เอาเรื่องมาลงในนี้เรื่องแรกค่ะ อยากได้รับคำวิจารณ์ ความเห็นหลังจากอ่านค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ ^^
บทที่ 1
รถกระบะขึ้นสนิมปุเลงแล่นลุยดินแดงมาจนฝุ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณที่แล่นผ่าน สวนทางกับเด็กน้อยสวมกางเกงลายพรางที่กำลังปั่นจักรยานจนไอโขลกด่าเปิงไล่หลัง แรกเริ่มที่เข้ามารถแล่นอยู่บนถนนลาดยาง แต่พอเริ่มเข้าสู่เขตที่พักก็กลายเป็นดินแดง ไม่ถึงห้านาทีดีเครื่องยนต์ครืดคราดจึงแล่นเบรกเอี๊ยดหน้าบ้านไม้ซอมซ่อที่ห่างจากการซ่อมแซมนานหลายปี ประตูด้านคนขับอยู่ตรงชานบันไดบ้านพอดิบพอดี
“ขอบคุณนะคะจ่า รบกวนจริงๆ”
ประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับในรถกระบะตอนเดียวเปิดออก ร่างระหงในชุดทะมัดทะแมงคว้ากระเป๋าสัมภาระที่มีเพียงกระเป๋าเป้ใบใหญ่สะพายขึ้นหลัง พลางพนมมือไว้ผู้อาวุโสกว่าด้วยความขอบคุณ
“หมวดแกจะได้ไม่เหงานะ มีเรามาอยู่เป็นเพื่อน แปบๆ หมวดก็จะเกษียณแล้ว ไวจริงๆ” คนขับที่เป็นชายร่างเล็กหัวล้านหันมายิ้มให้เด็กคราวลูกอีกครั้งก่อนออกรถไป
เขียนจันทร์มองจนลับตาจึงหันกลับมามองบ้านไม้ที่เคยอยู่มากว่าสิบห้าปีด้วยความคิดถึง หลังคามุงด้วยกระเบื้องแบบง่าย มีชานระเบียงไม้ยื่นออกมา เสาเรือนทั้งสี่เสาของบ้านนั้นหญิงสาวรู้ว่าในอดีตเธอกับพี่ๆ น้องๆ ต้องคอยหาอะไรมากำจัดปลวกที่เพียรขึ้นเสมอ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เธอไม่อยู่ที่นี่...พ่อจะทำอะไรกับบ้านบ้างหรือเปล่า
บ้านพักทหารในกรมนั้นพ่อของเธออยู่มาตั้งแต่สมัยเป็นนายสิบ คอยตามเจ้านายที่ยศสูงกว่า จนวันนี้ได้เลื่อนเป็นถึงยศร้อยตรีแล้ว พ่อก็ยังมีความสุขกับบ้านหลังนี้ ไม่ยอมย้ายเปลี่ยนไปไหน บอกว่าเอาไว้เปลี่ยนหลังเกษียณจากที่นี่ทีเดียว
บ้านที่ปิดเงียบเชียบแสดงว่าร้อยตรีศิลปินยังไม่ได้กลับนั้นทำให้คนที่มาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าต้องเดินไปนั่งยังแคร่ไม้หน้าบ้าน ใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่อายุร่วมร้อยปี แสงของพระอาทิตย์เหนือหัวส่องแสงลอดมาเพียงรำไรตามแนวใบไม้ได้ไม่มาก แต่ก็ยังแผ่ไอร้อนมาให้ผิวขาวที่บำรุงมาอย่างดีแสบร้อนผิวได้บ้าง
พ่อของเธอเป็นทหารในกรมสัตว์ จะคอยดูแลฝึกสัตว์ และสัตว์ที่เธอชื่นชอบจนเกือบเอามาเป็นอาชีพก็คือขี่ม้า ม้าตัวโปรดของเธอชื่อ ‘พระจันทร์’ เธอเลี้ยง และช่วยพ่อทำคลอดมันตั้งแต่อายุไม่ถึงแปดขวบดี ด้วยความที่สนใจการเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ยิ่งมาพบกับพระจันทร์เธอจึงยิ่งหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เธอนำพระจันทร์ออกไปแข่งหลังจากนั้นไม่กี่ปี ถึงจะยังเป็นเด็กแต่เธอก็ขี่ม้าแข่งได้กับพวกผู้ใหญ่เพราะความเอาจริงเอาจัง แต่แล้วจุดหมายปลายทางในการแข่งม้าของเธอก็ต้องสะดุดและจบลง
