เรียนดี
นะครับไม่ใช่ เรียนเก่ง
พอดีในกระทู้เก่า
http://ppantip.com/topic/33029848
ได้มีผู้ที่ถามผม ไว้อย่างนี้
---------------
ความคิดเห็นที่ 6
.... ตอนเลี้ยงเขาตั้งแต่เด็กเป็นยังไงบ้างครับ พอเล่าเป็นประสบการณ์ได้มั้ยครับ ลูกผมยังเล็กอยุ่แต่ก็กลัวว่าโตขึ้นจะเป็นแบบลูกเจ้าของกระทู้เหมือนกัน
ส่วนตัวผมเองชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กครับ เรื่องเรียน พ่อ แม่ไม่เคยต้องยุ่งเลยครับ ตั้งแต่ ป.1 ยันปริญญาโท แต่ผมเองก็ไม่กล้าเลี้ยงแบบพ่อแม่ผม กลัวลูกเสียคนครับ จะปล่อยก็ไม่กล้า จะเลี้ยงดูแบบเคี่ยวเข็ญก็กลัวลูกจะเกลียดการเรียนเหมือนกับลูกพี่ ลูกน้องผม
ริมน้ำคาน
--------------
ผมเห็นว่า ถ้าเล่าเรื่องประสบการณ์เลี้ยงลูก โอ... เป็นเรื่องยาว จึงเห็นควรตั้งกระทู้ใหม่ครับ เริ่ม...
อายุลูกชายประมาณ 1 ขวบเริ่มมีปัญหาต่อมทอนชิล โตและบวมแดง และขยายโตขึ้นระดับไชค์เกือบ 4 ประมาณ 3 - 4 ขวบ ดังนั้นเวลานอนเขาจะนอนกรนเสียงดังแบบผู้ใหญ่เลยครับ
เขากินยาเหมือนกินอาหารหลักเลยครับ เขาต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลแทบทุกเดือน นี้แหละเหตุนี้แหละที่ลูกสาวไม่อยากเป็นหมอ เพราะเขาต้องไปด้วยเป็นประจำ เห็นหมอเครียดเพราะมีคนป่วยเยอะรอคิว ทำงานหนักอยู่ในห้องแคบ กับผู้ป่วย จากเด็กผู้หญิงที่มีแววเก่งมาก และเคยบอกว่าอยากเป็นหมอ ต้องเปลี่ยนทัศนคติไป เมื่อเห็นน้องป่วยและต้องไปโรงพยาบาลเป็นประจำ
เมื่อลูกชายเข้าอนุบาล 1. ก็คิดว่าลูกชายคงเก่งพอกับพี่สาว แต่พอขึ้นอนุบาล 2 แววความโง่ เริ่มปรากฏชัดขึ้น ผมและภรรยาก็ยังพอทำใจได้อยู่ คิดว่าคงไม่มีอะไรมากมาย
ขึ้นอนุบาล 3 ครูเริ่มบอกกับพ่อแม่ว่า น้องเขาชอบนั่งเหม่อลอยในห้องเป็นประจำและผลการเรียนการทดสอบของเขาก็ไม่ทันเพื่อน ทำงานช้ามากๆ แต่รับผิดชอบงานที่ทำ แม่เขาเริ่มใจเสีย เพราะแม่เขาเป็นคนสอนเขาทุกอย่าง ส่วนผมนั้นไม่ก้าวข่าย เพราะเมื่อเข้าไปร่วมสอนก็ต้องขัดใจกับแม่เขาบ่อย แต่ผมกลับคิดว่าเขายังเด็กมากยังวัดอะไรไม่ได้
