แชร์ประสบการณ์ ขายของบน"อีเบย์"... อย่างไรจึงจะ"ขายได้..??"
ฟังชื่อ อีเบย์....อาจจะผ่านช่วงยุคทองไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นเวทีแจ้งเกิดให้กับมือใหม่หลายๆท่านได้นะคะ อย่างน้อยดิฉันเห็นว่าที่อีเบย์แห่งนี้ยังมีโอกาส"ขายได้" มากกว่าเวปฟรีในเมืองไทยเป็นไหนๆ
ดิฉันก็เป็นสิงห์ออนไลน์คนหนึ่งเหมือนกันคะ เรียกว่าเล่นเนตเข้าเวปมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นวัยทีน จนปัจจุบันนี้ย่างเข้าวัยร่วงแต่ยังไม่โรย ก็ยังท่องเนตอยู่เป็นกิจวัตรค่ะ
การค้าขายออนไลน์ก็ทำมาเยอะค่ะ ส่วนใหญ่จะขายในเวปฟรี เพราะทำเป็นงานอดิเรก แต่ก็อย่างที่บอกนะคะว่าแทบจะขายไม่ได้เลยในเวปฟรีบ้านเรา
จนหลายปีมานี้ดิฉันได้เข้าไปซื้อของในอีเบย์บ่อยๆ พอซื้อไปซื้อมาจึงเกิดความคิดว่า เอ...เราน่าจะเป็นคนขายมั่งดีกว่า แต่ติดตรงที่ว่าไม่รู้จะขายอะไรนี่สิ เพราะคอนเซปของดิฉันคือ จะขายของที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้าเท่านั้น ...และสินค้านั้นต้องเป็นสิ่งที่ดิฉันสามารถเดินไปหยิบฉวยได้ง่ายๆ เรียกว่าหากมีออเดอร์เข้ามา ก็ไม่ต้องเสียเวลา เสียค่ารถค่าเดินทางไปซื้อของ เพราะอาจจะไม่คุ้มกับกำไรก็ได้ เนื่องจากการตั้งราคาบนอีเบย์ ก็ต้องสมเหตุสมผลเหมือนกันค่ะ
หลังจากนั้นก็เริ่ม "งม" ค่ะ เรียกว่าอันความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดที่ได้เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยประถมมัธยมก็ถูกงัดเอาออกมาใช้แบบทุลักทุเลก็งานแหละ แต่ก็คิดซะว่าเราเข้ามาค้าขายนิ ไม่ได้เข้ามาเขียนบทประพันธ์สักหน่อย.. คำพูดแต่ละคำจึงเป็นการ"เว้ากันซื่อๆ"... แบบว่าอ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บว่างั้นเถอะว่าเราขายอะไร ..??ราคาเท่าไหร่..?? ส่วนเรื่องสรรพคุณ ไม่ต้องบรรยายค่ะ เพราะยิ่งบรรยายยิ่งงง. ...5555++
พอสร้างAccount สมัคร Paypal ได้สำเร็จ ก็เริ่มแปะสินค้าชิ้นแรก แต่ก็ขายไม่ได้นะคะ เพียงแค่เห็นหน้าตาสินค้าที่ถูกแปะขึ้นเวปก็รู้สึกโอเคแล้วค่ะ เพราะดูแล้วอินเต้อร์ อินเตอร์.....
สินค้าที่เราแปะจะได้แขวนบนอีเบย์เป็นเวลา 7 วันค่ะ เมื่อหมดเวลาจะถูกปลดลง แต่ก็จะมีเมลแจ้งเข้ามาให้ทราบนะคะ ถึงตอนนี้เราก็สามารถเข้าไป revise สินค้าได้ใหม่และมีอายุอีก 7 วัน ซึ่งนับว่าสะดวกง่ายดายมากๆค่ะ เผลอๆง่ายกว่าเวปเมืองไทยอีกนะคะ
การที่ดิฉันเปิดร้านค้าบนอีเบย์ หาใช่ว่าได้ขายของอย่างเดียวไม่ ยังมีสิ่งหนึ่งที่ได้แบบซึมซับไม่รู้ตัวคือเหมือนการได้ทำงานกับมืออาชีพค่ะ เพราะที่นี่เป็นองกรค์ระหว่างประเทศ ในอีเบย์ เค้าจัดวางระบบ system ต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่ ทั้งหมู่หลักและหมูย่อย ทั้งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและง่ายต่อการเข้าไปจัดการนั่นเอง
คนที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงก็สามารถเข้าใจได้ว่าเราต้องจิ้มอะไรเข้าไปตรงไหนบ้าง ขออย่างเดียว อย่าขี้เกียจที่จะอ่านค่ะ ไม่ใช่เห็นเป็นภาษาอังกฤษปุ๊บก็ไม่อ่านแระ อย่างนั้นก็ไมต้องรู้กันสักทีว่าเค้าทำงานกันอย่างไร ...และอีกอย่างนึงนะคะคือขอให้ช่างสังเกตุนิดนึง เพราะทุกปุ่มของอีเบย์ หรือในช่อง dropdown ต่างๆ อีเบย์เค้ามีความหมายทั้งนั้นค่ะ ว่างๆก็ลองจิ้มเข้าไปดู เค้าใช้ภาษาง่ายๆค่ะ ได้ฝึกภาษาไปในตัว และเหมือนได้ใช้โปรแกรมแบบมืออาชีพโดยที่ไม่ต้องเสียตังค์พัฒนาเองอีกตะหาก ..ดีออกค่ะ ..!!