พระจันทร์ถูกวางยา และตายไปในขณะที่เธอกำลังพ่วงพีอย่างสง่าบนหลังของมัน มันร้องไห้ และล้มลงไปตอนที่มันพาเธอวิ่งสู่เส้นชัย จนวันนี้เธอจึงไม่เคยปักใจเลี้ยงสัตว์ชนิดไหนอีก รวมทั้งการปฏิเสธการแข่งขันขี่ม้าทุกอย่าง ผ่านมาสิบปีเธอก็ยังฝันถึงภาพลมหายใจสุดท้ายของพระจันทร์เสมอ จะมีใครกันที่รับเหรียญทองทั้งที่หน้าไร้ความรู้สึก เธอได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในอก กระทั่งพิธีมอบรางวัลเสร็จเธอก็ร้องไห้หนัก ไข้ขึ้น และต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วย ก่อนจะตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังนี้ และมีหม่อมยายส่งเธอไปเรียนต่อยังต่างประเทศ
ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมามากมาย แต่มันไม่ได้ไม่น่าคิดถึงเหมือนแต่ก่อน เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่ยังฝังใจ หรือจดจำอะไรไปตลอดชีวิตโดยไม่คิดเรียนรู้ที่จะจัดการกับความรู้สึก
เขียนจันทร์ถอดเป้วางลงบนแคร่ ก่อนจะนอนราบ ให้ศีรษะหนุนบนเป้ที่บรรจุเสื้อผ้าจนเต็มแล้วนอนหลับตา กลิ่นหญ้า ไอแดด และความรู้สึกของบ้านพ่อยังคงทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ไม่เปลี่ยนแปลง
เสียงรถเคลื่อนที่มาอย่างเร็ว และหยุดลงตรงหน้าบ้านทำให้คนที่งีบพักสายตาไปไม่ถึงห้านาทีลุกขึ้นมานั่งหลังตรง ป้องมือบังแสงแดดที่สาดไปยังรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันโต คนๆ หนึ่งกระโดดลงมาจากรถ ร่างสูงที่เดินย้อนแสงทำให้เธอเห็นเขาไม่ชัดเจน แต่จากหุ่นที่มีมัดกล้ามเด่นชัด แต่งชุดลำลองเสื้อเขียว กางเกงลายพรางก็คงเป็นทหาร เป็นชุดพื้นฐานของคนที่นี่เลยก็ว่าได้
“วาดเหรอ”
น้ำเสียงละมุน บวกกับหน้าตาโครงเข้ม ผิวคร้ามแดดปรากฏในครรลองสายตา คิ้วสีเข้มชัดเหนือดวงตาดำขลับที่มีรอยดุ ปากเม้มแน่น ยามปะทะสายตากับผู้หญิงคนที่เขาคิดว่าใช่...แต่ไม่ใช่ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระด้าง น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“เขียน!”
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะคะ” เขียนจันทร์ลุกขึ้นยกมือไหว้ลูกชายเจ้านายพ่อที่อายุห่างจากเธอสี่ปีอย่างคนมีมารยาทที่ดี ตรงข้ามกับใบหน้าที่ไม่ได้ละมุนตานัก นอกจากเรียบสงบเฉยชา ไม่หืออือหรือเดือดร้อนจากการที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นพี่สาว “แฟนไม่อยู่คุณก็น่าจะกลับไปได้แล้ว ข่าวที่ลุงๆ เขาส่งออกไปว่าลูกสาวบ้านนี้กลับมาเป็นฉัน คุณก็เห็นกับตาแล้วจริงไหมคะ”
รอยยิ้มเก๋แต้มมุมปาก เขียนจันทร์เลิกให้เกียรติอีกฝ่ายเสียดื้อๆ จึงไม่ได้สนใจเขา หันมาตบกระเป๋าซึ่งใช้ต่างหมอนสองที ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนตามเดิม จงใจหันหลังให้รักษ์ชาติ และอาการของเธอก็เรียกเสียงเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอของรักษ์ชาติได้ ร่างหนาจงใจเดินมากระแทกตัวนั่งบนแคร่จนหญิงสาวต้องกระเถิบหนีไปอีกนั้นทำให้คนอารมณ์เสียเกือบจะพ่นควันออกจากจมูก
“ไปอดนอนมาจากไหน ลุก! เธอนี่มันขี้เกียจจริงๆ”
“ยุ่ง!”
