เล่ห์ลวงจันทร์ บทที่ 2

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/32990716

บทที่ 2
    
    รักษ์ชาติจากไปเงียบๆ ไม่มีอาการโวยวายพังบ้านอย่างที่เขียนจันทร์กลัว แต่หญิงสาวกลับมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าครั้งนี้รักษ์ชาติทำให้ดูคล้ายกับสึนามิ คลื่นลมสงบก่อนคลื่นยักษ์จะมา

    เอาเถอะ เผือกร้อนๆ คราวนี้เธอได้คืนไปถึงมือเจ้าของแล้ว

    หวังว่าผู้ชายกวนประสาท สุดแสนมั่นใจตัวอย่างรักษ์ชาติจะไม่แปลกประหลาด อารมณ์เปลี่ยวอย่างนี้ไปนานๆ บ้านเธอคงจะเหงาหูพิลึก จริงๆ แล้วคือเธอกลัวรักษ์ชาติในสภาพอ่านไม่ออกนี้มากกว่า

    “บ้านนี้ไม่มีอะไรเลยนะ ไม่รู้แม่เราทนอยู่มาได้ยังไงตั้งสิบกว่าปี สุดท้ายก็ทนไม่ไหว”

    บนโต๊ะอาหารขนาดหกที่นั่งมีคนจับจองอยู่สามชีวิต วงเดือนนั่งติดหลานสาวคนโปรดหลังจากพบหน้ากันกอดกันให้หายคิดถึง มีตัดพ้อต่อว่าเรื่องที่กลับมาถึงไทยแล้วไม่มีบอกกล่าว และเธอก็จดจำผู้นำการมาถึงของเธอไปป่าวประกาศไม่ต่างจากโทรโข่งไว้ในใจ...ประกายพรึก

    ศิลปินขยับตัวอย่างอึดอัด สบตากับลูกสาวอย่างขอความช่วยเหลือกรายๆ ความผิดในอดีตให้พูดอย่างไรก็เหมือนมีดพร้อมมาปักหลังพ่อของเธอเสมอ ไม่ใช่เพราะที่นี่ลำบากขนาดหม่อมหลวงดาวเดือนที่ยอมแต่งงานกับนายทหารยศน้อย ยอมเสียคำนำหน้าอันสูงศักดิ์กว่าสามัญชนธรรมดา แต่เพราะพ่อ...เจ้าชู้ประตูดิน ลำบากแค่ไหนแม่เธอทนได้ ยกเว้นการนอกใจ แม่พร้อมจะทิ้งที่นี่ไปได้ทันที และแม่ก็ยังรักพ่อมากพอ ถึงไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงในการเลิกกันว่าเลิกกันด้วยเรื่องอะไร แต่บอกเพียงแค่ว่าทนลำบากไม่ได้ และหลายๆ อย่างที่ไม่เข้ากัน

    เขียนจันทร์ตักผัดผักใส่จานคุณยายอย่างเอาใจ “เขียนเองก็เพิ่งซื้อบ้านใหม่ไว้ รอให้พ่อย้ายไปเหมือนกันค่ะ”

    “ที่ให้ทนายของยายทำเรื่องให้ใช่ไหม ยายให้เขาขายต่อไปแล้ว เรื่องอะไรยายจะยอมให้เขียนหาข้ออ้างไปอยู่ไกลจากยายอีก”

    สาวอ่อนวัยสุดส่งเสียงแปลกใจ หันมองพ่อด้วยความเป็นห่วง อาการของเขียนจันทร์คงแสดงออกชัดว่าไม่เห็นด้วย วงเดือนจึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ “บ้านเราก็ออกตั้งกว้าง ให้พ่อของเขียนมาอยู่สักหลังก็ไม่เป็นไรหรอก ยายไม่อยากให้หลานไปไหนไกลๆ อุตส่าห์กลับมาทั้งที หลานแต่ละคนกว่าจะเรียกหาก็ยากเย็น ยายจะยอมทนๆ เรื่องพ่อเราเอาแล้วกัน แม่ดาวก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนยายตัดสินใจไปแบบนี้”

    นี่คือความแปลกใจของเขียนจันทร์ในรอบหลายปี หญิงสาวต้องกลั้นยิ้มไม่ให้ลอยออกมาจนผู้เป็นยายจับได้ว่าเธอดีใจมากแค่ไหน

