เห็นตัวอย่างของหนังสารคดีเรื่องนี้ครั้งแรก ตอนไปดู Mockingjay ที่เซนทรัลเวิลด์
ตัวอย่างขึ้นมาพร้อมกับเพลง ฉันจะฝันถึงเธอ ของคุณแป๋ม สุภัทรา เพลงโปรดที่ฟังแทบทุกวัน
ภาพของชายชรา ที่ดูแลคุณยายผู้เป็นภรรยาที่ป่วยอย่างเอาใจใส่ พร้อมกับข้อมูลที่บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้เวลาถ่ายทำถึง 4 ปี
ทำให้เราตั้งตารอที่จะชมฉบับเต็มของหนังสารคดีเรื่องนี้ ตั้งแต่นั้น
แต่สิ่งนึงที่แอบหวั่นคือ เป็นเรื่องจริงแบบนี้ หนังมันจะขยี้เราถึงตายเลยป่าววะ
ยิ่งเป็นคนขี้ร้องไห้อยู่ด้วย
แต่ด้วยความอยาก ยังไงก็ต้องมาสัมผัสด้วยตาตัวเอง
หนังให้ปู่สมบูรณ์เป็นคนเล่าเรื่อง เริ่มตั้งแต่มาแต่งงานอยู่กินกันได้ยังไง
ซึ่งแกก็เล่าอย่างจริงใจ "ไม่ได้รักหรอก เค้าให้เอาก็เอา!!"
และนี่คือเสน่ห์อย่างร้ายกาจของหนัง "ความจริงใจ" ของปู่นี่แหละ
แกเล่าถึงตอนที่ย่าเมียดป่วยเป็นโรคไต ซึ่งกว่าหมอจะวินิจฉัยพบก็สายจนต้องตัดไตทิ้งแล้ว
ต่อมากับมะเร็งเต้านม
อาการเรื้อรังจากโรคไตทำให้ต้องเทียวไปเทียวมาโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
ย่าเมียดแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
หนักเข้าปู่ต้องเป็นคนคอยล้างไตให้ย่าทุก 4 ชม.
ทำทุกอย่าง อาบน้ำ ดูแลเรื่องการขับถ่าย ทำอาหาร ป้อนข้าวป้อนน้ำ ฯลฯ
สารพัดสิ่งที่กำลังของปู่จะทำให้ย่าได้
หนังเล่าเรื่องโดยการใช้ภาพเหตุการณ์จริง ซึ่งก็คือการเฝ้าดูแลย่าเมียดของปู่
สลับกับคำบอกเล่าของปู่ ซึ่งเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาอย่างคนเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
ในภาพที่เราเห็นปู่พาย่าไปโรงพยาบาลด้วยความลำบาก ปู่ต้องอาบน้ำและล้างไตให้ย่า มันควรจะชวนน่าสงสารเห็นใจแบบวงเวียนชีวิต
แต่เมื่อฟังจากคำพูดของปู่แล้ว ที่เล่าทุกอย่างออกมาด้วยคำพูดที่เรียบง่าย จริงใจ และเข้าใจชีวิตเป็นอย่างดี
นอกจากจะไม่ทำให้คนดูต้องเศร้าหรือสงสารแล้ว บางครั้งยังทำให้เราต้องยิ้มและหัวเราะออกมากับอารมณ์ขันของปู่และย่า(ในบางครั้ง)
คำพูดซื่อๆของแก ไม่มีประดิษฐ์ประดอย ไม่ดราม่า ทำให้ mood & tone ของหนังมันออกมาค่อนไปทาง feel good ได้อยู่เหมือนกัน
หนังจึงเต็มไปด้วยความน่ารัก มากกว่าความเศร้า
เป็นความโรแมนติกแบบเรียลๆ ไม่ต้องประดิษฐ์คำหวาน หรือภาพกอดจูบแบบหนังโรแมนติกทั่วไป
แต่คำพูดแบบ
"อาหารจืดเขาไม่เอาเลย คำสองคำเลิก เขาชอบเผ็ดๆ ยิ่งแกงปลาไหลนี่ไม่ต้องมีใครได้กิน"
"ตอนผมเจ็บทำงานไม่ได้เป็นปี ก็ได้เขาดูแล ตอนนี้ก็ผลัดกัน"
"เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จ้ำหัวจ้ำท้ายก็ต้องไปด้วยกัน"
บวกกับภาพการดูแลเอาใจใส่ย่า นี่มันโคตรโรแมนติกเลย
และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของย่าเมียด
ฉากที่ปู่สมบูรณ์ใส่ชุดดำพายเรือไปวัด แสงอาทิตย์อ่อนๆรองรับอยู่ฉากหลัง กับแววตาของปู่ที่ดูว่างเปล่าแต่ก็เข้มแข็งคู่นั้น
มาพร้อมกับเพลงวรรคแรกที่ขึ้นว่า
"เมื่อตะวันลับลา ฟ้าก็มองมืดหม่น ทนเงียบเหงาอ้างว้าง
เมื่อเธอลาลับไกล กลับอุ่นไอมิสร่าง ใจฉันค้างเคียงเธอ"
โอ้โห มันมีพลังมากกกกกกกกก น้ำตานี่ไหลมาเลย
คือปู่ยังไม่ได้ร้องไห้นะ แต่คนดูนี่ไปแล้วจ้า เป็นฉากที่ทรงพลังที่สุดของหนัง
และเลือกเพลงมาได้ดีมาก เพลงนี้ไม่ใช่เพลงเศร้าจนเกินไป
มันมีความเศร้าที่ต้องจากคนรักแหละ แต่ก็อิ่มใจในช่วงเวลาที่ได้มองตา ได้รัก
และเมื่อเราต้องลากัน ฉันจะฝันถึงเธอ คือมันเหมาะกับปู่สมบูรณ์มาก
ซึงหลังจากฉากนี้ก็ยิงยาว น้ำตาไหลเป็นระรอกจนหนังจบ
สุดท้ายเมื่อหนังจบ
ออกมาจากโรงด้วยคำถามในใจว่า เราจะมีโอกาสได้เจอคนที่รักและดูแลเราได้มากขนาดนี้มั้ย
ในสังคมที่เราเริ่มมองคนที่ฐานะมาเป็นอันดับหนึ่ง
หนังเรื่องนี้ทำให้เราฉุกคิดว่า ในบั้นปลายของชีวิต จริงๆแล้วเงินทองไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย
แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือคนข้างกายที่จะคอยดูแลกันแบบที่ปู่สมบูรณ์ดูแลย่าเมียดนี่แหละ
ซึ่งถ้านี่ไม่ใช่หนังสารคดี เราก็คงพูดว่าผู้ชายแบบนี้ก็มีแค่ในหนังเท่านั้นแหละ
ปู่คะ ปู่ทำให้หนูมีความหวังค่ะ
[CR] "ปู่สมบูรณ์" มากกว่าสารคดี มากกว่าหนังรัก เพราะมันคือเรื่องจริงที่ดูแล้วประทับอยู่ในใจ
ตัวอย่างขึ้นมาพร้อมกับเพลง ฉันจะฝันถึงเธอ ของคุณแป๋ม สุภัทรา เพลงโปรดที่ฟังแทบทุกวัน
ภาพของชายชรา ที่ดูแลคุณยายผู้เป็นภรรยาที่ป่วยอย่างเอาใจใส่ พร้อมกับข้อมูลที่บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้เวลาถ่ายทำถึง 4 ปี
ทำให้เราตั้งตารอที่จะชมฉบับเต็มของหนังสารคดีเรื่องนี้ ตั้งแต่นั้น
แต่สิ่งนึงที่แอบหวั่นคือ เป็นเรื่องจริงแบบนี้ หนังมันจะขยี้เราถึงตายเลยป่าววะ
ยิ่งเป็นคนขี้ร้องไห้อยู่ด้วย
แต่ด้วยความอยาก ยังไงก็ต้องมาสัมผัสด้วยตาตัวเอง
หนังให้ปู่สมบูรณ์เป็นคนเล่าเรื่อง เริ่มตั้งแต่มาแต่งงานอยู่กินกันได้ยังไง
ซึ่งแกก็เล่าอย่างจริงใจ "ไม่ได้รักหรอก เค้าให้เอาก็เอา!!"
และนี่คือเสน่ห์อย่างร้ายกาจของหนัง "ความจริงใจ" ของปู่นี่แหละ
แกเล่าถึงตอนที่ย่าเมียดป่วยเป็นโรคไต ซึ่งกว่าหมอจะวินิจฉัยพบก็สายจนต้องตัดไตทิ้งแล้ว
ต่อมากับมะเร็งเต้านม
อาการเรื้อรังจากโรคไตทำให้ต้องเทียวไปเทียวมาโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
ย่าเมียดแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
หนักเข้าปู่ต้องเป็นคนคอยล้างไตให้ย่าทุก 4 ชม.