“คิดว่าออกไปอยู่ที่อื่นแล้วจะปีกกล้าขาแข็งได้หรือไง ลุกมาตอบฉันเดี๋ยวนี้ว่าพี่สาวเธอไปอยู่ที่ไหน” คนทำแฟนหายคว้าไหล่ปวกเปียกของคนนอนหลับให้ลุกมาเผชิญหน้า เขียนจันทร์ส่งเสียงหึ แต่ก็คร้านเกินกว่าจะมานอนฟังนายทหารที่เอาแต่โหวกเหวก ซ้ำยังพานมาลงกับเธอที่ไม่ใช่ ‘วาดตะวัน’ แฟนของเขา
“รู้แต่ไม่บอก ขอโทษด้วย ขนาดแฟนอย่างคุณ พี่สาวฉันยังไม่อยากให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของเขา” เขียนจันทร์ตอบชัดถ้อยชัดคำ สายตาเป็นต่อมองเขาอย่างดูแคลน ผู้ชายที่ทำตัววิ่งไล่ตามผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด ในอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันรักษ์ชาติก็ยังเป็นอย่างนั้น สายตายามมองเธอเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่เขาอยากจะบีบให้ตายอยู่รอมร่อนั่นก็ไม่เปลี่ยนสักนิด
ในอดีตเธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด ก็ถูกเขาซึ่งเป็นลูกเจ้านายพ่อ ทำตัววางอำนาจใส่ ถือว่าตัวเองเป็นใหญ่ สั่งอะไรต้องได้ วาดตะวันนั้นอายุห่างกับรักษ์ชาติเพียงสองปี จึงสนิทกับฝ่ายนั้นมากกว่าเธอ และเป็นคนที่รักษ์ชาติยอมลงให้เพียงคนเดียว นอกนั้นทั้งเธอ ประกายพรึก และภาพวิจิตรต่างก็ต้องโดนเขาจิกไปใช้เสมอๆ เป็นที่ตลกแก่เขา
ภาพสามพี่น้องต้องต่อตัวเพื่อไปเก็บมะม่วงแล้วโดนมดแดงกัดจนตกต้นไม้เป็นแผลถลอกปอกเปิก การลงน้ำไปเก็บลูกฟุตบอลที่เขาเล่นกับเพื่อนๆ แล้วทำเอาภาพวิจิตรเกือบจมน้ำเพราะขาเป็นตะคริว หรืออีกหลายๆ อย่างที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อแกล้งเธอ สั่งห้ามมีปากมีเสียงเพราะเขาจะอ้างว่าพ่อเธอเป็นลูกน้อง ถ้าเขาไปฟ้องเรื่องนี้จะไปมีปัญหาต่อการทำงานของพ่อเธออีก จากนี้จะไม่มีอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะพ่อของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว และพ่อของเธอก็กำลังพ้นภาระในการเป็นทหาร
เขามันก็แค่เด็ก ต่อให้ผ่านโรงเรียนนายร้อยมา ก็ไม่ได้โตขึ้นเลยสำหรับเธอ กับคนอื่นเธอได้ยินว่าเขาวางตัวดีขึ้น เธอคงได้ยินจากน้องๆ มาผิด
“วาดไม่ติดต่อฉันมาสามเดือน ครั้งล่าสุดที่โทรไปก็บอกปัดๆ เหมือนรำคาญ”
“ยิ่งคุณทำตัววิ่งไล่ตามเท่าไหร่ คนอย่างพี่วาดก็ยิ่งไม่สนใจหรอกค่ะ ผู้ชายที่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไร้พิษภัย เหมือนของกลมๆ ที่มองออกง่ายๆ อย่างคุณ ผู้หญิงคงรำคาญ ทางที่ดีเตรียมใจถูกทิ้งเถอะค่ะ”
“เขียน!” เสียงตะคอกโมโหไม่ได้ทำคนฟังสะเทือนหรือสะทกสะท้าน หญิงสาวเพียงไหวไหล่ก่อนจะกลอกตาอย่างระอา
ท่าทีเป็นเดือดเป็นแค้น อยากคว้าเธอมาบีบคอด้วยใบหน้าแดงก่ำในตอนนี้ของเขาช่างสะใจเธอเหลือเกิน
“ว่างหรือคะ เวลางานแท้ๆ”
คราวนี้ผิดคาด เสียงหัวเราะในลำคอของพ่อทหารหนุ่มหัวเราะ สายตาขบขันกับการเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขียนจันทร์ หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างที่กลายเป็นตัวตลกอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอไปเหยียบนิ้วเท้าตัวเองให้เขาตลกตอนไหนมิทราบ แต่ความสามารถในการรักษาสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกออกไปของเธอก็ยังดีเยี่ยม มันเยี่ยมมาตั้งแต่เด็ก หากไม่เกิดมาเป็นรอง ต้องงอมืองอเท้าทำโดยปริปากบ่นไม่ได้ แม้แต่ให้เด็กชายตัวโย่งวัยสิบขวบขึ้นหลังเพื่อจะปีนหน้าต่างขึ้นบ้านตัวเองไม่ให้พ่อจับได้ว่าแอบหนีไปสร้างเรื่องมาด้วยการท้าต่อยกับลูกชายผู้หมวดในกรมอีกคน...เธอก็เคยทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้
