สวัสดีสมาชิกทุกท่านนะคะ ...
จะปีใหม่แล้ว ปีๆ นึงผ่านไปเร็วเนอะ วันนี้เรามีเรื่องราวในอดีตมาเล่าให้ฟังค่ะ
เป็นช่วงเวลาประมาณนี้ ของเมื่อ ๒ ปีก่อน
ที่เรานำมาเล่าในตอนนี้ เพราะเชื่อว่าว่าเทศกาลปีใหม่ เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง
หลายๆ คนที่กำลังลดความอ้วน ลดน้ำหนักอยู่ คงจะกังวลว่าชั้นจะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไรโดยไม่ตบะแตก ?
มาค่ะ... เราจะเล่าให้ฟัง
ทุกท่านรู้จักโรค Eating Disorders ไหมคะ
ถ้ายังไม่รู้จัก ตามนี้ค่ะ
http://www.rcpsycht.org/cap/detail_articledr.php?news_id=54
http://psychi1.md.kku.ac.th/site_data/myort2_71/26/EatingDisordersMar09.pdf
ไอเจ้าโรคที่ว่านี่แหละค่ะทำให้น้ำหนักเราขึ้นมาเบาๆ ๒๐ กิโลกรัม !!!
Oh my god #WTF
พอเข้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะดูดี จริงไหมคะ?
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั่น คืออยากผอมลง (แต่ก่อนไม่อ้วน แต่ไม่ผอมบาง)
ช่วงนึงเราจึงทานแต่อาหารโคตรคลีน นับแคลฯ ไม่เกิน ๑๒๐๐/วัน และโหมออกกำลังกาย
(เมิงบ้าไปแล้ว ทั้งทานคลีน ทั้งนับแคลฯ แถมโกงแคลฯ ด้วยจ้า เหอๆ)
ทำได้ประมาณปีนึง ตอนนั้นภูมิใจมาก เฮ้ย ตรูเจ๋งว่ะ ชั้นก็ผอมได้นะ
คือช่วงนั้นผอมจริง แต่ผอมแบบคนติดยา หน้าตอบ นมหาย
คนรอบข้างทักว่าผอมไป แต่เราคิดว่าเนี่ยแหละดีแล้ว
กระทั่งเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย เบื่อๆ อารมณ์แปรปรวน ไม่มีแรง หนาวง่าย ไม่มีสมาธิ
จนวันนึงอาการแย่ละ โลกหมุน เวียนหัวมาก แต่ยังคิดว่าตัวเองเป็นไข้หวัดใหญ่ ไม่ก็ไข้เลือดออกแน่ๆ
ไปหาหมอ คุณหมอทักทำไมซีดจัง (จริงๆ ก่อนหน้านี้เพื่อนก็เคยทักว่าเราซีด แต่ไม่เอะใจ คิดว่าตัวเองยังปรกติ)
คุณหมอเห็นท่าไม่ดี สั่งเจาะเลือด จำได้ว่าโดนเจาะไป ๕-๖ เข็ม เพราะหาเส้นไม่เจอ
ปรากฏว่า... เราเป็น ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ (มากๆๆๆๆ) ซึ่งหากมาช้ากว่านี้อาจช็อกและตายได้
(ตอนนั้นคิดว่า เฮีย! นี่ชั้นเป็นอะไรไป มัวทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่เอะใจถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นมากขนาดนี้)
สรุปวันนั้นโดนสั่งแอดมิทด่วน (ซึ่งเราไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อน) ให้เลือดอีก ๒ หรือ ๓ ถุงเนี่ยแหละ จำไม่ได้
รู้แต่ว่าคืนนั้นไม่ได้นอนจ้า เพราะมันปวดตลอดเวลา เนื่องจากความดันเลือดมันต่างกัน แถมยุงกัดทั้งคืน
ออกจากโรงพยาบาลตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น แต่มีนัดต้องมีฉีดยา(ผ่านทางน้ำเกลือ) ทุกวันเว้นวัน