จบเรื่อง"ได้ขาย" ไปแล้วนะคะ ทีนี้มาดูกันว่า ทำอย่างไรจึงจะ"ขายได้" บนอีเบย์
ช่วงแรกๆ อีเบย์จะให้เราสร้างประวัติการขายที่ดีก่อนค่ะ ด้วยการจำกัดปริมาณการแปะสินค้าได้ไม่เกิน 5 ชิ้นต่อเดือน หรือ 500 $ (แบบแปะฟรี) ซึ่งสินค้าที่ดิฉันเอาแปะขายก็หาได้แปลกประหลาดอะไรเลย ดิฉันหยิบเอาของใกล้บ้านนั่นแหละค่ะมาขาย แต่ก่อนอื่นก็อย่าลืมเข้าไปดูสักนิดก่อนว่าร้านคนไทยโดยทั่วไปแล้วเค้าขายอะไรกัน
จากประสบการณ์ที่เอาของเหมือนๆกับที่คนอื่นเค้าขายกันมาขายบ้าง เช่น น้ำมันมวย ชาฟิตเน่ ยาหม่องตราเสือ ฯลฯ ปรากฏว่าเงียบสนิทค่ะ...ไม่กระดิกเลย ซึ่งสินค้าพวกนี้ดิฉันไม่แนะนำให้มือใหม่ทำนะคะ เพราะนอกจากจะบั่นทอนกำลังใจด้วยการ"ขายไม่ได้"แล้ว กำไรก็มีแค่กระจึ๋งเดียวเองค่ะ เพราะราคาสินค้าเหล่านี้มันถูกกำหนดไว้แล้ว เราจะไปบวกมากก็ไม่ได้ และอีกอย่าง เราซื้อมาราคาปลีก จะไปสู้พวกเจ้าใหญ่ที่เค้าซื้อราคาส่งได้อย่างไร
จึงต้องสอดส่องมองหาอะไรที่แปลกๆ ที่คนอื่นเค้าไม่ขาย และคิดว่าขายไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงกลับขายได้ค่ะ...ได้กำไรต่อหน่วยเยอะด้วยค่ะ เพราะราคายังไม่เสีย
แต่เราจะมองแค่ว่าสินค้าชนิดนั้นแม่ค้าในบ้านเราไม่ขายหรือขายน้อยอย่างเดียวไม่ได้นะคะ เพราะอีเบย์ เป็นตลาดสำหรับพ่อค้าแม่ค้าทั่วโลกค่ะ ของบางอย่างบ้านเรามีน้อยแต่ที่อื่นขายกันถูกกันยิ่งกว่าตลาดนัดซะอีก ยกตัวอย่าง"ยางรัดผม" " ที่คนไทยมองว่าไม่น่าเชื่อว่าจะขายได้ แต่ลองเข้าไปดูของที่มาจากจีนสิคะ สวยๆ แปลกๆ ถูกๆ ซึ่งอันนี้ไม่น่าจะใช่ Blue ocean แต่อย่างใด
งั้นอะไรหล่ะที่ขายได้...?? อยากจะบอกว่า อย่าไปสนใจในคำว่า"อะไรที่ขายได้" ให้มากนัก แต่อยากให้มองว่าสิ่งที่เราจะขาย ขอให้เป็นเอกลัษณ์ของบ้านเราเมืองเราก็พอ คือเป็นสินค้าที่ประเทศอื่นเค้าไม่ผลิตกันว่างั้นเถอะ
เราต้องยอมรับอย่างนึงว่าจุดแข็งของผลิตภัณท์แต่ละอย่างที่ออกไปสู่ตลาดโลกนั้น สินค้าที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดคือสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเทศอื่นไม่มี ...ถ้าหากเป็นสิ่งที่ประเทศไหนๆก็มี เราก็ต้องเหนื่อยหน่อยละค่ะ ตรงที่ต้องสู้กันด้วยคุณภาพและราคา..