“ฉันไม่ได้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์อีกแล้วล่ะ ฉันออกจากราชการแล้ว”
เขียนจันทร์เลิกคิ้วประหลาดใจนิดหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะอย่างดูแคลน เมินไปมองทางอื่น รู้สึกแถวนี้จะรกหูรกตาขึ้นมาฉับพลัน “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ตอนนั้นไม่น่าเชื่อเลยนะคะที่คุณอยากจะเป็นมากๆ อยากรักชาติให้เหมือนชื่อ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว ชีวิตใครก็ชีวิตมัน”
“นี่พูดมันให้ดีๆ เธอไม่มีสิทธิ์อ้าปากวิจารณ์ชีวิตฉัน” ต้นแขนเล็กถูกมือหนาหยาบกำไว้รอบแขนแน่น น้ำเสียงกระโชก “ถ้าเธอไม่เคยเจอประสบการณ์ที่พ่อตัวเองต้องเสียชีวิตเพราะขนอาวุธอยู่ล่ะก็ขอให้รู้ว่าไม่มีวันเข้าใจ พ่อของฉันตายเพราะอาวุธ ต่อหน้าต่อตาฉัน”
“ฉันขอโทษ” เขียนจันทร์ปลดแขนตัวเองที่เริ่มเจ็บออก รู้สึกผิด และตกใจปะปนกัน เธอไม่เคยรู้ความเป็นไปของรักษ์ชาติ ผู้ชายที่เธอไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุดในโลก
“คนอย่างเธอไม่รู้จักฉันสักนิด”
“ไม่คิดจะรู้จักอยู่แล้วค่ะ” ครานี้หญิงสาวยิ้มออกมาประกอบคำพูดเพื่อให้ดูว่าเธอจริงใจกับประโยคนี้มากแค่ไหน เห็นอีกฝ่ายชะงักค้างยังหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้ เสียงกระดิ่งของม้าก็ดังพักยกเสียก่อน เขียนจันทร์รีบเดินเร็วให้พ้นจากบริเวณคนที่เป็นดังพายุ ไปยังผู้ชายร่างท้วมที่เริ่มลงพุง แม้จะสวมเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าแต่หน้าท้องก็โย้ออกมาชัดเจน สวมหมวกปีกกว้างกันแดด ลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วอ้าแขนรอรับ
เขียนจันทร์กอดบิดาไว้แน่น เจ็ดปีที่เธอไปร่ำเรียนยังต่างประเทศ เวลากลับมาก็น้อยวัน อย่างมากปีหนึ่งไม่เกินเจ็ดวันที่จะได้อยู่กับพ่อ นอกจากนั้นเธอจะถูกดึงตัวไปอยู่วังของหม่อมยายเสียหมด อยู่ให้ท่านฝึกเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร ตรงข้ามกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ของเธอที่เอาแต่ส่ายหัวดิก ไม่อยากเอาใจญาติผู้ใหญ่ เธอเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะปีๆ หนึ่งก็ไม่ได้จะกลับไทยบ่อย อยู่ปีหนึ่งไม่เคยถึงสองเดือนดี
“พ่อสบายดีนะคะ วันนี้เขียนลงเหยียบสนามบินก็รีบดิ่งมาที่นี่เลย กลัวว่าถ้าไม่รีบมา จะไม่มีโอกาสมา”
ผู้หมวดศิลปินคลายอ้อมกอด เปลี่ยนมาโอบไหล่ลูกสาวคนรองไว้แทน เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงพอได้ฟังคำบอกเล่าจากบุตรสาว
“อะไรกัน หม่อมยายของลูกจะไม่ให้พ่อลูกได้พบกันเชียวเหรอ”
เขียนจันทร์ส่ายศีรษะไม่ตอบ ไม่อยากให้พ่อกับยายพานเข้าหน้ากันไม่ติดไปมากกว่านี้ ตั้งแต่เธอสิบขวบที่พ่อแม่เลิกกันไป ครอบครัวของแม่ก็ยิ่งตั้งป้อมรังเกียจรังงอนพ่อเธอกันใหญ่ พานอยากเก็บหลานๆ ทั้งสี่ไปอยู่ในอาณัติให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำกันไม่สำเร็จ
หลานทั้งสี่ของพวกท่านรักอิสระเกินกว่าจะไปอยู่ในวัง อย่างมากเธอก็จะเป็นตัวแทนน้องๆ ไปนั่งพับเพียบเรียนมารยาท และสังคมชั้นสูงกับผู้เป็นยายตั้งแต่เย็นวันศุกร์จนถึงเย็นวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์เสมอ เพื่อไม่ให้มีระเบิดลงที่กรมการสัตว์ เพราะไม่มีใครสักคนที่จะใส่ใจเรื่องในวังของยาย