จากที่กลัวเข็มนี่หายเลย คือแขนนี่พรุนมาก ไปจนพยาบาลจำหน้าได้เลยแหละ
ที่ฮาคือ วันที่ไปโรงพยาบาลกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ ไม่ได้เอาอะไรไปเลย พกแต่บัตรโรงพยาบาลไปใบเดียว
อ้อ! มีเงินพกติดตัวอีกร้อยกว่าบาท ตอนไปนี่ไปแบบมึนๆ งงๆ มาก นั่งวินไปคนเดียวด้วย ยังคิดว่าชิลๆ จ้า
พอต้องแอดมิทนี่คือไปไม่ถูกเลย เพราะไม่ได้เตรียม ไม่ได้บอกใครไว้ แถมจำเบอร์พ่อกับแม่ไม่ได้อีก
หลังจากนั้น จากที่ทานคลีนๆ พอโดนคุณหมอ คนรอบข้างบอกว่า กินๆ ไปเถอะ ผอมจะตาย
เริ่มอดใจไม่อยู่... นั่นสิ ตอนนี้ชั้นผอม กินไม่คลีนบ้างชีวิตจะได้มีสีสัน (คัลเลอร์ฟูล) บ้าง
จากที่คลีนทุกวัน เริ่มมีชีทเดย์ จากชีทเดย์ ๑ วันต่อสัปดาห์ เริ่มเป็นดับเบิ้ล ทริปเปิ้ล
จนสุดท้าย เป็นชีทเอเวอร์รี่เดย์ คือกิน(เยอะ+อาหารขยะ)แม่มทุกวัน ทุกวันจริงๆ
ใครที่เคยหลุด... หลังจากที่เคร่งมานานๆ คงจะทราบดีว่า พอหลุดแล้ว จะเกิดความรู้สึกผิด และเครียด
จากนั้นก็จะสัญญากับตัวเองว่า เอาน่า ชั้นจะออกกำลังกายให้หนัก นานขึ้น และวันต่อไปจะกินให้น้อยลง
แต่พอวันรุ่งขึ้นเอาอีหรอบเดิม คือกินๆๆ ยัดๆๆ อิ่มแล้ว แต่เห็นอะไรก็อยากไปหมด อยากกินอะไรต้องได้กิน
กินตั้งแต่ตื่นยันนอนว่างั้น คือเดินผ่านอะไรที่เป็นอาหารอยากกินมันทุกอย่าง (แม้ว่าแต่ก่อนจะไม่ชอบกินมันก็ตาม)
ถามว่าตอนตบะแตก สติหลุดกระจุยกระจาย เราเป็นหนักขนาดไหน...
เอาเป็นว่าในวันนึงเราเคยกิน (ในหนึ่งวันนะ ย้ำ!!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เค้ก ๑ ปอนด์ คุกกี๊ ๑ ถุงใหญ่ๆ พิซซ่า ๑ ถาด ไอติมโคนKFC ไอติมหอคอยสเว่นเซ่น พาย ๓ ชื้น ทาโกยากิ ๔ ลูก น้ำอัดลม
เครป โตเกียว ขนปังยามาซากิ ๓ - ๔ ชิ้น Mr.โดนัท ๔ ชิ้น ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ ๑ แถว+เนยเค็ม ๑ ก้อน(ในมื้อเดียว)
แล้วเรามีอาการอย่างนี้อยู่ราวๆ ๔ - ๕ เดือน แม่เจ้า !! ไม่อยากจะนึกสภาพ
จนมาถึงจุดหนึ่ง ไปเที่ยวแล้วถ่ายรูป... คือแบบ ในภาพนั่นใครวะ ทำไมน่าเกลียดแบบนี้
คือมันอ้วน บวม อีดมากกก ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ตัว ยังคิดว่าชั้นยังไม่อ้วน ยังเอาอยู่ (ชั่งกล้า)
แต่พอเจอรูปถ่ายเป็นหลักฐาน ความมั่นใจที่ว่าชั้นยังไม่อ้วนจนน่าเกลียดหาบวับไปทันทีทันใด
ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงมืดของชีวิตช่วงหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่รูปร่างที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียว
แต่สุขภาพภกายก็แย่ลง ที่สำคัญคือสภาพจิตใจในตอนนั้นมันแย่มากๆ
จากวันนั้น เริ่มกลับมานั่งคิด ว่าเราเป็นอะไรไป ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ อะไรทำให้เรามาอยู่ ณ จุดนี้
