เล่ห์ลวงจันทร์ บทที่ 4 - 5

กระทู้สนทนา
สวัสดีปีใหม่นะคะ เอาฤกษ์เอาชันด้วยสองตอนเลย ขอให้เป็นปีที่มีความสุขของทุกคน ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์ การงานราบรื่นนะคะ

คุณ หมูครับ สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ ขอให้มีความสุขมากๆ ขอบคุณที่ติดตามเล่ห์ลวงจันทร์นะคะ

คุณ Psycho man ขอบคุณค่า

อ่านแล้วติดตรงไหน หรือมีข้อผิดพลาดบอกกล่าวได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ ยิ้ม

บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/32990716

บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/33020292

บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/33035387

บทที่ 4

    ร้านอาหารริมทะเลในโต๊ะริมระเบียงที่ยื่นมารับลม และเห็นแนวชายหาดโค้งยาวได้นั้น มีโต๊ะหนึ่งถูกจับจองด้วยคนสองคน เขียนจันทร์ได้รับบรรยากาศดีๆ แสงเทียน และแสงไฟจากเสาไฟที่ร้านติดตั้ง มีดนตรีคลาสสิกขับกล่อมนำพาความหงุดหงิดที่เธอพบเจอมาให้หายไปกับสายลมโดยง่าย

    “เห็นน้องเขียนไม่เครียด พี่ก็สบายใจค่ะ เราคิดได้อีกอย่างหนึ่งคือน้องขุนเขาพูดคุยได้ปกติ นั่นก็น่ายินดี”

    “คุณชายมองโลกในแง่ดีจังเลยนะคะ ถึงว่าสิคุณชายหน้าตาสดใสไม่เคยเปลี่ยน” คำชมเรียกสีเลือดบนหน้าคนถูกชมให้ระเรื่อได้

    “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่แค่ไม่ชอบเก็บเรื่องทุกข์ไว้ในใจนาน ชีวิตเราก็เหมือนสายลมนะคะ มีทั้งลมร้อน ลมที่เย็น มันเป็นสิ่งที่เราไปบังคับให้มีไม่มีไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันยังไงมากกว่า” ดวงตาของบดินทร์ภัทรแอบวูบไหว แต่ความมืดอำพรางไว้ หญิงสาวจึงไม่ทันสังเกต

    เขียนจันทร์พยักหน้าเห็นด้วย สายตาชื่นชมคำพูด และการกระทำของบดินทร์ภัทรอย่างไม่ปิดบัง “ถ้าฉันคิดแบบคุณชายได้ ฉันคงไม่ต้องทนประสาทเสียกับพ่อของน้องขุนเขาหรอกค่ะ เจอมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่บรรลุในเรื่องควบคุมอารมณ์สักที”

    “ถ้าเราไม่ตอบโต้ เดี๋ยวเขาก็ล่าถอยไปเอง พี่ว่าอาการแบบนี้ไม่เกลียดกันมา ก็อาจจะชอบ ก็เลยเรียกร้องความสนใจก็ได้นะคะ”

    คำวิเคราะห์ของคุณชายหมอเรียกเสียงหัวเราะจากเขียนจันทร์ได้ หญิงสาวส่ายหน้าไปมากับคำวิเคราะห์นั้น “เขาเกลียดฉันอย่างกับอะไรค่ะ คงเห็นว่าฉันไม่ยอมไปเป็นเบาะรองมือรองเท้าเหมือนแต่ก่อน เลยมาวุ่นวายหนัก ส่วนคนที่เขาชอบพี่สาวฉันโน่นค่ะ พี่สาวฉันฉลาดในการหลบหลีกคนอย่างเขามากที่สุด”

    “แล้วน้องเขียนไม่คิดทำแบบพี่สาวบ้างเหรอคะ”

    “ไม่ค่ะ ฉันจะต้องกลัวทำไม ขอแค่เขาไม่เปลี่ยนความคิดมาจิตพิศวาสจนน่าขนลุกอย่างที่พี่สาวฉันเจอ ก็ยังถือว่าอยู่ร่วมโลกกันได้ ถึงจะเกลียดขี้หน้ากันมาก ก็ยังดีกว่าทนขนลุกกับความรักของเขาค่ะ”