“เขียนซื้อบ้านไว้ที่กรุงเทพฯ นี่ก็รอมาดักย้ายข้าวของพ่อไปอยู่ด้วยกัน กลัวพี่วาด นายพรึก แล้วก็ยัยภาพจะมาแย่งหน้าที่ก่อน”
หญิงสาวสำรวจม้าพันธุ์ดีตัวสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำ ขนมันวาว ดวงตาของมันเป็นประกายสดใส ลมหายใจพ่นฟืดฟาดอย่างม้าที่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม มือบางแตะลงไปบนขนที่แปรงอย่างดีด้วยดวงตาที่ปิดประกายไม่มิด
“พายุดูแข็งแรงกว่าที่เจอเมื่อปีที่แล้วอีกนะคะ” อดีตนักกีฬาขี่ม้ายิ้มอย่างพึงพอใจ พายุเป็นหนึ่งในลูกม้าที่เกิดคอกเดียวกับพระจันทร์ของเธอ เป็นม้าที่อ่อนแอแตกต่างจากพระจันทร์ที่แข็งแรงกว่าม้าในวัยเดียวกันมาก “พระจันทร์คงไม่ปล่อยให้น้องของมันเป็นอะไรไปง่ายๆ”
เล่ห์ลวงจันทร์ บทที่ 1
บทที่ 1
รถกระบะขึ้นสนิมปุเลงแล่นลุยดินแดงมาจนฝุ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณที่แล่นผ่าน สวนทางกับเด็กน้อยสวมกางเกงลายพรางที่กำลังปั่นจักรยานจนไอโขลกด่าเปิงไล่หลัง แรกเริ่มที่เข้ามารถแล่นอยู่บนถนนลาดยาง แต่พอเริ่มเข้าสู่เขตที่พักก็กลายเป็นดินแดง ไม่ถึงห้านาทีดีเครื่องยนต์ครืดคราดจึงแล่นเบรกเอี๊ยดหน้าบ้านไม้ซอมซ่อที่ห่างจากการซ่อมแซมนานหลายปี ประตูด้านคนขับอยู่ตรงชานบันไดบ้านพอดิบพอดี
“ขอบคุณนะคะจ่า รบกวนจริงๆ”
ประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับในรถกระบะตอนเดียวเปิดออก ร่างระหงในชุดทะมัดทะแมงคว้ากระเป๋าสัมภาระที่มีเพียงกระเป๋าเป้ใบใหญ่สะพายขึ้นหลัง พลางพนมมือไว้ผู้อาวุโสกว่าด้วยความขอบคุณ
“หมวดแกจะได้ไม่เหงานะ มีเรามาอยู่เป็นเพื่อน แปบๆ หมวดก็จะเกษียณแล้ว ไวจริงๆ” คนขับที่เป็นชายร่างเล็กหัวล้านหันมายิ้มให้เด็กคราวลูกอีกครั้งก่อนออกรถไป
เขียนจันทร์มองจนลับตาจึงหันกลับมามองบ้านไม้ที่เคยอยู่มากว่าสิบห้าปีด้วยความคิดถึง หลังคามุงด้วยกระเบื้องแบบง่าย มีชานระเบียงไม้ยื่นออกมา เสาเรือนทั้งสี่เสาของบ้านนั้นหญิงสาวรู้ว่าในอดีตเธอกับพี่ๆ น้องๆ ต้องคอยหาอะไรมากำจัดปลวกที่เพียรขึ้นเสมอ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เธอไม่อยู่ที่นี่...พ่อจะทำอะไรกับบ้านบ้างหรือเปล่า
บ้านพักทหารในกรมนั้นพ่อของเธออยู่มาตั้งแต่สมัยเป็นนายสิบ คอยตามเจ้านายที่ยศสูงกว่า จนวันนี้ได้เลื่อนเป็นถึงยศร้อยตรีแล้ว พ่อก็ยังมีความสุขกับบ้านหลังนี้ ไม่ยอมย้ายเปลี่ยนไปไหน บอกว่าเอาไว้เปลี่ยนหลังเกษียณจากที่นี่ทีเดียว
บ้านที่ปิดเงียบเชียบแสดงว่าร้อยตรีศิลปินยังไม่ได้กลับนั้นทำให้คนที่มาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าต้องเดินไปนั่งยังแคร่ไม้หน้าบ้าน ใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่อายุร่วมร้อยปี แสงของพระอาทิตย์เหนือหัวส่องแสงลอดมาเพียงรำไรตามแนวใบไม้ได้ไม่มาก แต่ก็ยังแผ่ไอร้อนมาให้ผิวขาวที่บำรุงมาอย่างดีแสบร้อนผิวได้บ้าง
พ่อของเธอเป็นทหารในกรมสัตว์ จะคอยดูแลฝึกสัตว์ และสัตว์ที่เธอชื่นชอบจนเกือบเอามาเป็นอาชีพก็คือขี่ม้า ม้าตัวโปรดของเธอชื่อ ‘พระจันทร์’ เธอเลี้ยง และช่วยพ่อทำคลอดมันตั้งแต่อายุไม่ถึงแปดขวบดี ด้วยความที่สนใจการเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ยิ่งมาพบกับพระจันทร์เธอจึงยิ่งหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เธอนำพระจันทร์ออกไปแข่งหลังจากนั้นไม่กี่ปี ถึงจะยังเป็นเด็กแต่เธอก็ขี่ม้าแข่งได้กับพวกผู้ใหญ่เพราะความเอาจริงเอาจัง แต่แล้วจุดหมายปลายทางในการแข่งม้าของเธอก็ต้องสะดุดและจบลง