ซึ่งใครที่เคยอยู่จุดนี้มาก่อน จะรู้ดีว่าสภาพจิตใจในช่วงนี้จะว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน กังวล หดหู่ คิดมากไปสารพัด
ซึ่งบางรายอาจจะหนัก จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยทีเดียว (แต่เราไม่ถึงขั้นนั้น โชคดีที่เราใช้ธรรมะช่วย)
พอจิตใจเริ่มสงบ หายฟุ้งซ่านลงบ้าง (แต่ยังไม่หายจากอาการ Eating disorder)
ทำให้เราได้คำตอบว่า เพราะแต่ก่อนนั้นเราเคร่งเครียดเกินไป ทรมานร่างกายเกินไป
อยากกินอะไร ก็ไม่ได้กิน งด งด งด อด!! ทุกอย่าง เพราะต้องกินแต่อาหารคลีนๆ เท่านั้น
ขนม นมเนย ไอติม ช็อกโกแลต ของทอด ของมัน แป้ง อาหารที่เคยเป็นของโปรด ไม่แตะเลย
ถามว่าดีไหมที่เลิกทานอาหารพวกนี้ ... คำตอบคือดี ดีต่อสุขภาพ
แต่สุขภาพจิตกลับแย่ลง เพราะไม่รู้จักผ่อนปรนให้ตัวเองบ้าง
พึงระลึกไปเสมอว่าอะไรที่ตึง หรือหย่อนเกินไป มันย่อมไม่เป็นผลดีทั้งนั้น
การที่เราเคร่งเครียด กำหนดกรอบให้ร่างกายมากเกินไป เราเองจะไม่มีความสุข เพราะมันรู้สึกฝืน
เมื่อไม่มีความสุขเพราะมันฝืน สุดท้ายสิ่งที่เราทำก็พังลง ทำได้ไม่นาน ไม่ยั่งยืน ไม่ตลอดไป
หรือ... การที่เราหย่อนเกินไป ปล่อยให้ทานอะไรตามใจปากจนเกินพอดี
โรคภัยก็ถามหา สุขภาพก็แย่ ไขมันและความอ้วนก็ตามมาเช่นกัน
๒๐ กิโลที่ขึ้นมา มันให้บทเรียน และประสบการณ์เราหลายๆ อย่าง
ถามว่าตอนนี้เราหุ่นดีหรือยัง ตอบเลยว่าไม่ ๕๕๕ ยังมีพุง ขายังใหญ่อยู่
แต่เรากลับรู้สึกว่าชีวิต และสภาพจิตใจของเราในตอนนี้แฮปปี้กว่าตอนนั้นมาก
เพราะเราได้กินในสิ่งที่ตัวเองอยากกินทุกอย่าง ไม่มีงด เพียงแต่กินในปริมาณที่พอดีๆ
หรือถ้าวันไหนเราเผลอทานมาก เราจะไม่โทษตัวเอง เราจะไม่จมกับความรู้สึกผิด นอย และหดหู่อีกต่อไป
เราจะคิดว่าเอาน่า มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง คอขาดบาดตาย ที่จะให้อภัยตัวเองไม่ได้เสียหน่อย
พอเราคิดแบบนี้ เราจะรู้สึกดีขึ้น วันต่อมาเราก็กลับไปทานปรกติคลีนบ้าง ไม่คลีนบ้าง
แต่ไม่หลุดสะสม ไม่หลุดต่อเนื่องเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
คนที่หลุดต่อเนื่อง มักหลุดเพราะความเครียด และรู้สึกผิดจนโทษตัวเอง ไม่ปล่อยวาง
สุดท้ายจึงวนอยู่ในลูป กิน --> รู้สึกผิด --> เครียด --> กิน
สำหรับการออกกำลังกาย เราไม่ฟิก ไม่มีตารางเวท ไม่กำหนดจำนวนครั้ง ไม่กำหนดเวลา
เราสะดวกที่จะออกนานเท่าไหร่ ก็ออก เราอยากออกอะไรก็ออก ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
อะไรที่มันฝืน เราจะทำไม่ได้นาน จงทำในสิ่งที่คุณสบายใจที่จะทำมัน
เราคิดเสมอว่า เราไม่ใช่นักกีฬาที่จะต้องมีตารางเวลาเป๊ะๆ ต้องทำตาม
