Guildmystic มนตราพันธนาการ II (เมืองมายา มนตราอลเวง II) บทที่ 2

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    บทที่ 2

              “เรมิเรสไม่ใช่สิ่งของ ใครก็ครอบครองเขาไม่ได้”

              ชาร์ล็อตเอ่ยเสียงเย็นและรั้งมือไซอาออกจากใบหน้าเรมิเรส เด็กหนุ่มจึงเลื่อนนัยน์ตาแวววาวเป็นประกายคมปลาบเกินวัยมายังผู้ตรวจการณ์แห่งกิลด์มิสทิค

              “ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์แม้การเลือกสิ่งใดในชีวิต ข้าก็ไม่เห็นว่าจะต่างจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คน” เขาเน้นเสียงหนักในบางคำอย่างมีความหมายพลางปรายหางตามองคนที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น “ให้มองเป็นแค่สิ่งของก็ไม่แปลกอะไรมิใช่หรือ”

              “เขายังเป็นมนุษย์อยู่” ชาร์ล็อตกล่าวเสียงเข้ม

              ไซอาเลื่อนสายตากลับมายังผู้ตรวจการณ์ซึ่งตีสีหน้าเครียดข แววดุดันในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นไม่อาจทำให้บุรุษในร่างเด็กหนุ่มสะทกสะท้านได้เหมือนบุคคลอื่นที่ยืนอยู่รอบข้าง ไซอาหรี่ตาลงและแย้มยิ้มเยือกเย็นเบาบางราวกับภูติพรายลึกลับซึ่งยากจะคาดหยั่งในความรู้สึกนึกคิด

              ดวงตาสีฟ้าหม่นของเด็กหนุ่มแลเลยไปเบื้องหลังชาร์ล็อตก่อนจะย้อนกลับมา เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงลา หางตาปรายไปยังคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

              “แล้วข้าจะไปเล่นกับเจ้าคราวหน้านะ เรมิเรส”

              เขากล่าวคำทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินห่างออกไปและสบทบกับบุรุษคนหนึ่งซึ่งยืนรออยู่ใกล้ทางออกห้องโถง คนผู้นั้นหันมาสบตาชาร์ล็อตเพียงวูบเดียวแล้วหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเด็กหนุ่มโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ

              ชาร์ล็อตพ่นลมหายใจออกมาครั้งหนึ่งก่อนส่งสายตาเชิงสั่งให้ผู้ถือกุญแจมาปลดตรวนแก่เรมิเรส ฮิลดราเลียรีบนำเสื้อคลุมมาวางบนไหล่เขา นัยน์ตาดำขลับลอบมองอักขระมนตราค่อย ๆ ซับสีจางลงบนผิวเนื้อของชายหนุ่ม หลอมรวมราวกับเป็นส่วนหนึ่งในกายเขาตั้งแต่แรก

              ดวงตาดำขลับกรอกขึ้นมองสัญลักษณ์หมู่ดาวซึ่งสลักอยู่บนเพดานโถงพลางทอดถอนใจ

              ถ้านางเกิดมาอาภัพอับโชคกว่านี้อีกนิดก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างจากเขาสักเท่าใด

              แม่มดผมดำพยุงพ่อมดผมขาวให้ลุกขึ้นยืนและส่งสายตามองอาจารย์ บุรุษผู้อาวุโสกว่าจึงพยักหน้าเล็กน้อย

              “กลับบ้านกันเถอะ”

              

              บ้านพักของผู้ตรวจการณ์อยู่ไม่ไกลจากที่ทำการองค์กร อันที่จริงมันยังอยู่ในเขตของกิลด์มิสทิคด้วยซ้ำ บ้านที่แทบจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์หลังย่อมนั้นซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตป่าซึ่งล้อมรอบองค์กรเวทมนตร์เป็นบริเวณกว้าง ต้องใช้ทั้งอภิสิทธิ์และเล่นแง่กับการถูกบังคับจำกัดบริเวณจึงได้พื้นที่ส่วนตัวกว้างขวางแห่งนี้มา

              บ้านสองชั้นสร้างจากอิฐ ปูน และไม้ ผสมผสานกันอย่างวิจิตร แต่ดูเรียบง่ายและผ่อนคลายน่าอาศัย มีขนาดใหญ่พอจะรองรับสมาชิกใหม่อย่างฮิลดราเลียให้เข้ามาอยู่ร่วมกับชาร์ล็อตและเรมิเรสได้อย่างไม่อึดอัด

              นอกจากห้องนอนของชาร์ล็อต ห้องส่วนตัวของเรมิเรส ห้องโถง ห้องครัว ห้องสมุดอันกว้างขวาง ห้องทดลอง ห้องเก็บของจำพวกวัตถุดิบผสมเวท และอีกหลายห้องสำหรับเก็บสมบัติอันเป็นสิ่งสะสมของชาร์ล็อต ถ้าเพียงแต่เขาจะยอมลดขนาดการจัดวางลงบ้างก็คงจะมีห้องว่างเพิ่มอีกหลายห้องทีเดียว