พระจันทร์ถูกวางยา และตายไปในขณะที่เธอกำลังพ่วงพีอย่างสง่าบนหลังของมัน มันร้องไห้ และล้มลงไปตอนที่มันพาเธอวิ่งสู่เส้นชัย จนวันนี้เธอจึงไม่เคยปักใจเลี้ยงสัตว์ชนิดไหนอีก รวมทั้งการปฏิเสธการแข่งขันขี่ม้าทุกอย่าง ผ่านมาสิบปีเธอก็ยังฝันถึงภาพลมหายใจสุดท้ายของพระจันทร์เสมอ จะมีใครกันที่รับเหรียญทองทั้งที่หน้าไร้ความรู้สึก เธอได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในอก กระทั่งพิธีมอบรางวัลเสร็จเธอก็ร้องไห้หนัก ไข้ขึ้น และต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วย ก่อนจะตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังนี้ และมีหม่อมยายส่งเธอไปเรียนต่อยังต่างประเทศ
ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมามากมาย แต่มันไม่ได้ไม่น่าคิดถึงเหมือนแต่ก่อน เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่ยังฝังใจ หรือจดจำอะไรไปตลอดชีวิตโดยไม่คิดเรียนรู้ที่จะจัดการกับความรู้สึก
เขียนจันทร์ถอดเป้วางลงบนแคร่ ก่อนจะนอนราบ ให้ศีรษะหนุนบนเป้ที่บรรจุเสื้อผ้าจนเต็มแล้วนอนหลับตา กลิ่นหญ้า ไอแดด และความรู้สึกของบ้านพ่อยังคงทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ไม่เปลี่ยนแปลง
เสียงรถเคลื่อนที่มาอย่างเร็ว และหยุดลงตรงหน้าบ้านทำให้คนที่งีบพักสายตาไปไม่ถึงห้านาทีลุกขึ้นมานั่งหลังตรง ป้องมือบังแสงแดดที่สาดไปยังรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันโต คนๆ หนึ่งกระโดดลงมาจากรถ ร่างสูงที่เดินย้อนแสงทำให้เธอเห็นเขาไม่ชัดเจน แต่จากหุ่นที่มีมัดกล้ามเด่นชัด แต่งชุดลำลองเสื้อเขียว กางเกงลายพรางก็คงเป็นทหาร เป็นชุดพื้นฐานของคนที่นี่เลยก็ว่าได้
“วาดเหรอ”
น้ำเสียงละมุน บวกกับหน้าตาโครงเข้ม ผิวคร้ามแดดปรากฏในครรลองสายตา คิ้วสีเข้มชัดเหนือดวงตาดำขลับที่มีรอยดุ ปากเม้มแน่น ยามปะทะสายตากับผู้หญิงคนที่เขาคิดว่าใช่...แต่ไม่ใช่ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระด้าง น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“เขียน!”
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะคะ” เขียนจันทร์ลุกขึ้นยกมือไหว้ลูกชายเจ้านายพ่อที่อายุห่างจากเธอสี่ปีอย่างคนมีมารยาทที่ดี ตรงข้ามกับใบหน้าที่ไม่ได้ละมุนตานัก นอกจากเรียบสงบเฉยชา ไม่หืออือหรือเดือดร้อนจากการที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นพี่สาว “แฟนไม่อยู่คุณก็น่าจะกลับไปได้แล้ว ข่าวที่ลุงๆ เขาส่งออกไปว่าลูกสาวบ้านนี้กลับมาเป็นฉัน คุณก็เห็นกับตาแล้วจริงไหมคะ”
รอยยิ้มเก๋แต้มมุมปาก เขียนจันทร์เลิกให้เกียรติอีกฝ่ายเสียดื้อๆ จึงไม่ได้สนใจเขา หันมาตบกระเป๋าซึ่งใช้ต่างหมอนสองที ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนตามเดิม จงใจหันหลังให้รักษ์ชาติ และอาการของเธอก็เรียกเสียงเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอของรักษ์ชาติได้ ร่างหนาจงใจเดินมากระแทกตัวนั่งบนแคร่จนหญิงสาวต้องกระเถิบหนีไปอีกนั้นทำให้คนอารมณ์เสียเกือบจะพ่นควันออกจากจมูก
“ไปอดนอนมาจากไหน ลุก! เธอนี่มันขี้เกียจจริงๆ”
“ยุ่ง!”