    คุณหมอพยักหน้ารับ มีรอยยิ้มอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจดี “มีอะไรที่น้องเขียนลำบากก็บอกพี่ได้นะคะ พี่ยินดีช่วย”

    “ขอบคุณนะคะคุณชาย” เขียนจันทร์รู้สึกว่ารอยยิ้มบนหน้าตัวเองอาจบานแฉ่งเหมือนดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือฟ้า...การได้รู้จักกับบดินทร์ภัทรสำหรับเธอเหมือนได้พบกับความสบายใจ ได้พักผ่อน

    คนๆ นี้ล่ะ คือคนที่เธอเฝ้าตามหามานาน...คนที่เข้าใจโลก มนุษย์

    โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ปลุกให้เขียนจันทร์ตื่นจากภวังค์หวาน เบอร์เลขาฯ ของโชติรสที่เธอเพิ่งบันทึกไว้ขึ้นหราหน้าจอ

    เธอกดรับและใช้เวลาสนทนาไม่กี่ประโยคก็วางสายไป เครื่องหมายคำถามบนหน้าเธอนั้นคงชัดเจน บดินทร์ภัทรจึงต้องถามกระตุ้น

    “เกิดอะไรขึ้นคะน้องเขียน”

    “คุณโชติรสให้เลขาฯโทรมาบอกยกเลิกที่ฉันต้องไปว่ายเปิดอะควาเรี่ยมพรุ่งนี้ค่ะ”

    บดินทร์ภัทรยิ้มออกแทนที่จะถามให้มากไปกว่าเดิม “ดีแล้วล่ะค่ะ มันอันตราย พี่เองยังห่วงเลย ขนาดวันนี้ยังเกิดเรื่อง คุณโชติรสท่านคงหาคนมาแทนได้”

    ใครล่ะ...เขียนจันทร์ได้แต่คิด และคิด งานอันตรายอย่างนี้ใครยังจะกล้ารับอีก


    การตระเวนทำโน่นทำนี่ตลอดวันทำให้เขียนจันทร์เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังดีที่มีบดินทร์ภัทรคอยส่งยิ้ม ส่งกำลังใจมาให้ ทำให้อารมณ์เหนื่อยๆ ของเธอหายไปเกินครึ่ง เขียนจันทร์เข้ามาในห้องก็กึ่งนั่งกึ่งนอนไปบนเดย์เบดมีที่วางแขน เหยียดขายาวพาดไปบนสตู วางมือประสานตรงช่องท้องพลางหลับตา ไม่อยากคิดสะระตะให้ปวดหัวอีก

    เธอกำลังซึมซับความเป็นบดินทร์ภัทรมาไว้ในตัว ความใจเย็น สุขุม น่าหลงใหล...เปลือกตาบางเปิดขึ้นฉับพลัน เขียนจันทร์หน้าร้อนผ่าวยกมือจับแก้มตัวเองบิดไปมา

    “คิดอะไรก็ไม่รู้”

    “ท่าทางแบบนี้คิดเรื่องลามกแน่ๆ” น้ำเสียงขวางหูดังขึ้นจากเหนือหัว ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดหน้า เขียนจันทร์เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อใบหน้าเข้มคร้ามแดดมาอยู่ในครรลองสายตา

    ร่างบางทะลึ่งพรวดลุกขึ้น แต่ไม่ทันระวัง ศีรษะจึงเขกกับสันกรามเขาเสียงดังลั่น น้ำตาเล็ด เขียนจันทร์กัดฟันกรอดข่มความเจ็บ ไม่ร้องโอดโอยเสียงดังลั่นอย่างมนุษย์เยอะที่รักษ์ชาติกำลังเป็น

    “เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” ตั้งสติได้ เขียนจันทร์ก็ออกมายืนหลังเดย์เบด เผชิญกับผู้ชายที่กำลังนอนดิ้นพล่านจับกรามตัวเองในสภาพน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