    “เขียนขอบคุณหม่อมยายมากนะคะ”

    วงเดือนมองค้อนหลานสาว วางช้อนก่อนเริ่มเรื่องที่มาในวันนี้อย่างจริงจัง “แต่เขียนต้องกลับไปพร้อมยายเดี๋ยวนี้ อีกหนึ่งเดือนค่อยให้พ่อเราย้ายตามเข้าไป”

    “พรุ่งนี้ได้ไหมคะ เขียนต้องจัดกระเป๋า”

    “เสื้อผ้าที่บ้านเราก็ออกเยอะแยะ เขียนจะกังวลทำไม หรือไม่ชอบอะไรที่บ้านเรา”

    เจอมุกคุณยายทำท่าจะบีบน้ำตา เสียงสั่นเครือ หัวใจหลานสาวก็อ่อนยวบ ท่าทีคัดค้านจึงอ่อนลง เขียนจันทร์มองหน้าบิดาอย่างขอความคิดเห็น

    “ไปเถอะ พ่ออยู่ทางนี้ได้ เขียนไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องบ้าน พ่ออาจจะกลับไปอยู่ที่ต่างจังหวัดไม่รบกวนยายของเขียนหรอก”

    “ถ้าพ่อไม่สัญญาว่าจะไปอยู่ที่บ้านหม่อมยายด้วยกัน เขียนก็จะอยู่กับพ่อแบบนี้ เขียนทิ้งพ่อไม่ได้หรอกนะคะ”

    “กรุณาอย่าทำให้หลานฉันลำบากใจ การตัดสินใจของฉันถือเป็นสิ้นสุด เขียนกลับไปพร้อมยายวันนี้ ส่วนเธอถ้าหนีกลับไปบ้านต่างจังหวัดล่ะก็ ฉันจะส่งคนไปรับมาอยู่ด้วยกัน” วงเดือนจบปัญหาอย่างวางอำนาจ มื้ออาหารที่เพิ่งดำเนินไป ข้าวแต่ละจานยังไม่ทันพร่องก็เป็นอันยุติลง “ยายให้เวลาสิบนาทีนะเขียน”

    พายุลูกย่อมผ่านไป สองพ่อลูกจึงหายใจได้สะดวกโล่งปอดมากขึ้น เขียนจันทร์เห็นอดีตลูกเขยของคุณวงเดือนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงรู้สึกเสียใจที่ไปบีบพ่ออย่างนั้น

    “ขอโทษนะคะพ่อ เขียนไม่น่าไปบังคับพ่อแบบนั้น” เธอก็มีความคิดเด็กๆ อย่างการอยากเห็นพ่อแม่มาคืนดีกันในสักวันหนึ่ง

    “พ่อรู้นะว่าเขียนคิดอะไร แต่เอาเถอะ พ่อจะทำในสิ่งที่ลูกสบายใจ มีเวลาอีกหน่อยทานให้อิ่มก่อนไปสิเขียน”

    เขียนจันทร์สะอึก ความรู้สึกมาจุกรวมอยู่ที่บริเวณลำคอ ความสบายใจของเธอจะทำร้ายพ่อหรือเปล่า...เธอไม่ต้องการให้พ่อลำบากใจเพราะเธอจริงๆ

    จานข้าวกลายเป็นหมัน เขียนจันทร์ทำได้แค่มองมันนิ่งเฉย มองผู้เป็นพ่อตักข้าวทานต่อไปเงียบๆ เธอยังจำภาพวันที่พ่อแม่เลิกกันได้ดี พ่อที่มักเจ้าชู้ประตูดินถูกแม่จับได้คาหนังคาเขาว่าแอบไปมีอะไรกับคนงานบ้านเจ้านาย แม่ที่มีศักดิ์ศรีอยู่ในตัวเองมากจึงทนไม่ไหว ตอนนั้นเธออายุสิบขวบ ต้องกอดน้องๆ ที่กำลังร่ำไห้หนัก แม้แต่วาดตะวันที่แก่กว่าสองปีก็ต้องให้เธอปลอบ ส่วนพ่อไหล่ลู่ตก ยอมรับอย่างหมดสภาพ หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเห็นพ่อมีใครอื่นอีก ตั้งใจทำงาน และเลี้ยงพวกเธออย่างดีที่สุด