ผมกับภรรยามีทัศนคติตรงกันในเรื่องสอนลูก ในเรื่องการทำโทษ ในเรื่องตำหนิ หรือตวาดลูกเมื่อทำผิด คือเมื่อคนใดคนหนึ่งทำโทษ อีกคนหนึ่งต้องนึ่งไม่ไปเพิ่มความกัดดันเพิ่มให้ลูก คือเว้นช่องเพื่อให้ลูกพอมีที่พึ่งเมื่อระดับความตึงเครียดคลายลง คนที่นิ่งก็ค่อยเข้าไปคุย แนะนำให้กำลังใจลูกแก้ไข แต่ไม่ใช่พูดว่าพ่อหรือแม่ที่ทำโทษนั้น ทำผิดนะครับ
พอขึ้น ป.1 ป.2 ความชัดเจนคำว่าเด็กโง่ นี้เห็นชัดเจนเลยครับ แม่เขาต้องเครียด กดดันระเบิดอารมณ์ เมื่อต้องสอนการบ้านลูก ส่วนลูกชายต้องร้องไห้ลุกขึ้นหนีเพราะทำไม่ได้เป็นประจำ เพาะให้อ่านหนังสือเพียงไม่กี่บรรทัด ใช่เวลาเป็นชั่งโมง ทั้งที่สอนอ่านให้ฟังแล้วสอนให้อ่านตามที่ละตัวแล้ว ก็ไม่สามารถอ่านได้แม้เพียงประโยคเดียว ที่สอนไปแล้วนั้นเอง แม่เขาแทบระเบิดจนร้องให้ ลูกชายก็ร้องไห้ลุกถอยหนีเพราะทำไม่ได้ ส่วนผมนั้นนิ่งจะไม่ไปก้าวข่าย ปล่อยเวลาให้ผ่านไป จนความกดดันนั้นบรรเทาลง แล้วลูกชายก็เข้าๆ ไปหาแม่ให้แม่เริ่มสอนใหม่ เป็นเช่นนี้เป็นประจำ
ตรงนี้เองที่ผมยังอุ่นใจว่า ผมสามารถช่วยลูกผมได้ คือแม้เขาจะทำไม่ได้จนร้องไห้และลุกหนี แต่เมื่อคลายเครียดและร้องไห้ลงเขาก็ยังกลับไปเพื่อทำต่อ แม้ภรรยาบอกว่าลูกเราเป็นเด็กโง่ จะเรียนไม่จบ ป.6
และผมกับภรรยา ก็ได้ให้ลูกทำการทดสอบที่โรงพยาบาลรามา ได้ผลออกมาเป็นเด็กที่มีความบกพร่องในการอ่านและการเขียนและจะช้าไปกว่าเด็กคนอื่นๆ ทางโรงพยาบาลก็ให้หนังสือเพื่อไปแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ ก็จริง เพราะผลการเรียน ป.1 อยู่ท้ายๆ ของห้อง ขึ้น ป.2 ก็ถอยลงไปอีกได้รองบ้วยของห้อง ก็คืออยู่ล่างๆ สุดของโรงเรียนนั้นเอง แต่ผมกลับใจชื่นเมื่อทราบผลทดสอบไอคิวที่โรงพยาบาลรามา เขาได้ 106 คะแนน คือเท่าเด็กปกติ นั้นเอง
ซึ่งผมกับภรรยาก็หาครู-อาจารย์ สอนพิเศษเขาตัวต่อตัวอยู่แล้ว และตะเวนหาที่เหมาะสมกับเขา เพื่อพัฒนาเขาขึ้นมา
ภรรยาผมเสนอผมว่า เขาจะออกจากงาน อยู่บ้านเพื่อสอนลูกอย่างเดียว ลูกคงจะดีขึ้น ผมก็ค้านบอกภรรยาว่า คุณจะเอาคนที่เรียนจบปริญญาตรีมีการงานการที่มั่นคงแล้ว(รับราชการ) มาแลกกับคนที่จะไม่จบ ป.6 หรือ?
