แดนพฤษา : ตอน พรหมลิขิต

กระทู้สนทนา
แดนพฤษา
พรหมลิขิต    1


         ริน หรือ เมษรินทร์ สาวพริตตี้ที่มีงานทั้งไทย และเทศ กำลังผันตัวเป็นเจ้าของร้านเครื่องสำอางค์และกระเป๋าแบรนด์ของตัวเอง กำลังง่วนกับการจัดตกแต่งร้านของเธอ ที่กำลังจะเปิดบริการอย่างเป็นทางการ ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี่แล้ว
     ในขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดร้านอยู่นั่นเอง เพื่อนสาว 4 คน ก็เปิดประตูเข้ามาทักทายเธอ ษา ภัทร เนย และสมายนั่นเอง

        “อ้าว...พวกแก ยกพวก จะมาพังร้านฉัน ตั้งแต่ยังไม่เปิดบริการเลยหรือ” รินทำท่าทางหน้าตา น่าสงสารสุดกำลัง
        “บ้าหรือไงแก คนเขาหวังดีจะมาช่วย ดันว่าเขาซะได้ เจออย่างนี้พวกเรากลับเหอะ” ษาทำท่างอนเพื่อน และคว้ามือเพื่อนทั้งสามที่มาพร้อมกัน ทำทีจะกลับ
        “แซวแค่นี้ ทำน้อยใจไปได้ แกนี่ขี้ใจน้อยไม่เปลี่ยน” รินรีบพูดเบรก
        “ริน...แกก็รู้ว่ายัยษา มันคิดมากจะตาย โดยเฉพาะเรื่องวันนี้ มันเป็นตัวตั้งตัวตี ลากพวกฉันมาเลยนะแก” ภัทรบ่นริน
        “ใช่...ถ้าไม่ได้มัน ฉันไม่ยอมให้แก เปิดร้านขายเครื่องสำอางค์หรอกจ๊ะ” สมายสมทบ
        “เพราะแกกลัวจะมาเสียตังค์ ซื้อของมันหมด เอ! หรือว่า จะมาขลุกอยู่ที่ร้านมัน ซื้อทุกอย่างที่มีในร้านมันล่ะ” เนยพูดแซวสมาย
        “แกก็รู้ทันฉันซะเหลือเกินนะจ๊ะ” สมายหยอกกับเนย    

     เพื่อนทั้ง 5 คน ถึงกับครื้นเครงขึ้นมาทันที และเริ่มลงมือกันคนละมือสองมือ เพื่อช่วยให้ร้านของสาวริน พร้อมสำหรับการเปิดอย่างเป็นทางการในไม่กี่วันข้างหน้านี้

       “เออ...ภัทร ฉันว่าจะเอาคอนแทคเลนส์ของบริษัทแกมาลง ที่ร้านฉันบ้างน่ะ” รินหันมาถามภัทร                    
       “ได้สิ...เดี๋ยวฉันจะเอาแคตตาล็อกมาให้เลือกแล้วกัน” ภัทรในขณะที่มือก็ทำงานอยู่  แล้วหันไปถามเนยต่อ
       “เออ...ว่าแต่เนย คอลเล็คชั่นเสื้อผ้าที่แกออกแบบที่ร้านของแกกับสมายมันจะออก ตอนไหนนะ”
       “ สงสัยฉันจะได้เงินจากลูกค้าเจ้าประจำมาเข้ากระเป๋า ฉันแล้วโว้ย” สมายแซวภัทร
       “ ก็ประมาณสิ้นเดือนนี้แหละ รับรองมีสีโปรดของพวกแกทุกคนแน่นอน” เนยตอบแทน                      
       “เอ้อ...แล้วแกทำเสร็จไปกี่เปอร์เซนต์แล้วล่ะ ฉันลากแกมา ทำให้งานแกล่าช้าหรือเปล่า” ษาเริ่มกังวล
       “ช้า...ช้ามาก สงสัยจะเสร็จไม่ทันแน่ เพราะแกเลยยัยษาให้ฉันมาช่วยรินเนี่ย” เนยทำหน้าตาเครียด และวิตกกังวลขึ้นมาทันทีที่พูดถึงงานของตัวเอง
       “เฮ้ย...จริงหรอ งั้นแกรีบกลับไปทำงานแกก่อนเถอะ เราไม่ตั้งใจเห็นแกนอนอยู่บ้าน เลยชวนมา ฉันขอโทษ” ษารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ที่ทำให้งานเพื่อนล่าช้า                

     แล้วเพื่อนทั้งสี่ ก็หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูให้กับษา