              เมื่ออาจารย์และศิษย์ทั้งสามกลับถึงสถานอันเป็นส่วนตัว ชาร์ล็อตสั่งงานฮิลดราเลียครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปมองหน้าเรมิเรสซึ่งยังยืนนิ่งเหมือนใช้ความคิดอยู่หน้าประตูบ้าน

              “อยากให้ข้าไปส่งเจ้าที่ห้องไหม หรือจะให้ช่วยกล่อมเหมือนตอนเป็นเด็กข้าก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ”

              เรมิเรสจ้องเรียวปากบนใบหน้าผู้อาวุโสซึ่งยกมุมขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปยังรอยคล้ำที่ขอบตาของเขา

              “ขอบคุณครับ แต่ข้าไม่อยากรบกวนท่านอาจารย์” พ่อมดผมขาวยิ้มสุภาพอย่างเกรงอกเกรงใจ “ข้าอยากให้ท่านพักผ่อนมากกว่า ท่านอาจารย์ก็อายุมากแล้ว หักโหมทำการใดเกินไปจะหมดแรงเอาง่าย ๆ ข้าเป็นห่วงท่านมากกว่าจริง ๆ นะครับ”

              ฮิลดราเลียมองบุรุษอายุสี่สิบห้าซึ่งยังไร้ริ้วรอยบ่งบอกวัยทำสีหน้าเหมือนอยากพุ่งเข้าไปฟัดกับชายหนุ่มผมหงอกที่เพิ่งย่างเข้าวัยยี่สิบได้ไม่นานแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากอาศัยอยู่ด้วยกันมาระยะนึง นางก็ชักจะเริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้วกับการหยอกเย้ากันของพวกเขา

              หญิงสาวยิ้มให้กับภาพความสัมพันธ์ที่ดูสนิทชิดเชื้อกันมากกว่าความเป็นศิษย์อาจารย์ทั่วไป แม้ประสบการณ์ด้านครอบครัวของตัวนางเองอาจจะไม่มีความทรงจำที่สวยงามนัก แต่หากเทียบที่เคยสัมผัสจากครอบครัวเจ้านายหลายบ้าน นางก็เห็นพวกเขาไม่ต่างจากบิดาผู้มีฝีปากสวนทางกับใจและบุตรชายหัวดื้อคู่หนึ่ง

              “อีกสักครู่ข้าจะยกน้ำชาไปให้ที่ห้องหนังสือนะคะ” ฮิลดราเลียบอกชาร์ล็อตก่อนจะหันไปยังศิษย์ร่วมอาจารย์ “เรมิเรสล่ะ อยากได้นมอุ่น ๆ สักถ้วยไหม”

              “ไม่ครับ ขอบคุณ”

              แม้เรมิเรสจะยิ้มตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนปรกติ แต่สภาพอิดโรยและแววตาซึ่งซุกซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นนั้นกลับทำให้นางอดห่วงไม่ได้

              “เขามักจะพูดว่าไม่ ทั้งที่ใจจริงต้องการ เจ้าแค่ยกไปวางใกล้ ๆ เขาก็พอ”

              ชาร์ล็อตเอ่ยเสียงแผ่วและตบไหล่หญิงสาวเบา ๆ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวบนเก้าอี้ยาวบุนวมในห้องโถง พาดแขนทั้งสองข้างไปบนพนักเก้าอี้โดยยกมือข้างหนึ่งขึ้นยันศีรษะไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ปรายมองศิษย์หนุ่มด้วยแววเข้มขรึม

              “มนุษย์หัวดื้ออย่างเจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับอาจารย์อย่างข้าได้ ก็อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของคนที่ไม่เห็นมนุษย์หน้าไหนอยู่ในสายตาสิ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าคนผู้นั้นไม่เคยเห็นค่าของใครอยู่แล้ว”

              เรมิเรสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่แววประหลาดใจก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาคลี่ยิ้มบางแล้วค้อมศีรษะลง

              “เข้าใจแล้วครับ”

              ชาร์ล็อตมองร่างสูงปลีกตัวขึ้นไปยังห้องของตนบนชั้นสองแล้วพ่นลมหายใจออกมา

              “เจ้าไม่ได้เข้าใจจริง ๆ หรอก เรมิเรส”

          

              พ่อมดผมขาวก้าวเข้าไปในห้องอันมืดสลัวของตนแล้วหย่อนกายนั่งลงบนขอบเตียงโดยไม่คิดสร้างแสงสว่างใดให้กระจ่างตา กระนั้นดวงเนตรสีประหลาดก็ยังมองเห็นกองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ชายหนุ่มหลับตาลงเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งลาง ๆ ว่าเป็นใคร

              เขาไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่รู้มานานแล้วและยอมรับมันเอง เพื่อแลกกับเงื่อนไขที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้เพียงชั่วคราว

              ทั้งอย่างนั้นก็ยังไม่รั้งหัวใจตน อาจเอื้อมไปไขว่สิ่งที่เกินคว้า กล้าสารภาพความในใจทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

              เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ร่วมกับใครทั้งนั้น ต่อให้หวังเพียงใดก็ตาม

              */*/*/*/*
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่