แล้วผมก็ปลอบภรรยาว่า ลูกเราคงสู้ได้เขาก็ยังสู้อยู่ คงเหมือนผมตอนอยู่ ป1. ป2. ก็กลางๆ ล่างๆ ห้องเหมือนกัน และเขียนตามคำบอกนี้ผิดทุกทีถูกตีทุกที และเรียงความ แต่งได้ไม่เคยเกิน 5 บรรทัดแม้จะเรียนเก่งขึ้น จนถึง ม.ศ 5 แล้วก็ตาม
พอขึ้น ป.3 แม่เขาอดทนสอนถึงเทอมแรกยังได้รองบ้วยเหมือนเดิม ด้วยความกดดันและร้องไห้เสียน้ำตาทั้งแม่และลูกที่สสะสมมาตลอด จนแม่เขาระเบิดโพร่งออกมากับผมว่า ลูกคุณเป็นเด็กโง่ คงเรียนไม่จบ ป.6 เพราะฉันทนไม่ไหวแล้ว และจะไม่สอนเลิกสอนเขาแล้ว ไม่รับผิดชอบแล้ว ให้คุณสอนเอง
ผมก็บอกว่าผมจะสอนเอง แต่ห้ามมาเข้าก่ายในการสอนของผม และห้ามมายุ่งกับวิธีการสอนของผม แล้วผมก็ทบทวนการเรียนของผมเมื่อวัยเด็กจากเด็กเรียนไม่เก่ง แล้วเรียนไต่ขึ้นเก่งขึ้นไปตามลำดับ ก็ทราบว่า เพราะความบกพร่องในการได้รับข้อมูล มีข้อมูลสะสมไม่พอ แม่ไม่ได้เรียน พ่อจบป.3 พี่จบ ป.4 ส่วนที่จบ ป.7(หรือ ม.3 สมัยก่อน) ก็บ้าไปเสีย และไม่มีใครอยากหรือสนับสนุนให้เรียน พอเรียนไปสะสมข้อมูลในหัวมากขึ้นการเชื่อมโยงของข้อมูลในหัวก็พอเชื่องโยงได้และด้วยอยากเรียน จึงค่อยเรียนกระเตื่องขึ้นในชั้น ป.4 แล้วเก่งขึ้นใน ป.5-6-7 เป็นที่ 2 ของห้อง ผมจึงเอาแบบแปลนนั้นแหละ เริ่มสอนถ่ายเทอดให้ลูก
(ขอข้ามในรายละเอียดนะครับเพราะมันจะเยอะ และอาจจะไม่ถูกกับทัศนคติโดยรวม เพราะผมยอมแลกให้ลูกติดเกมส์ ติดการ์ตูณ เพื่อให้พัฒนาการเรียนที่ดีขึ้น).
เมื่อลูกได้ชื่อว่า เป็นเด็กโง่ ความคิดอ่านไม่ทันเพื่อนรุ่นเดียวกัน และท่าทางจะเรียนไม่จบ ป.6 เขาจะเรียนดีได้อย่างไร?
พอดีในกระทู้เก่า http://ppantip.com/topic/33029848
ได้มีผู้ที่ถามผม ไว้อย่างนี้
---------------
ความคิดเห็นที่ 6
.... ตอนเลี้ยงเขาตั้งแต่เด็กเป็นยังไงบ้างครับ พอเล่าเป็นประสบการณ์ได้มั้ยครับ ลูกผมยังเล็กอยุ่แต่ก็กลัวว่าโตขึ้นจะเป็นแบบลูกเจ้าของกระทู้เหมือนกัน
ส่วนตัวผมเองชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กครับ เรื่องเรียน พ่อ แม่ไม่เคยต้องยุ่งเลยครับ ตั้งแต่ ป.1 ยันปริญญาโท แต่ผมเองก็ไม่กล้าเลี้ยงแบบพ่อแม่ผม กลัวลูกเสียคนครับ จะปล่อยก็ไม่กล้า จะเลี้ยงดูแบบเคี่ยวเข็ญก็กลัวลูกจะเกลียดการเรียนเหมือนกับลูกพี่ ลูกน้องผม
ริมน้ำคาน
--------------
ผมเห็นว่า ถ้าเล่าเรื่องประสบการณ์เลี้ยงลูก โอ... เป็นเรื่องยาว จึงเห็นควรตั้งกระทู้ใหม่ครับ เริ่ม...