เราไม่ใช่นักเพาะกาย ที่ต้องทานโปรตีนเท่านี้ เวทเท่านั้น ในทุกๆ วัน
เราไม่ใช่ดาราหรือนางแบบที่ต้องมีรูปร่างเป๊ะในทุกๆ ส่วน
เรา... ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็คอะไรขนาดนั้น
เราเป็นเแค่คนธรรมดา ที่อยากมีความสุขสำหรับทุกๆ สิ่งที่เราทำ
หาจุดสมดุล และความพอดีในชีวิตให้เจอ
การลดความอ้วน และมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
ไม่ใช่การอดอาหาร ทานน้อย บ้าออกกำลัง หรือฮึดเป็นพักๆ ชั่วครั้งคราว
แต่มันคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวร คือคุณสามารถทำมันไปได้ตลอดชีวิต
ดังนั้น อย่าไปฝืนทำในสิ่งที่คนอื่นว่าดี แต่คุณไม่ชอบ (ไม่นับคนที่ขี้เกียจ รักสบาย หาข้ออ้าง เข้าใจตรงกันนะคะ)
เพราะแม้ว่ากีฬาที่เขาเล่น อาหารที่เขาทาน ไลฟสไตล์ที่เขาใช้ มันดี มันเวิร์ค มันสามารถปั้นหุ่นให้ดีได้ภายใน ๒ ๓ เดือน
หากคุณไม่ได้รักที่จะทำมันจริงๆ สุดท้ายคุณจะท้อ และเลิกทำมัน สู้หาวิธีที่เหมาะกับตัวคุณ ที่คุณทำได้ตลอดไปไม่ดีกว่าหรือ
แม้ว่าวิธีที่คุณใช้จะไม่หนักหน่วง เข้มข้น เห็นผลรวดเร็วทันใจแบบคนอื่นเขา แต่อย่างน้อยคุณก็มั่นใจได้ว่าคุณสามารถทำมันได้ตลอด
สุดท้ายที่อยากฝาก... กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้สร้างแรงบันดาลใจ ไม่ได้มาแชร์ประสบการณ์ว่าทำอย่างไรจึงจะผอม
ไม่มีสูตรลดความอ้วน ไม่มีสูตรเมนูอาหาร ไม่มีตารางออกกำลังกาย ไม่มีภาพมาเปรียบเทียบให้ชม
จุดประสงค์ของกระทู้นี้เพียงเพื่ออยากให้ผู้ที่อ่าน และกำลังอยู่ในจุดที่เราเคยเป็นได้ฉุกคิด
ว่าจริงๆ แล้วเรากำลังทำอะไร เป็นอะไรอยู่กันแน่ และจะทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้น
รวมถึงอยากเตือนสติถึงผู้ที่กำลังลดความอ้วน หรือลดน้ำหนักทั้งหลาย ว่าไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใดๆ ขอให้อยู่บนความพอดี
โดยที่ไม่ต้องไปตัดสินว่าวิธีใดถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี เพราะแต่ละคนมีวิธี มีความชอบที่แตกต่างกัน
ขอให้โชคดี
ประสบความสำเร็จและมีสุขภาพดีกันทุกๆ คนนะคะ
Merry Christmas and Happy new year 2015 ค่ะ
:")
ลดความอ้วนอยู่... จะผ่านช่วงเทศกาลงานฉลองอย่างไรดีนะ? (เรื่องเล่าจากคนเคยเป็น Eating Disorder)
จะปีใหม่แล้ว ปีๆ นึงผ่านไปเร็วเนอะ วันนี้เรามีเรื่องราวในอดีตมาเล่าให้ฟังค่ะ
เป็นช่วงเวลาประมาณนี้ ของเมื่อ ๒ ปีก่อน
ที่เรานำมาเล่าในตอนนี้ เพราะเชื่อว่าว่าเทศกาลปีใหม่ เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง
หลายๆ คนที่กำลังลดความอ้วน ลดน้ำหนักอยู่ คงจะกังวลว่าชั้นจะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไรโดยไม่ตบะแตก ?