    “ให้ลูกขุนไปขอพนักงานมา ทำไม ลูกขุนจะเข้ามาห้องนี้ไม่ได้หรือไง” พอเห็นว่าการดิ้นพล่านของตัวเองมีแต่เรียกสายตาสมเพชเวทนารักษ์ชาติจึงหยุด นั่งเหยียดขายาวกับพื้น แสดงท่าทีเอาแต่ใจตัว

    “ลูกขุนน่ะได้ แต่คุณน่ะไม่ควร” เสียงหวานพูดละมุนขึ้น ความใจเย็นยามนึกถึงที่บดินทร์ภัทรทำให้เธอเห็น เขียนจันทร์เริ่มจะเรียนรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว

    รักษ์ชาติหรี่ตามองท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นแค้น และเอาความใจเย็นเข้าสู้อย่างจับสังเกต “ไม่ควรไม่ได้แปลว่าไม่ได้นี่ ทำไม ถ้าฉันจะนอนตรงนี้ เธอจะสั่งคนมาลากฉันออกไปไหม ทั้งๆ ที่ลูกฉันกำลังอาบน้ำอยู่ เธอจะให้เด็กไม่กี่ขวบร้องไห้โยเยเหรอ”

    “ก็ได้ คุณนอนนี่” เขียนจันทร์สรุปพร้อมหมุนตัวจากไปยังห้องนอนของเธอ

    “ง่ายอย่างนี้ แปลว่าทำบ่อย กี่คนมาแล้ว รวมคนที่ฉันเจอวันนี้ด้วยไหม ขอให้รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในปลายหางตาฉันหรอก ฉันไม่สนใจเธอสักนิด”

    วาจาดูถูกแสลงหูนั้นกลับไม่ได้ทำร้ายหูคนฟังเลย เขียนจันทร์สะพายเป้ขึ้นหลัง หันมาพูดพร้อมรอยยิ้มหวานหยดราวกับนางฟ้า

    “ระลึกแบบนั้นให้นานๆ เถอะค่ะ ฉันจะได้รู้สึกขึ้นสวรรค์ มันคือโชคดีที่ถูกคุณเกลียด ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งอีกนะคะ” เขียนจันทร์ยักคิ้วท้าทาย เธอส่งเสียงไปยังห้องน้ำที่เปิดฝักบัวไว้อยู่ “น้องขุนครับ อาเขียนไปก่อนนะ ฝันดีนะครับ”

    ร่างสูงก้าวพรวดเดียวไม่ถึงสามก้าวก็มารั้งข้อมือบางไว้ทันก่อนจะเปิดประตู เสียงดุจริงจังไม่มีวี่แววล้อเล่น “จะบ้าหรือไง นี่มันกี่โมงกี่ยาม มีตาก็เบิกดูหน่อยเถอะ สามทุ่มกว่า จะไปไหน จะไปหาห้องเพิ่มก็นอนฝันกลางวันไปเลย โรงแรมคนจองจนเต็ม แขกที่จะมาร่วมงานเปิดตัวอะควาเรี่ยมพรุ่งนี้พักกันเต็มหมดแล้ว”

    เขียนจันทร์รู้สึกว่าประโยคยาวเหยียดของรักษ์ชาติขยี้ทางสว่างเธอจนดับมอด หญิงสาวสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม มองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง

    “คุณก็ออกไปสิ ฉันไม่อยากทนทะเลาะกับคุณทั้งคืนหรอกนะ ไมเกรนจะขึ้น สงสารน้องขุนด้วย ต้องมาทนเห็นฉากแย่ๆ”

    “บอกห้องผู้ชายที่เธอทำตาเยิ้มใส่ทั้งวันนี้มาสิ ฉันจะได้ไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่”
    หญิงสาวยิ้มออก ไม่สนว่ามันจะยิ่งทำให้คนออกความเห็นทำหน้าบึ้งตึง หมั่นไส้มากกว่าเดิมขนาดไหน “ขอฉันโทรไปขออนุญาตคุณชายก่อนนะ คุณก็ไปหิ้วกระเป๋าออกมารอเลย ฉันบอกเลขห้องคุณจะได้ออกไปเลย”