อายุลูกชายประมาณ 1 ขวบเริ่มมีปัญหาต่อมทอนชิล โตและบวมแดง และขยายโตขึ้นระดับไชค์เกือบ 4 ประมาณ 3 - 4 ขวบ ดังนั้นเวลานอนเขาจะนอนกรนเสียงดังแบบผู้ใหญ่เลยครับ
เขากินยาเหมือนกินอาหารหลักเลยครับ เขาต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลแทบทุกเดือน นี้แหละเหตุนี้แหละที่ลูกสาวไม่อยากเป็นหมอ เพราะเขาต้องไปด้วยเป็นประจำ เห็นหมอเครียดเพราะมีคนป่วยเยอะรอคิว ทำงานหนักอยู่ในห้องแคบ กับผู้ป่วย จากเด็กผู้หญิงที่มีแววเก่งมาก และเคยบอกว่าอยากเป็นหมอ ต้องเปลี่ยนทัศนคติไป เมื่อเห็นน้องป่วยและต้องไปโรงพยาบาลเป็นประจำ
เมื่อลูกชายเข้าอนุบาล 1. ก็คิดว่าลูกชายคงเก่งพอกับพี่สาว แต่พอขึ้นอนุบาล 2 แววความโง่ เริ่มปรากฏชัดขึ้น ผมและภรรยาก็ยังพอทำใจได้อยู่ คิดว่าคงไม่มีอะไรมากมาย
ขึ้นอนุบาล 3 ครูเริ่มบอกกับพ่อแม่ว่า น้องเขาชอบนั่งเหม่อลอยในห้องเป็นประจำและผลการเรียนการทดสอบของเขาก็ไม่ทันเพื่อน ทำงานช้ามากๆ แต่รับผิดชอบงานที่ทำ แม่เขาเริ่มใจเสีย เพราะแม่เขาเป็นคนสอนเขาทุกอย่าง ส่วนผมนั้นไม่ก้าวข่าย เพราะเมื่อเข้าไปร่วมสอนก็ต้องขัดใจกับแม่เขาบ่อย แต่ผมกลับคิดว่าเขายังเด็กมากยังวัดอะไรไม่ได้
ผมกับภรรยามีทัศนคติตรงกันในเรื่องสอนลูก ในเรื่องการทำโทษ ในเรื่องตำหนิ หรือตวาดลูกเมื่อทำผิด คือเมื่อคนใดคนหนึ่งทำโทษ อีกคนหนึ่งต้องนึ่งไม่ไปเพิ่มความกัดดันเพิ่มให้ลูก คือเว้นช่องเพื่อให้ลูกพอมีที่พึ่งเมื่อระดับความตึงเครียดคลายลง คนที่นิ่งก็ค่อยเข้าไปคุย แนะนำให้กำลังใจลูกแก้ไข แต่ไม่ใช่พูดว่าพ่อหรือแม่ที่ทำโทษนั้น ทำผิดนะครับ
พอขึ้น ป.1 ป.2 ความชัดเจนคำว่าเด็กโง่ นี้เห็นชัดเจนเลยครับ แม่เขาต้องเครียด กดดันระเบิดอารมณ์ เมื่อต้องสอนการบ้านลูก ส่วนลูกชายต้องร้องไห้ลุกขึ้นหนีเพราะทำไม่ได้เป็นประจำ เพาะให้อ่านหนังสือเพียงไม่กี่บรรทัด ใช่เวลาเป็นชั่งโมง ทั้งที่สอนอ่านให้ฟังแล้วสอนให้อ่านตามที่ละตัวแล้ว ก็ไม่สามารถอ่านได้แม้เพียงประโยคเดียว ที่สอนไปแล้วนั้นเอง แม่เขาแทบระเบิดจนร้องให้ ลูกชายก็ร้องไห้ลุกถอยหนีเพราะทำไม่ได้ ส่วนผมนั้นนิ่งจะไม่ไปก้าวข่าย ปล่อยเวลาให้ผ่านไป จนความกดดันนั้นบรรเทาลง แล้วลูกชายก็เข้าๆ ไปหาแม่ให้แม่เริ่มสอนใหม่ เป็นเช่นนี้เป็นประจำ
ตรงนี้เองที่ผมยังอุ่นใจว่า ผมสามารถช่วยลูกผมได้ คือแม้เขาจะทำไม่ได้จนร้องไห้และลุกหนี แต่เมื่อคลายเครียดและร้องไห้ลงเขาก็ยังกลับไปเพื่อทำต่อ แม้ภรรยาบอกว่าลูกเราเป็นเด็กโง่ จะเรียนไม่จบ ป.6