มาค่ะ... เราจะเล่าให้ฟัง
ทุกท่านรู้จักโรค Eating Disorders ไหมคะ
ถ้ายังไม่รู้จัก ตามนี้ค่ะ
http://www.rcpsycht.org/cap/detail_articledr.php?news_id=54
http://psychi1.md.kku.ac.th/site_data/myort2_71/26/EatingDisordersMar09.pdf
ไอเจ้าโรคที่ว่านี่แหละค่ะทำให้น้ำหนักเราขึ้นมาเบาๆ ๒๐ กิโลกรัม !!!
Oh my god #WTF
พอเข้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะดูดี จริงไหมคะ?
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั่น คืออยากผอมลง (แต่ก่อนไม่อ้วน แต่ไม่ผอมบาง)
ช่วงนึงเราจึงทานแต่อาหารโคตรคลีน นับแคลฯ ไม่เกิน ๑๒๐๐/วัน และโหมออกกำลังกาย
(เมิงบ้าไปแล้ว ทั้งทานคลีน ทั้งนับแคลฯ แถมโกงแคลฯ ด้วยจ้า เหอๆ)
ทำได้ประมาณปีนึง ตอนนั้นภูมิใจมาก เฮ้ย ตรูเจ๋งว่ะ ชั้นก็ผอมได้นะ
คือช่วงนั้นผอมจริง แต่ผอมแบบคนติดยา หน้าตอบ นมหาย
คนรอบข้างทักว่าผอมไป แต่เราคิดว่าเนี่ยแหละดีแล้ว
กระทั่งเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย เบื่อๆ อารมณ์แปรปรวน ไม่มีแรง หนาวง่าย ไม่มีสมาธิ
จนวันนึงอาการแย่ละ โลกหมุน เวียนหัวมาก แต่ยังคิดว่าตัวเองเป็นไข้หวัดใหญ่ ไม่ก็ไข้เลือดออกแน่ๆ
ไปหาหมอ คุณหมอทักทำไมซีดจัง (จริงๆ ก่อนหน้านี้เพื่อนก็เคยทักว่าเราซีด แต่ไม่เอะใจ คิดว่าตัวเองยังปรกติ)
คุณหมอเห็นท่าไม่ดี สั่งเจาะเลือด จำได้ว่าโดนเจาะไป ๕-๖ เข็ม เพราะหาเส้นไม่เจอ
ปรากฏว่า... เราเป็น ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ (มากๆๆๆๆ) ซึ่งหากมาช้ากว่านี้อาจช็อกและตายได้
(ตอนนั้นคิดว่า เฮีย! นี่ชั้นเป็นอะไรไป มัวทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่เอะใจถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นมากขนาดนี้)