    “พ่อยังรักแม่ไหมคะ”

    ศิลปินชะงักกับคำถามนั้น ชายวัยเกือบเกษียณรีบปรับท่าทางเป็นปกติ ตักน้ำแกงซดให้คอไม่แห้งเกินไป “ไม่มีประโยชน์ไปรื้อฟื้นอีกแล้ว พ่อทำผิดเกินไป เขียนก็รู้”

    การเห็นพ่อจมอยู่กับความผิดพลาดในอดีตมาตลอดนั้นเขียนจันทร์ไม่เคยสบายใจ และครั้งนี้เธอก็รู้สึกอยากจะทำสิ่งหนึ่งอย่างแรงกล้า

    ...เธออยากเห็นพ่อกับแม่คืนดีกัน    

      
    “ไว้เขียนจะมารับพ่อไปอยู่ด้วยกันนะคะ ให้เขียนได้ดูแลพ่อบ้าง” ร่างเพรียวถอยออกมาจากอ้อมกอดของบิดาอย่างอาลัย แต่อีกไม่ถึงเดือนเธอจะได้ทำตามหน้าที่ที่ตั้งใจเสียที

    “ดูแลแม่ ดูแลหม่อมยายเถอะ เขียนไม่ต้องห่วงพ่อ”

    เขียนจันทร์อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบปากปิดสนิท กอดศิลปินไว้แน่นๆ ส่งท้าย ก่อนจะเดินไปยังรถกึ่งแวนของหม่อมยายที่เปิดประตูรออยู่ หันกลับมาส่งยิ้มให้บิดา ในสมองเริ่มเรียบเรียงสิ่งที่จะทำไปเงียบๆ

    รถเคลื่อนตัวไปยังไม่ทันพ้นอาณาเขตของกรมทหาร รถกึ่งแวนก็ต้องเบรกเอี๊ยดสุดตัว เขียนจันทร์มองสำรวจวงเดือนก็พบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน เพราะสายคาดนิรภัยยังทำงานได้ดี เขียนจันทร์จึงชะโงกหน้าไปมองกระจกหน้ารถอย่างสงสัย พบว่าเป็นรักษ์ชาติยืนกางมือกางแขนกางกั้นไว้ ระยะเกือบประชิดรถ

    “หม่อมยายไม่ต้องค่ะ เขียนจัดการได้” เขียนจันทร์มีท่าทีสงบเยือกเย็นขึ้น แววตาไม่ได้ส่องประกายกราดเกรี้ยวอย่างที่ถูกอบรมมาอย่างดีทำให้วงเดือนยอมตามใจ

    ร่างที่ยืนจังก้าขวางหน้ารถลดแขนตัวเองลงก่อนจะมาดึงแขนเล็กลากไปคุยในทุ่งหญ้าเลี้ยงม้า พอให้ไกลจากคนบนรถได้ยิน รักษ์ชาติหยุดเดิน และหันกลับมายังเขียนจันทร์ ดวงตาร้ายนั้นไม่ต่างจากเสือ

    “เธอต้องรับผิดชอบ!”

    เขียนจันทร์กอดอกมองอย่างใจเย็น ความรู้สึกกดดันของรักษ์ชาติท่วมทะลักออกมามากมาย แต่เธอพยายามทำเป็นมองไม่เห็น

    “รับผิดชอบอะไรก็ว่ามา เพราะฉันยังต้องรับผิดชอบโลก ไม่ให้รถติดเครื่องเพราะจอดรอฉัน ผลิตก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ไปเพิ่มก๊าซเรือนกระจกให้กับชั้นบรรยากาศโลกด้วยเหมือนกัน”

    อดีตทหารนายร้อยกัดฟันกรอด ท่าทีไม่สนใจ หรือยี่หระของอีกฝ่ายนั้นยั่วโมโหให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธอกับหม่อมยายของเธอเพิ่งจะขว้างระเบิดใส่สมองเขาเมื่อชั่วโมงก่อนนี้