และผมกับภรรยา ก็ได้ให้ลูกทำการทดสอบที่โรงพยาบาลรามา ได้ผลออกมาเป็นเด็กที่มีความบกพร่องในการอ่านและการเขียนและจะช้าไปกว่าเด็กคนอื่นๆ ทางโรงพยาบาลก็ให้หนังสือเพื่อไปแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ ก็จริง เพราะผลการเรียน ป.1 อยู่ท้ายๆ ของห้อง ขึ้น ป.2 ก็ถอยลงไปอีกได้รองบ้วยของห้อง ก็คืออยู่ล่างๆ สุดของโรงเรียนนั้นเอง แต่ผมกลับใจชื่นเมื่อทราบผลทดสอบไอคิวที่โรงพยาบาลรามา เขาได้ 106 คะแนน คือเท่าเด็กปกติ นั้นเอง
ซึ่งผมกับภรรยาก็หาครู-อาจารย์ สอนพิเศษเขาตัวต่อตัวอยู่แล้ว และตะเวนหาที่เหมาะสมกับเขา เพื่อพัฒนาเขาขึ้นมา
ภรรยาผมเสนอผมว่า เขาจะออกจากงาน อยู่บ้านเพื่อสอนลูกอย่างเดียว ลูกคงจะดีขึ้น ผมก็ค้านบอกภรรยาว่า คุณจะเอาคนที่เรียนจบปริญญาตรีมีการงานการที่มั่นคงแล้ว(รับราชการ) มาแลกกับคนที่จะไม่จบ ป.6 หรือ?
แล้วผมก็ปลอบภรรยาว่า ลูกเราคงสู้ได้เขาก็ยังสู้อยู่ คงเหมือนผมตอนอยู่ ป1. ป2. ก็กลางๆ ล่างๆ ห้องเหมือนกัน และเขียนตามคำบอกนี้ผิดทุกทีถูกตีทุกที และเรียงความ แต่งได้ไม่เคยเกิน 5 บรรทัดแม้จะเรียนเก่งขึ้น จนถึง ม.ศ 5 แล้วก็ตาม
พอขึ้น ป.3 แม่เขาอดทนสอนถึงเทอมแรกยังได้รองบ้วยเหมือนเดิม ด้วยความกดดันและร้องไห้เสียน้ำตาทั้งแม่และลูกที่สสะสมมาตลอด จนแม่เขาระเบิดโพร่งออกมากับผมว่า ลูกคุณเป็นเด็กโง่ คงเรียนไม่จบ ป.6 เพราะฉันทนไม่ไหวแล้ว และจะไม่สอนเลิกสอนเขาแล้ว ไม่รับผิดชอบแล้ว ให้คุณสอนเอง
ผมก็บอกว่าผมจะสอนเอง แต่ห้ามมาเข้าก่ายในการสอนของผม และห้ามมายุ่งกับวิธีการสอนของผม แล้วผมก็ทบทวนการเรียนของผมเมื่อวัยเด็กจากเด็กเรียนไม่เก่ง แล้วเรียนไต่ขึ้นเก่งขึ้นไปตามลำดับ ก็ทราบว่า เพราะความบกพร่องในการได้รับข้อมูล มีข้อมูลสะสมไม่พอ แม่ไม่ได้เรียน พ่อจบป.3 พี่จบ ป.4 ส่วนที่จบ ป.7(หรือ ม.3 สมัยก่อน) ก็บ้าไปเสีย และไม่มีใครอยากหรือสนับสนุนให้เรียน พอเรียนไปสะสมข้อมูลในหัวมากขึ้นการเชื่อมโยงของข้อมูลในหัวก็พอเชื่องโยงได้และด้วยอยากเรียน จึงค่อยเรียนกระเตื่องขึ้นในชั้น ป.4 แล้วเก่งขึ้นใน ป.5-6-7 เป็นที่ 2 ของห้อง ผมจึงเอาแบบแปลนนั้นแหละ เริ่มสอนถ่ายเทอดให้ลูก
(ขอข้ามในรายละเอียดนะครับเพราะมันจะเยอะ และอาจจะไม่ถูกกับทัศนคติโดยรวม เพราะผมยอมแลกให้ลูกติดเกมส์ ติดการ์ตูณ เพื่อให้พัฒนาการเรียนที่ดีขึ้น).