“คิดว่าออกไปอยู่ที่อื่นแล้วจะปีกกล้าขาแข็งได้หรือไง ลุกมาตอบฉันเดี๋ยวนี้ว่าพี่สาวเธอไปอยู่ที่ไหน” คนทำแฟนหายคว้าไหล่ปวกเปียกของคนนอนหลับให้ลุกมาเผชิญหน้า เขียนจันทร์ส่งเสียงหึ แต่ก็คร้านเกินกว่าจะมานอนฟังนายทหารที่เอาแต่โหวกเหวก ซ้ำยังพานมาลงกับเธอที่ไม่ใช่ ‘วาดตะวัน’ แฟนของเขา
“รู้แต่ไม่บอก ขอโทษด้วย ขนาดแฟนอย่างคุณ พี่สาวฉันยังไม่อยากให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของเขา” เขียนจันทร์ตอบชัดถ้อยชัดคำ สายตาเป็นต่อมองเขาอย่างดูแคลน ผู้ชายที่ทำตัววิ่งไล่ตามผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด ในอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันรักษ์ชาติก็ยังเป็นอย่างนั้น สายตายามมองเธอเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่เขาอยากจะบีบให้ตายอยู่รอมร่อนั่นก็ไม่เปลี่ยนสักนิด
ในอดีตเธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด ก็ถูกเขาซึ่งเป็นลูกเจ้านายพ่อ ทำตัววางอำนาจใส่ ถือว่าตัวเองเป็นใหญ่ สั่งอะไรต้องได้ วาดตะวันนั้นอายุห่างกับรักษ์ชาติเพียงสองปี จึงสนิทกับฝ่ายนั้นมากกว่าเธอ และเป็นคนที่รักษ์ชาติยอมลงให้เพียงคนเดียว นอกนั้นทั้งเธอ ประกายพรึก และภาพวิจิตรต่างก็ต้องโดนเขาจิกไปใช้เสมอๆ เป็นที่ตลกแก่เขา
ภาพสามพี่น้องต้องต่อตัวเพื่อไปเก็บมะม่วงแล้วโดนมดแดงกัดจนตกต้นไม้เป็นแผลถลอกปอกเปิก การลงน้ำไปเก็บลูกฟุตบอลที่เขาเล่นกับเพื่อนๆ แล้วทำเอาภาพวิจิตรเกือบจมน้ำเพราะขาเป็นตะคริว หรืออีกหลายๆ อย่างที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อแกล้งเธอ สั่งห้ามมีปากมีเสียงเพราะเขาจะอ้างว่าพ่อเธอเป็นลูกน้อง ถ้าเขาไปฟ้องเรื่องนี้จะไปมีปัญหาต่อการทำงานของพ่อเธออีก จากนี้จะไม่มีอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะพ่อของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว และพ่อของเธอก็กำลังพ้นภาระในการเป็นทหาร
เขามันก็แค่เด็ก ต่อให้ผ่านโรงเรียนนายร้อยมา ก็ไม่ได้โตขึ้นเลยสำหรับเธอ กับคนอื่นเธอได้ยินว่าเขาวางตัวดีขึ้น เธอคงได้ยินจากน้องๆ มาผิด
“วาดไม่ติดต่อฉันมาสามเดือน ครั้งล่าสุดที่โทรไปก็บอกปัดๆ เหมือนรำคาญ”
“ยิ่งคุณทำตัววิ่งไล่ตามเท่าไหร่ คนอย่างพี่วาดก็ยิ่งไม่สนใจหรอกค่ะ ผู้ชายที่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไร้พิษภัย เหมือนของกลมๆ ที่มองออกง่ายๆ อย่างคุณ ผู้หญิงคงรำคาญ ทางที่ดีเตรียมใจถูกทิ้งเถอะค่ะ”
“เขียน!” เสียงตะคอกโมโหไม่ได้ทำคนฟังสะเทือนหรือสะทกสะท้าน หญิงสาวเพียงไหวไหล่ก่อนจะกลอกตาอย่างระอา
ท่าทีเป็นเดือดเป็นแค้น อยากคว้าเธอมาบีบคอด้วยใบหน้าแดงก่ำในตอนนี้ของเขาช่างสะใจเธอเหลือเกิน
“ว่างหรือคะ เวลางานแท้ๆ”
คราวนี้ผิดคาด เสียงหัวเราะในลำคอของพ่อทหารหนุ่มหัวเราะ สายตาขบขันกับการเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขียนจันทร์ หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างที่กลายเป็นตัวตลกอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอไปเหยียบนิ้วเท้าตัวเองให้เขาตลกตอนไหนมิทราบ แต่ความสามารถในการรักษาสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกออกไปของเธอก็ยังดีเยี่ยม มันเยี่ยมมาตั้งแต่เด็ก หากไม่เกิดมาเป็นรอง ต้องงอมืองอเท้าทำโดยปริปากบ่นไม่ได้ แม้แต่ให้เด็กชายตัวโย่งวัยสิบขวบขึ้นหลังเพื่อจะปีนหน้าต่างขึ้นบ้านตัวเองไม่ให้พ่อจับได้ว่าแอบหนีไปสร้างเรื่องมาด้วยการท้าต่อยกับลูกชายผู้หมวดในกรมอีกคน...เธอก็เคยทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้
“ฉันไม่ได้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์อีกแล้วล่ะ ฉันออกจากราชการแล้ว”