    “ถีบหัวส่งกันจริ๊งงงแม่คุณ” รักษ์ชาติทำเสียงสูงประชด แต่มันไม่ทำให้รอยยิ้มบนหน้าเขียนจันทร์ลดความสว่างลงได้สักนิด

    “คนนี้คงจะใช่เลยล่ะสิ”

    คนยกหูโทรศัพท์พยักหน้าขึ้นลงง่ายๆ พูดจบประโยคได้ทันก่อนปลายสายที่ต่อหาจะรับเสียอีก “แค่ดีกว่าคุณ ฉันก็ให้ผ่านแล้วล่ะ อยู่ด้วยแล้วไม่ปวดหัว ไม่เครียด สบายใจ”

    เขียนจันทร์ได้ยินเสียงปังจากประตูหันไปก็ไม่เห็นร่างของรักษ์ชาติอีก เธอไม่รู้ว่าการที่เธอไม่อารมณ์เสียเต้นไปตามการปั่นหัวของเขานั้น จะทำให้รักษ์ชาติหงุดหงิดมากขนาดนี้เลยเหรอ

    “สวัสดีครับ”

    “คือฉันจะโทรมาถามว่าพรุ่งนี้จะเจอกันกี่โมงดีคะ”

    ...คงไม่ต้องขออนุญาตแล้ว เพราะรักษ์ชาติไม่อยู่รอฟัง

    นัดแนะเรื่องเวลาเสร็จ บดินทร์ภัทรบอกให้เธอฝันดี เขียนจันทร์จึงวางสาย หัวใจอุ่นซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตผู้หญิง ที่ผ่านมาเธอก็เคยมีบ้างที่แอบมองหนุ่มๆ รุ่นพี่ หรือเพื่อนไปตามประสา แต่ไม่เคยจริงจังอะไร บางคนที่เธอแอบชอบก็ยังไม่เคยรู้ตัว ไหนจะมีมารผจญอย่างรักษ์ชาติที่มักทำหนุ่มๆ ที่เข้าหาเธอกระเจิดกระเจิงหมด พอเธอมาให้เวลากับสัตว์ มันก็เหมือนนานมาแล้วที่เธอไม่รู้สึกแบบนี้ อย่างกับกลับไปอยู่ในวัยแรกรุ่น

    ร่างเล็กห่อตัวออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนู เขียนจันทร์หันมองตาม ร่างนั้นก็มองมา และกวาดมองหาอีกคน “พ่อไปไหนครับอาเขียน”

    เขียนจันทร์กวักมือเรียกกองพันให้เข้าไปใกล้ เวลานี้เธอมีสิ่งหนึ่งที่เกือบลืมไปผุดขึ้นมาในหัว คำพูดของแจงที่ว่าเกี่ยวกับรอยตามตัวของกองพัน “เช็ดตัวให้แห้ง แล้วค่อยใส่เสื้อผ้านะครับ” มือบางจัดการหยิบผ้าแห้งที่พับเรียบร้อยอีกผืนมาเช็ดให้เด็กตัวเล็ก เธอสังเกตเห็นร่องรอยตามแผ่นหลัง หรือเอว เป็นรอยช้ำอย่างที่แจงเคยบอกไว้จริง

    “เจ็บไหมครับน้องขุน รอยพวกนี้ใครทำกัน” ร่างเล็กสั่นขึ้นมาทั้งที่เธอเช็ดจนแห้งแล้ว แขนเกร็ง เม้มปากไม่ตอบ เขียนจันทร์ต้องดึงเข้าไปกอดไว้ พลางลูบศีรษะไปมาอย่างทะนุถนอม “ไม่ต้องกลัวนะครับ อาเขียนจะไม่ให้ใครทำอะไรน้องขุนได้อีก พ่อขุนก็ด้วย พ่อขุนของน้องขุนแข็งแกร่งจะตายไป ยักษ์มาชนยังไม่ล้มเลยนะครับ”