สรุปวันนั้นโดนสั่งแอดมิทด่วน (ซึ่งเราไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อน) ให้เลือดอีก ๒ หรือ ๓ ถุงเนี่ยแหละ จำไม่ได้
รู้แต่ว่าคืนนั้นไม่ได้นอนจ้า เพราะมันปวดตลอดเวลา เนื่องจากความดันเลือดมันต่างกัน แถมยุงกัดทั้งคืน
ออกจากโรงพยาบาลตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น แต่มีนัดต้องมีฉีดยา(ผ่านทางน้ำเกลือ) ทุกวันเว้นวัน
จากที่กลัวเข็มนี่หายเลย คือแขนนี่พรุนมาก ไปจนพยาบาลจำหน้าได้เลยแหละ
ที่ฮาคือ วันที่ไปโรงพยาบาลกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ ไม่ได้เอาอะไรไปเลย พกแต่บัตรโรงพยาบาลไปใบเดียว
อ้อ! มีเงินพกติดตัวอีกร้อยกว่าบาท ตอนไปนี่ไปแบบมึนๆ งงๆ มาก นั่งวินไปคนเดียวด้วย ยังคิดว่าชิลๆ จ้า
พอต้องแอดมิทนี่คือไปไม่ถูกเลย เพราะไม่ได้เตรียม ไม่ได้บอกใครไว้ แถมจำเบอร์พ่อกับแม่ไม่ได้อีก
หลังจากนั้น จากที่ทานคลีนๆ พอโดนคุณหมอ คนรอบข้างบอกว่า กินๆ ไปเถอะ ผอมจะตาย
เริ่มอดใจไม่อยู่... นั่นสิ ตอนนี้ชั้นผอม กินไม่คลีนบ้างชีวิตจะได้มีสีสัน (คัลเลอร์ฟูล) บ้าง
จากที่คลีนทุกวัน เริ่มมีชีทเดย์ จากชีทเดย์ ๑ วันต่อสัปดาห์ เริ่มเป็นดับเบิ้ล ทริปเปิ้ล
จนสุดท้าย เป็นชีทเอเวอร์รี่เดย์ คือกิน(เยอะ+อาหารขยะ)แม่มทุกวัน ทุกวันจริงๆ
ใครที่เคยหลุด... หลังจากที่เคร่งมานานๆ คงจะทราบดีว่า พอหลุดแล้ว จะเกิดความรู้สึกผิด และเครียด
จากนั้นก็จะสัญญากับตัวเองว่า เอาน่า ชั้นจะออกกำลังกายให้หนัก นานขึ้น และวันต่อไปจะกินให้น้อยลง
แต่พอวันรุ่งขึ้นเอาอีหรอบเดิม คือกินๆๆ ยัดๆๆ อิ่มแล้ว แต่เห็นอะไรก็อยากไปหมด อยากกินอะไรต้องได้กิน
กินตั้งแต่ตื่นยันนอนว่างั้น คือเดินผ่านอะไรที่เป็นอาหารอยากกินมันทุกอย่าง (แม้ว่าแต่ก่อนจะไม่ชอบกินมันก็ตาม)
ถามว่าตอนตบะแตก สติหลุดกระจุยกระจาย เราเป็นหนักขนาดไหน...