เขียนจันทร์เลิกคิ้วประหลาดใจนิดหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะอย่างดูแคลน เมินไปมองทางอื่น รู้สึกแถวนี้จะรกหูรกตาขึ้นมาฉับพลัน “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ตอนนั้นไม่น่าเชื่อเลยนะคะที่คุณอยากจะเป็นมากๆ อยากรักชาติให้เหมือนชื่อ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว ชีวิตใครก็ชีวิตมัน”
“นี่พูดมันให้ดีๆ เธอไม่มีสิทธิ์อ้าปากวิจารณ์ชีวิตฉัน” ต้นแขนเล็กถูกมือหนาหยาบกำไว้รอบแขนแน่น น้ำเสียงกระโชก “ถ้าเธอไม่เคยเจอประสบการณ์ที่พ่อตัวเองต้องเสียชีวิตเพราะขนอาวุธอยู่ล่ะก็ขอให้รู้ว่าไม่มีวันเข้าใจ พ่อของฉันตายเพราะอาวุธ ต่อหน้าต่อตาฉัน”
“ฉันขอโทษ” เขียนจันทร์ปลดแขนตัวเองที่เริ่มเจ็บออก รู้สึกผิด และตกใจปะปนกัน เธอไม่เคยรู้ความเป็นไปของรักษ์ชาติ ผู้ชายที่เธอไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุดในโลก
“คนอย่างเธอไม่รู้จักฉันสักนิด”
“ไม่คิดจะรู้จักอยู่แล้วค่ะ” ครานี้หญิงสาวยิ้มออกมาประกอบคำพูดเพื่อให้ดูว่าเธอจริงใจกับประโยคนี้มากแค่ไหน เห็นอีกฝ่ายชะงักค้างยังหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้ เสียงกระดิ่งของม้าก็ดังพักยกเสียก่อน เขียนจันทร์รีบเดินเร็วให้พ้นจากบริเวณคนที่เป็นดังพายุ ไปยังผู้ชายร่างท้วมที่เริ่มลงพุง แม้จะสวมเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าแต่หน้าท้องก็โย้ออกมาชัดเจน สวมหมวกปีกกว้างกันแดด ลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วอ้าแขนรอรับ
เขียนจันทร์กอดบิดาไว้แน่น เจ็ดปีที่เธอไปร่ำเรียนยังต่างประเทศ เวลากลับมาก็น้อยวัน อย่างมากปีหนึ่งไม่เกินเจ็ดวันที่จะได้อยู่กับพ่อ นอกจากนั้นเธอจะถูกดึงตัวไปอยู่วังของหม่อมยายเสียหมด อยู่ให้ท่านฝึกเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร ตรงข้ามกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ของเธอที่เอาแต่ส่ายหัวดิก ไม่อยากเอาใจญาติผู้ใหญ่ เธอเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะปีๆ หนึ่งก็ไม่ได้จะกลับไทยบ่อย อยู่ปีหนึ่งไม่เคยถึงสองเดือนดี
“พ่อสบายดีนะคะ วันนี้เขียนลงเหยียบสนามบินก็รีบดิ่งมาที่นี่เลย กลัวว่าถ้าไม่รีบมา จะไม่มีโอกาสมา”
ผู้หมวดศิลปินคลายอ้อมกอด เปลี่ยนมาโอบไหล่ลูกสาวคนรองไว้แทน เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงพอได้ฟังคำบอกเล่าจากบุตรสาว
“อะไรกัน หม่อมยายของลูกจะไม่ให้พ่อลูกได้พบกันเชียวเหรอ”
เขียนจันทร์ส่ายศีรษะไม่ตอบ ไม่อยากให้พ่อกับยายพานเข้าหน้ากันไม่ติดไปมากกว่านี้ ตั้งแต่เธอสิบขวบที่พ่อแม่เลิกกันไป ครอบครัวของแม่ก็ยิ่งตั้งป้อมรังเกียจรังงอนพ่อเธอกันใหญ่ พานอยากเก็บหลานๆ ทั้งสี่ไปอยู่ในอาณัติให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำกันไม่สำเร็จ
หลานทั้งสี่ของพวกท่านรักอิสระเกินกว่าจะไปอยู่ในวัง อย่างมากเธอก็จะเป็นตัวแทนน้องๆ ไปนั่งพับเพียบเรียนมารยาท และสังคมชั้นสูงกับผู้เป็นยายตั้งแต่เย็นวันศุกร์จนถึงเย็นวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์เสมอ เพื่อไม่ให้มีระเบิดลงที่กรมการสัตว์ เพราะไม่มีใครสักคนที่จะใส่ใจเรื่องในวังของยาย
“เขียนซื้อบ้านไว้ที่กรุงเทพฯ นี่ก็รอมาดักย้ายข้าวของพ่อไปอยู่ด้วยกัน กลัวพี่วาด นายพรึก แล้วก็ยัยภาพจะมาแย่งหน้าที่ก่อน”
หญิงสาวสำรวจม้าพันธุ์ดีตัวสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำ ขนมันวาว ดวงตาของมันเป็นประกายสดใส ลมหายใจพ่นฟืดฟาดอย่างม้าที่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม มือบางแตะลงไปบนขนที่แปรงอย่างดีด้วยดวงตาที่ปิดประกายไม่มิด
“พายุดูแข็งแรงกว่าที่เจอเมื่อปีที่แล้วอีกนะคะ” อดีตนักกีฬาขี่ม้ายิ้มอย่างพึงพอใจ พายุเป็นหนึ่งในลูกม้าที่เกิดคอกเดียวกับพระจันทร์ของเธอ เป็นม้าที่อ่อนแอแตกต่างจากพระจันทร์ที่แข็งแรงกว่าม้าในวัยเดียวกันมาก “พระจันทร์คงไม่ปล่อยให้น้องของมันเป็นอะไรไปง่ายๆ”