    “เขาบอกไม่ให้บอกพ่อ ถ้าขุนบอก เขาจะฟาดขุน”

    คำบอกเล่าของเด็กชายตัวน้อยสร้างคลื่นแรงในอารมณ์ที่สงบไปแล้วให้โหมกระหน่ำอย่างขุ่นเคืองได้มาก เขียนจันทร์ปลอบเด็กชายด้วยความเข้าใจ

    “ขุนไม่ได้บอกพ่อนี่ครับ ขุนบอกอาเขียน จากนี้ขุนไม่ต้องกลัวแล้วนะ อาเขียนจะปกป้องขุนเอง พี่เลี้ยงคนนั้นจะทำอะไรขุนไม่ได้อีก”

    เขียนจันทร์จุ๊บหน้าผากเด็กน้อย ก่อนจะเริ่มแต่งตัวให้ พอเธอพามาส่งถึงเตียงนอน เด็กน้อยก็เริ่มงอแง “อาเขียนงอนพ่อขุนเหรอครับ หายโกรธนะครับ”

    “ถ้าน้องขุนขอมาอาเขียนไม่โกรธแล้วก็ได้ครับ ทีนี้ก็นอนซะนะ ฝันดีนะครับ” หญิงสาวต้องกอดร่างเล็กอยู่พักหนึ่ง กองพันจึงหลับไป เขียนจันทร์จึงค่อยๆ ย่องออกมาจากในห้องนอน กดโทรศัพท์ไปยังเบอร์ที่รักษ์ชาติเขียนทิ้งไว้ให้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกับกองพัน

    ร่างระหงทรุดนั่งลงบนเดย์เบด ไขว่ห้างเอนหลัง เธอต้องรวบรวมพลังไว้ให้มากๆ ก่อนจะออกรบกับรักษ์ชาติเสมอ

    “มีอะไร คนจะนอน” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่รับแขกดังมา เขียนจันทร์กลอกตาด้วยความระอาจัด ขนาดเขาไม่รู้ว่าเป็นเธอก็ยังใช้น้ำเสียงได้กวนบาทาอย่างเสมอต้นเสมอปลายกับทุกคน

    “คุณอยู่ไหนน่ะ”

    “รถ...จะมานอนด้วยกันไหมล่ะ ไฟรักจะได้ร้อนๆ”

    ยิ่งได้ฟังคำพูดห่ามๆ เขียนจันทร์นึกอยากจะวางสายอยู่รอมร่อ แล้วทิ้งให้คนนิสัยเสียนอนจุดไฟรักไปคนเดียว “ฉันมีเรื่องลูกขุนจะคุยกับคุณ แล้วคุณก็นอนในห้องฉันนั่นแหละ ยังไงก็ไม่พ้นระเบียง กับห้องน้ำหรอก มีให้คุณเลือกอยู่สองที่เท่านั้น”

    “สวยตายล่ะ ให้ดมยังไม่เอาเลย”

    “หยุดปากน่ากระทืบของคุณก่อน แล้วช่วยมาเสนอหน้าให้ฉันเจรจาด้วยเดี๋ยวนี้ ถ้าทำตัวดีๆ ไม่พูดจาสุนัขได้ยินแล้วอยากขย้อนใส่ ก็จะได้นอนสบายๆ ตรงเดย์เบดนะคะ”

    “แค่บอกไม่แลนี่ถึงกับของขึ้นเลยเหรอ”

    เพียงแค่เสียงหัวเราะกำลังจะเริ่มดัง เขียนจันทร์ก็ตัดขาดการสนทนาได้ทันท่วงที พร้อมบีบนวดขมับด้วยความโมโหกรุ่นๆ ทั้งที่เตือนตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยจนถึงล้านแล้วว่าให้ใจเย็นๆ สงบๆ แต่พอเอาเข้าจริง เธอก็วิ่งเต้นโดนปั่นหัวง่ายๆ เสมอ

    ช่วยฉลาดไม่โง่อย่างที่รักษ์ชาติชอบว่าเถอะ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่