    “ฉันจะไปจัดการคุยกับวาดที่อังกฤษ” รักษ์ชาติไม่สนว่าคนฟังกำลังทำหน้าเหมือนเห็นผีตอนบ่ายสองอันร้อนจัดแค่ไหน “อย่าให้รู้ว่ามีคนโทรไปบอกวาดก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะกลับมาเชือดทิ้งให้หมด”

    “ถ้าเจอก็ฝากบอกพี่วาดให้ฉันด้วยว่าฉันคิดถึง แต่ถ้าไม่เจอก็ฝากซื้อกระเป๋า เครื่องสำอางกลับมาให้ด้วยก็ได้นะ จะได้ไปไม่เสียเที่ยว”

    รักษ์ชาติถลึงตาดุใส่ผู้หญิงที่ไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด ในอดีตเขียนจันทร์ก็ออกจะต่อล้อต่อเถียงแบบนี้เสมอ แต่สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอ เพราะเขามักใช้เรื่องพ่อมาอ้าง ส่วนตอนนี้เขาต้องใช้เหตุผลอื่นมาบีบอีกฝ่ายแทน

    “ฉันจะไม่อยู่ ไม่มีใครมาดูแลลูก พี่เลี้ยงกว่าจะกลับก็อีกสามวัน ฉันอยากให้เธอช่วยดูเขาให้หน่อย”

    น้ำเสียงที่อ่อนลงไม่ได้ทำให้คนฟังหายมึนงง เขียนจันทร์ทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามผสมอาการตกใจ รักษ์ชาติไม่ใส่ใจที่จะอธิบายอะไรเพิ่ม หันไปยกมือป้องปากเรียกชื่อๆ หนึ่งออกมา

    “ลูกขุน”

    เขียนจันทร์ขมวดคิ้วมองหา ว่าขุนที่เขาว่าจะเป็นนกขุนทอง หรืออะไร แต่คนตรงหน้าเธอก็มีชื่อเล่นว่า ‘เจ้าขุน’ หากมีลูกอีกทำไมถึงได้ตั้งชื่อซ้ำซากแบบนั้น หรือคิดได้เท่านี้...

    เสียงเคลื่อนไหวในทุ่งหญ้าสูงท่วมเอวเรียกสายตาผู้ใหญ่สองคู่ให้มองตาม ร่างเล็กผิวขาวสะอาด ปากแดง แก้มยุ้ยหน้าหยิกของเด็กชายตัวเล็กสวมชุดทหารขนาดเล็กมุดออกมาจากพงหญ้า

    “เจ้าเสือ นี่อาเขียน น้องสาวอาวาด” พ่อเด็กวางมือบนไหล่ของเด็กน้อยที่มีดวงตาหวาดระแวงมองมาให้รู้จักกับเขียนจันทร์ เมื่อรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครเด็กน้อยก็แปรเปลี่ยนสายตาเป็นรอยยิ้ม

    “นี่น้องลูกขุน ลูกชายฉัน คงไม่ได้รบกวนเธอมากไปใช่ไหม”

    “ขนาดนี้ฉันจะไปปฏิเสธอะไรได้” เขียนจันทร์ย่อตัวนั่งยอง อยู่ระดับเดียวกับส่วนสูงเด็กชายที่ยังไม่แตะหนึ่งเมตร “น้องขุน อาชื่ออาเขียนนะครับ อาไม่ดุ คุยง่าย รักสัตว์ด้วย น้องขุนต้องสัญญาว่าจะไม่ดื้อนะครับ”

    เด็กชายกองพันพยักหน้าหงึกหงัก แต่ไม่ยอมพูดจา เขียนจันทร์เลิกคิ้วแปลกใจ

    “แกได้ยิน แต่ไม่ค่อยพูด” รักษ์ชาติอธิบายด้วยเสียงเรียบ

    หญิงสาวยิ้ม ไม่แสดงออกถึงความเศร้าให้เด็กชายนึกเศร้าตาม เธอเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ “ทุกคนที่บ้านอาใจดีหมด ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะครับน้องขุน” มือบางลูบศีรษะนุ่มของเด็กชายอย่างปลอบโยน อดสะท้านใจไม่ได้กับแววตาอันว่างเปล่า แฝงหวาดระแวงอย่างปิดไม่มิดที่มองตอบมา