ทำทุกอย่าง อาบน้ำ ดูแลเรื่องการขับถ่าย ทำอาหาร ป้อนข้าวป้อนน้ำ ฯลฯ
สารพัดสิ่งที่กำลังของปู่จะทำให้ย่าได้
หนังเล่าเรื่องโดยการใช้ภาพเหตุการณ์จริง ซึ่งก็คือการเฝ้าดูแลย่าเมียดของปู่
สลับกับคำบอกเล่าของปู่ ซึ่งเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาอย่างคนเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
ในภาพที่เราเห็นปู่พาย่าไปโรงพยาบาลด้วยความลำบาก ปู่ต้องอาบน้ำและล้างไตให้ย่า มันควรจะชวนน่าสงสารเห็นใจแบบวงเวียนชีวิต
แต่เมื่อฟังจากคำพูดของปู่แล้ว ที่เล่าทุกอย่างออกมาด้วยคำพูดที่เรียบง่าย จริงใจ และเข้าใจชีวิตเป็นอย่างดี
นอกจากจะไม่ทำให้คนดูต้องเศร้าหรือสงสารแล้ว บางครั้งยังทำให้เราต้องยิ้มและหัวเราะออกมากับอารมณ์ขันของปู่และย่า(ในบางครั้ง)
คำพูดซื่อๆของแก ไม่มีประดิษฐ์ประดอย ไม่ดราม่า ทำให้ mood & tone ของหนังมันออกมาค่อนไปทาง feel good ได้อยู่เหมือนกัน
หนังจึงเต็มไปด้วยความน่ารัก มากกว่าความเศร้า
เป็นความโรแมนติกแบบเรียลๆ ไม่ต้องประดิษฐ์คำหวาน หรือภาพกอดจูบแบบหนังโรแมนติกทั่วไป
แต่คำพูดแบบ
"อาหารจืดเขาไม่เอาเลย คำสองคำเลิก เขาชอบเผ็ดๆ ยิ่งแกงปลาไหลนี่ไม่ต้องมีใครได้กิน"
"ตอนผมเจ็บทำงานไม่ได้เป็นปี ก็ได้เขาดูแล ตอนนี้ก็ผลัดกัน"
"เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จ้ำหัวจ้ำท้ายก็ต้องไปด้วยกัน"
บวกกับภาพการดูแลเอาใจใส่ย่า นี่มันโคตรโรแมนติกเลย
และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของย่าเมียด
ฉากที่ปู่สมบูรณ์ใส่ชุดดำพายเรือไปวัด แสงอาทิตย์อ่อนๆรองรับอยู่ฉากหลัง กับแววตาของปู่ที่ดูว่างเปล่าแต่ก็เข้มแข็งคู่นั้น
มาพร้อมกับเพลงวรรคแรกที่ขึ้นว่า
"เมื่อตะวันลับลา ฟ้าก็มองมืดหม่น ทนเงียบเหงาอ้างว้าง
เมื่อเธอลาลับไกล กลับอุ่นไอมิสร่าง ใจฉันค้างเคียงเธอ"
โอ้โห มันมีพลังมากกกกกกกกก น้ำตานี่ไหลมาเลย
คือปู่ยังไม่ได้ร้องไห้นะ แต่คนดูนี่ไปแล้วจ้า เป็นฉากที่ทรงพลังที่สุดของหนัง
และเลือกเพลงมาได้ดีมาก เพลงนี้ไม่ใช่เพลงเศร้าจนเกินไป
มันมีความเศร้าที่ต้องจากคนรักแหละ แต่ก็อิ่มใจในช่วงเวลาที่ได้มองตา ได้รัก
และเมื่อเราต้องลากัน ฉันจะฝันถึงเธอ คือมันเหมาะกับปู่สมบูรณ์มาก
ซึงหลังจากฉากนี้ก็ยิงยาว น้ำตาไหลเป็นระรอกจนหนังจบ
สุดท้ายเมื่อหนังจบ
ออกมาจากโรงด้วยคำถามในใจว่า เราจะมีโอกาสได้เจอคนที่รักและดูแลเราได้มากขนาดนี้มั้ย
ในสังคมที่เราเริ่มมองคนที่ฐานะมาเป็นอันดับหนึ่ง
หนังเรื่องนี้ทำให้เราฉุกคิดว่า ในบั้นปลายของชีวิต จริงๆแล้วเงินทองไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย
แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือคนข้างกายที่จะคอยดูแลกันแบบที่ปู่สมบูรณ์ดูแลย่าเมียดนี่แหละ
ซึ่งถ้านี่ไม่ใช่หนังสารคดี เราก็คงพูดว่าผู้ชายแบบนี้ก็มีแค่ในหนังเท่านั้นแหละ
ปู่คะ ปู่ทำให้หนูมีความหวังค่ะ