         “เนย...แกก็แกล้งมันไม่หยุด รู้ก็รู้ว่ามันเป็นแบบนี้” ภัทรพูดออกมาในที่สุด
         “เออ...งานก็เสร็จหมดแล้ว เหลือแค่เช็คอีกรอบ และก็เก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย แต่ก็สนุกดีกับการแกล้งแก...ษา” สมายยืนยันอีกคน            

     ษาวิ่งเข้าหาเพื่อนทั้งสอง พร้อมไม้ขนไก่ในมือ ไล่ตีทั้งสองอย่างสนุกสนาน เป็นที่ขบขันและน่าเอ็นดู ในสายตาของแนนและอร ลูกจ้างที่รินจ้างมาทำงานที่ร้านของเธอ

        “พูดถึง...เราก็มีร้านกันเป็นของตัวเองหมด ยกเว้นแก ...ยัยภัทร ที่เกินหน้าเกินตาคนอื่น มีบริษัทเป็นของตัวเอง” ษา หลังจากวิ่งไล่ตีเพื่อนที่ชอบแกล้ง ชอบอำเธอ จึงหันไปมองภัทร ทำท่าอิจฉาจนเกินเหตุ ก่อยจะพูดกับทุกคน
        “ฉันว่าเรามาเพิ่มยอดขายโดยการ เอาของแต่ละคนมาวางฝากขายร้านของพวกเรา ดีไหม”
        “ยังไงล่ะ” เนยยังคงงงๆ
        “แกนี่เอ๋อ...ไม่เลิก ฉันคิดผิดหรือเปล่าเนี่ย ที่ให้แกมาเป็นดีไซน์เนอร์กับหุ้นส่วนที่ร้านเนี่ย” สมายถอนหายใจ
       “อย่างเราก็เอา เสื้อผ้าบางส่วนมาลงที่ร้านริน ษา และภัทรไง”    สมายพูดด้วยท่าทางเหมือนครูสอนเด็กกับเนย  
       “และแกก็เอาคอนแทคเลนส์ฉัน เครื่องประดับที่ษาออกแบบที่ร้านของมัน และเครื่องสำอางค์กับกระเป๋าของริน ไปวางขายที่ร้านแกไง” ภัทรต่อประโยคให้สมาย
       “ ฐานลูกค้าแก ก็จะเห็นสินค้าของฉัน ษา และภัทร ก็เท่ากับเราสามารถขยายฐานลูกค้าของแต่ละคนไปในตัวไง” รินสมทบอีกคน
       “อ๋อ! อืมม์...ก็ดีน่ะ น่าสนใจดี” เนยที่เพ่งจะเข้าใจ
       “แสดงว่า นี่เป็นโครงการในอนาคตของเรา เลยนะ” ษาสรุป                
       “แกนี่จอมโมเมอีกแล้ว” เพื่อนทั้งสี่พูดเป็นเสียงเดียวกัน
       “หรือไม่สนล่ะ” ษาโต้กลับ
       “ไม่มีทาง! เรื่องเงิน...เรื่องใหญ่” เพื่อนทั้งสี่ไม่ยอม

     และทุกคนก็ช่วยกันจัดร้านอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่า หลังจากนี้ พวกเธอจะเจอบททดสอบ อีกครั้งหนึ่งในชีวิต ที่อาจจะเปลี่ยน ความคิด และชีวิตของพวกเธอ ให้ต่างไปจากทัศนคติ มุมมองที่พวกเธอเป็นอยู่ในขณะนี้        
    
     โลกมักมีบททดสอบ มาให้เราเสมอ เพื่อให้เราระลึกไว้ว่า เรายังคงเป็นคนดี และเพื่อให้เรา พบความสุข ที่เป็นความสุข เพราะถ้าหากเรา ไม่พานพบความทุกข์ และการฝ่าฝัน เราจะไม่สามารถรับรู้ได้ และเห็นคุณค่า ในสิ่งนั้นๆ ที่เราได้มา หรือ มีอยู่ในมือ                         
     สิ่งใดที่เรามี สิ่งใดที่เราได้มา เราควรจะเก็บรักษา และดูแลเอาใจใส่มัน อย่างรู้คุณค่าของมัน ก่อนที่เราจะเสียสิ่งนั้นไป ก่อนที่เราจะต้องมานั่งเสียใจ กับสิ่งที่เราเสียไป เพราะ เราอาจจะไม่มีวันได้สิ่งนั้นคืนกลับมาอีกครั้ง

เวนิช วานิช



########################



     ลงตอนที่ 2 กันต่อเลย มีใครรออ่านอยู่บ้างเอ่ย ถ้าผิดพลากประการใด ขออภัยจริงๆ และแนะนำ ติ มาได้ พร้อมจะแก้ไขค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่