เอาเป็นว่าในวันนึงเราเคยกิน (ในหนึ่งวันนะ ย้ำ!!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วเรามีอาการอย่างนี้อยู่ราวๆ ๔ - ๕ เดือน แม่เจ้า !! ไม่อยากจะนึกสภาพ
จนมาถึงจุดหนึ่ง ไปเที่ยวแล้วถ่ายรูป... คือแบบ ในภาพนั่นใครวะ ทำไมน่าเกลียดแบบนี้
คือมันอ้วน บวม อีดมากกก ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ตัว ยังคิดว่าชั้นยังไม่อ้วน ยังเอาอยู่ (ชั่งกล้า)
แต่พอเจอรูปถ่ายเป็นหลักฐาน ความมั่นใจที่ว่าชั้นยังไม่อ้วนจนน่าเกลียดหาบวับไปทันทีทันใด
ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงมืดของชีวิตช่วงหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่รูปร่างที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียว
แต่สุขภาพภกายก็แย่ลง ที่สำคัญคือสภาพจิตใจในตอนนั้นมันแย่มากๆ
จากวันนั้น เริ่มกลับมานั่งคิด ว่าเราเป็นอะไรไป ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ อะไรทำให้เรามาอยู่ ณ จุดนี้
ซึ่งใครที่เคยอยู่จุดนี้มาก่อน จะรู้ดีว่าสภาพจิตใจในช่วงนี้จะว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน กังวล หดหู่ คิดมากไปสารพัด
ซึ่งบางรายอาจจะหนัก จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยทีเดียว (แต่เราไม่ถึงขั้นนั้น โชคดีที่เราใช้ธรรมะช่วย)
พอจิตใจเริ่มสงบ หายฟุ้งซ่านลงบ้าง (แต่ยังไม่หายจากอาการ Eating disorder)
ทำให้เราได้คำตอบว่า เพราะแต่ก่อนนั้นเราเคร่งเครียดเกินไป ทรมานร่างกายเกินไป
อยากกินอะไร ก็ไม่ได้กิน งด งด งด อด!! ทุกอย่าง เพราะต้องกินแต่อาหารคลีนๆ เท่านั้น
ขนม นมเนย ไอติม ช็อกโกแลต ของทอด ของมัน แป้ง อาหารที่เคยเป็นของโปรด ไม่แตะเลย
ถามว่าดีไหมที่เลิกทานอาหารพวกนี้ ... คำตอบคือดี ดีต่อสุขภาพ
แต่สุขภาพจิตกลับแย่ลง เพราะไม่รู้จักผ่อนปรนให้ตัวเองบ้าง
พึงระลึกไปเสมอว่าอะไรที่ตึง หรือหย่อนเกินไป มันย่อมไม่เป็นผลดีทั้งนั้น
การที่เราเคร่งเครียด กำหนดกรอบให้ร่างกายมากเกินไป เราเองจะไม่มีความสุข เพราะมันรู้สึกฝืน
เมื่อไม่มีความสุขเพราะมันฝืน สุดท้ายสิ่งที่เราทำก็พังลง ทำได้ไม่นาน ไม่ยั่งยืน ไม่ตลอดไป
หรือ... การที่เราหย่อนเกินไป ปล่อยให้ทานอะไรตามใจปากจนเกินพอดี
โรคภัยก็ถามหา สุขภาพก็แย่ ไขมันและความอ้วนก็ตามมาเช่นกัน
๒๐ กิโลที่ขึ้นมา มันให้บทเรียน และประสบการณ์เราหลายๆ อย่าง
ถามว่าตอนนี้เราหุ่นดีหรือยัง ตอบเลยว่าไม่ ๕๕๕ ยังมีพุง ขายังใหญ่อยู่
แต่เรากลับรู้สึกว่าชีวิต และสภาพจิตใจของเราในตอนนี้แฮปปี้กว่าตอนนั้นมาก
เพราะเราได้กินในสิ่งที่ตัวเองอยากกินทุกอย่าง ไม่มีงด เพียงแต่กินในปริมาณที่พอดีๆ
หรือถ้าวันไหนเราเผลอทานมาก เราจะไม่โทษตัวเอง เราจะไม่จมกับความรู้สึกผิด นอย และหดหู่อีกต่อไป
เราจะคิดว่าเอาน่า มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง คอขาดบาดตาย ที่จะให้อภัยตัวเองไม่ได้เสียหน่อย