    “เดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าน้องขุนมาให้ แล้วก็กุญแจบ้าน อีกสามวันพี่เลี้ยงน้องขุนจะกลับมา ฝากเธอไปส่งที่บ้านด้วย เดี๋ยวฉันจดที่อยู่ไว้ให้” รักษ์ชาติกระเถิบตัวมาใกล้ กระซิบเสียงเข้ม “ดูแลน้องฉันให้ดี มันเป็นสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบแทนฉันชั่วคราว”

    เขียนจันทร์อุ้มเด็กชายขึ้นมานั่งบนแขนอย่างง่ายดาย พอจะกระจ่างอะไรหลายๆ อย่างในเวลาอันสั้น พ่อของรักษ์ชาติเสียไปเมื่อสามปีก่อน และเด็กคนนี้ก็คงเกิดขึ้นมาจากอนุคนไหนสักคนของพ่อเขา แต่โชคร้ายที่ลูกชายไม่มีโอกาสได้รู้จักพ่อที่แท้จริง พี่ชายจึงต้องสวมบทบาทแทน

    “คุณออกจากราชการมากี่ปีแล้ว”

    รักษ์ชาติหมุนตัวกลับมา ดวงตามองมาก่อนเลื่อนไปยังใบหน้าของกองพัน ตอบเสียงห้วนก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเอง

    “สามปี!”

    และนี่ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลที่เขาเลือกออกจากราชการ...

    เขียนจันทร์ยกมือลูบแก้มนุ่มของเด็กชาย ปากเล็กเม้มแน่น เกร็งตัว และสั่นขณะที่เธอกำลังอุ้มไว้

    ทำไมเด็กชายตัวน้อยถึงได้ดูหวาดระแวงต่อทุกสิ่งแบบนี้


    แม่บ้านพากันส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา เมื่ออาหารเด็กหลายๆ ชนิดถูกปฏิเสธ เขียนจันทร์พยักหน้าเข้าใจ เธอเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่การที่เด็กชายไม่ขยับมือแม้แต่จับช้อน นั่งนิ่งไม่หือไม่อือ ขนาดแม่บ้านพยายามตักป้อนก็ปิดปากแน่น เบือนหน้าหนี พานให้ใครๆ ในวังต่างพากันหนักใจ

    ทีแรกแค่เธอพากองพันเข้ามาในรถ หม่อมยายก็ถามแล้วถามอีกว่าเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงจะดีเหรอ แต่เธอก็รับปากรักษ์ชาติไปแล้วเหมือนกัน แค่มองสบกับดวงตาดำขลับกลมโตของเด็กชายใจเธอก็อ่อนยวบ

    “ไหวเหรอเขียน”

    มื้ออาหารเย็นบนโต๊ะไม้ฉลุที่มีเธอกับวงเดือนรับประทานไปได้ครึ่งๆ กลางๆ กับอาหารชาววังที่ว่าอร่อยวันนี้ก็เหมือนจะไม่ถูกกระเพาะ ไม่ย่อยในลำไส้ เด็กชายตัวน้อยที่นั่งข้างเธอใช้สายตานิ่งเงียบกดดันผู้ใหญ่ต่างวัยให้จำต้องหยุดมื้ออาหารนี้

    “เขียนก็ไม่รู้ค่ะ” เขียนจันทร์รวบช้อน ตอบอย่างจนปัญญา

    “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวยายโทรเรียกชายหมอมาดีกว่านะ เขียนอุตส่าห์กลับมาทั้งที”

    ‘ชายหมอ’ ของหม่อมยายเป็นบุคคลที่ท่านเพียรพยายามให้หลานสาวสนิทสนมด้วยมานานหลายปี แต่ระยะเวลาที่พบกันปีหนึ่งเพียงไม่กี่วัน และเขียนจันทร์ไม่เคยติดต่อกลับมา หรือให้ช่องทางสำหรับหม่อมราชวงศ์บดินทร์ภัทรติดต่อได้เลย ทำให้ทุกอย่างไม่เคยพัฒนา มันเท่าเดิมคล้ายวันแรกที่รู้จักเป็นอย่างไร ปีต่อมาที่พบหน้ากันใหม่ก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่