๆข้างหน้าเปล่าคุณเต๋อซั่ว” พัชภิชาถามพลางชี้ให้ดูกลุ่มรถยนต์สีดำที่วิ่งมาเต็มถนนเข้าหารถของพวกเขา แต่หานเต๋อซั่ วกลับมีทีท่าตกใจ

              “เอาแล้วไหม ไม่มีสัญญาณซักคัน ไม่ใช่พวกเรา” หานเต๋อซั่วเอ่ยออกมาเมื่อไม่พบสัญญาณติดตามที่ติดไว้กับรถของทีมบอดี้การ์ดในหน้าจอแสดงผล นั่นหมายความว่ารถที่บีบเข้ามาทั้งสองทางเป็นคนพวกอื่น ที่ไม่ได้หวังดีแน่ๆ

             “กระจกกันกระสุนใช่ไหม” พัชภิชาถามเมื่อและเห็นคนทางด้านหลังกำลังเล็งปืนมา    “ไหนว่าไม่ใช่มาเฟีย หลอกลวง” เธอค่อน

             “ก็ไม่ใช่ไง” เฉินหย่งเหอเถียง

              “เอาปืนมาให้ฉันเลยนะ” พัชภิชาทวง สถานการณ์แบบนี้มีปืนไว้เธอคงอุ่นใจกว่า

               “ผมต้องขับตรงไป ข้างหน้าทะลุโรงงานเก่าได้ น่าจะไปทะลุออกที่ไหนซักแห่ง” หานเต๋อซั่วว่า เขาหมายถึงดงต้นไม้ด้านหน้าซ้ายมือ ซึ่งถ้าทะลุไปก็น่าจะออกถนนใหญ่แล้ว พัชภิชาฟังอย่างครุ่มคิด พร้อมรถเริ่มสะเทือนเพราะถูกโจมตี

           “อย่าแม้แต่คิดว่าจะชะโงกไปยิงกะพวกมัน” เฉินหย่งเหอสำทับทันที่ปืนตกอยู่ในมือพัชภิชา

                “เออ” พัชภิชาว่าพลางเปิดกระจกเล็งองศาปืนไปยังรถยนต์ที่มาใกล้ที่สุด จริงๆแล้วนอกจากการยิงปืนอีกกีฬาที่เธอชอบไม่แพ้กันคือสนุกเกอร์

                 “มามะ เดี๋ยวเจ๊เคลียร์ให้” พัชภิชาพูดอย่างหมายมาด แปลกที่เธอไม่กลัวเท่าที่คิด เหมือนรอเวลานี้มานานแล้ว

*******จบบทที่ 10********
คุยกันนิดนึง

   เอาบทที่ 10 มาเสิร์ฟแล้วค่ะทุกคนนนนน  เริ่มเข้มข้นแล้ว ยิงกันแล้ว เย่ๆๆๆๆ ยังไงฝากติดตามผลงานกันด้วยนะคะ รอดูกันดีกว่าว่าพายของเราจะทำอะไร    แล้วสงสัยต้องเปลี่ยนนามปากกาเพราะเจอคนใช้ตฤณภัทรในเด็กดี แป่ววว  แต่เอาเป็นว่าฝากติดตามผลงานด้วยเน้อ
        รักคนอ่าน จุ๊บุ
      พิมพ์สราญ(ตฤณภัทร) AKA ชะนีฟรีแลนซ์ คิคิ

      [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่