พอเราคิดแบบนี้ เราจะรู้สึกดีขึ้น วันต่อมาเราก็กลับไปทานปรกติคลีนบ้าง ไม่คลีนบ้าง
แต่ไม่หลุดสะสม ไม่หลุดต่อเนื่องเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
คนที่หลุดต่อเนื่อง มักหลุดเพราะความเครียด และรู้สึกผิดจนโทษตัวเอง ไม่ปล่อยวาง
สุดท้ายจึงวนอยู่ในลูป กิน --> รู้สึกผิด --> เครียด --> กิน
สำหรับการออกกำลังกาย เราไม่ฟิก ไม่มีตารางเวท ไม่กำหนดจำนวนครั้ง ไม่กำหนดเวลา
เราสะดวกที่จะออกนานเท่าไหร่ ก็ออก เราอยากออกอะไรก็ออก ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
อะไรที่มันฝืน เราจะทำไม่ได้นาน จงทำในสิ่งที่คุณสบายใจที่จะทำมัน
เราคิดเสมอว่า เราไม่ใช่นักกีฬาที่จะต้องมีตารางเวลาเป๊ะๆ ต้องทำตาม
เราไม่ใช่นักเพาะกาย ที่ต้องทานโปรตีนเท่านี้ เวทเท่านั้น ในทุกๆ วัน
เราไม่ใช่ดาราหรือนางแบบที่ต้องมีรูปร่างเป๊ะในทุกๆ ส่วน
เรา... ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็คอะไรขนาดนั้น
เราเป็นเแค่คนธรรมดา ที่อยากมีความสุขสำหรับทุกๆ สิ่งที่เราทำ
หาจุดสมดุล และความพอดีในชีวิตให้เจอ
การลดความอ้วน และมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
ไม่ใช่การอดอาหาร ทานน้อย บ้าออกกำลัง หรือฮึดเป็นพักๆ ชั่วครั้งคราว
แต่มันคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวร คือคุณสามารถทำมันไปได้ตลอดชีวิต
ดังนั้น อย่าไปฝืนทำในสิ่งที่คนอื่นว่าดี แต่คุณไม่ชอบ (ไม่นับคนที่ขี้เกียจ รักสบาย หาข้ออ้าง เข้าใจตรงกันนะคะ)
เพราะแม้ว่ากีฬาที่เขาเล่น อาหารที่เขาทาน ไลฟสไตล์ที่เขาใช้ มันดี มันเวิร์ค มันสามารถปั้นหุ่นให้ดีได้ภายใน ๒ ๓ เดือน
หากคุณไม่ได้รักที่จะทำมันจริงๆ สุดท้ายคุณจะท้อ และเลิกทำมัน สู้หาวิธีที่เหมาะกับตัวคุณ ที่คุณทำได้ตลอดไปไม่ดีกว่าหรือ
แม้ว่าวิธีที่คุณใช้จะไม่หนักหน่วง เข้มข้น เห็นผลรวดเร็วทันใจแบบคนอื่นเขา แต่อย่างน้อยคุณก็มั่นใจได้ว่าคุณสามารถทำมันได้ตลอด
สุดท้ายที่อยากฝาก... กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้สร้างแรงบันดาลใจ ไม่ได้มาแชร์ประสบการณ์ว่าทำอย่างไรจึงจะผอม
ไม่มีสูตรลดความอ้วน ไม่มีสูตรเมนูอาหาร ไม่มีตารางออกกำลังกาย ไม่มีภาพมาเปรียบเทียบให้ชม
จุดประสงค์ของกระทู้นี้เพียงเพื่ออยากให้ผู้ที่อ่าน และกำลังอยู่ในจุดที่เราเคยเป็นได้ฉุกคิด
ว่าจริงๆ แล้วเรากำลังทำอะไร เป็นอะไรอยู่กันแน่ และจะทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้น
รวมถึงอยากเตือนสติถึงผู้ที่กำลังลดความอ้วน หรือลดน้ำหนักทั้งหลาย ว่าไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใดๆ ขอให้อยู่บนความพอดี
โดยที่ไม่ต้องไปตัดสินว่าวิธีใดถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี เพราะแต่ละคนมีวิธี มีความชอบที่แตกต่างกัน
ขอให้โชคดี
ประสบความสำเร็จและมีสุขภาพดีกันทุกๆ คนนะคะ
Merry Christmas and Happy new year 2015 ค่ะ
:")