แล้วอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรา ..ลองดูกลุ่มที่เป็นสินค้าสำหรับร่างกายที่เป็นกระปุกๆที่วางขายอยู่ในชั้นล่างสุดของ supermarket นะคะ บางทีอาจเห็นว่าราคาต่อหน่วยนิดเดียวจะคุ้มกับการส่งมั้ย,,? แต่การแปะครั้งแรกๆสำหรับมือใหม่ แล้ว"ขายได้"..ก็นับว่าไม่เลวนะคะ และความเสี่ยงน้อยด้วยเพราะราคาไม่แพงค่าส่งก็ไม่แพง หากโดนเบี้ยวหรือลูกค้าชักดาบ จะได้ไม่ต้องผิดหวังจนหมดกำลังใจค่ะ ต่อเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นค่อยเล่นของใหญ่ค่ะ หากเราเป็นแม่ค้าหน้าใหม่ feedback ยังเป็นเลขตัวเดียว ต่อให้ขายของดีแค่ไหนแต่ราคาสูงๆ ก็คงไม่มีใครกล้าซื้อกับเรามั้ง ,.ว่ามั้ย..?
อีกอย่างที่เป็นเคล็ดลับสำหรับดิฉันในการขายของบนอีเบย์คือ การตั้งราคาค่ะ... จริงอยู่ใครๆก็อยากได้กำไรเยอะๆ แต่การตั้งราคาที่สมเหตุสมผลเป็นเหมือนการแสดงความจริงใจต่อลูกค้าค่ะ อย่าลืมนะคะว่าลูกค้าเค้าก็ทำการบ้านมาก่อนที่จะตัดสินใจสั่งซื้อของๆเราเหมือนกัน คือเค้าต้องมีการเปรียบเทียบราคามาก่อนแล้ว ลูกค้าบนอีเบย์ไม่ได้เลือกซื้อสินค้ากับshopขนาดใหญ่เสมอไปค่ะ ลูกค้าบางคนชอบซื้อกับร้านเล็กๆ สินค้ายังไม่มากแต่ดูที่ราคาสมเหตุสมผล จะดีแค่ไหนหากสินค้าที่เราเอาขึ้นแปะ มีคนสั่งซื้อในทุกรอบ ..!!
การตั้งราคาก็อย่าตัดราคากันจนน่าเกลียดนะคะ แต่หากเราได้แหล่งสินค้าที่ราคาถูก (วิธีการหาสินค้าราคาถูก หลังไมค์มาถามได้ค่ะ) บางทีเราบวกกำไรได้ถึง 80-90% ต่อหน่วยขาย ก็ถือว่าน่าพอใจแล้วใช่ไหมคะ (
การขายของบนอีเบย์ ไม่มีต้นทุนอะไรค่ะ ไม่ต้องเฝ้าหน้าร้าน (เฝ้าแต่หน้าจอ) ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ได้ฝึกภาษาอังกฤษ ได้ทำงานระหว่างประเทศ (ส่งสินค้าไปนอก) ได้ฝึกแบบมืออาขีพ เหมาะสำหรับนักท่องเนตทั้งหลาย หากวันๆหมดไปกับการอ่านเฟสเล่นไลน์ ลองมาเป็นแม่ค้ามือใหม่บนอีเบน์ดูดีมั้ยคะ อย่างน้อยทำให้เราได้ใช้สมองในหลายๆส่วนพร้อมกัน ทั้งเป็นนักบัญชี นักการตลาด นักขาย และoperation และอาจได้คู่ค้าเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ หากเรานำสินค้าเข้ามาขาย...
แชร์ประสบการณ์ ขายของบนอีเบย์ ...อย่างไรจึงจะขายได้ ..!!
ฟังชื่อ อีเบย์....อาจจะผ่านช่วงยุคทองไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นเวทีแจ้งเกิดให้กับมือใหม่หลายๆท่านได้นะคะ อย่างน้อยดิฉันเห็นว่าที่อีเบย์แห่งนี้ยังมีโอกาส"ขายได้" มากกว่าเวปฟรีในเมืองไทยเป็นไหนๆ
ดิฉันก็เป็นสิงห์ออนไลน์คนหนึ่งเหมือนกันคะ เรียกว่าเล่นเนตเข้าเวปมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นวัยทีน จนปัจจุบันนี้ย่างเข้าวัยร่วงแต่ยังไม่โรย ก็ยังท่องเนตอยู่เป็นกิจวัตรค่ะ
การค้าขายออนไลน์ก็ทำมาเยอะค่ะ ส่วนใหญ่จะขายในเวปฟรี เพราะทำเป็นงานอดิเรก แต่ก็อย่างที่บอกนะคะว่าแทบจะขายไม่ได้เลยในเวปฟรีบ้านเรา
จนหลายปีมานี้ดิฉันได้เข้าไปซื้อของในอีเบย์บ่อยๆ พอซื้อไปซื้อมาจึงเกิดความคิดว่า เอ...เราน่าจะเป็นคนขายมั่งดีกว่า แต่ติดตรงที่ว่าไม่รู้จะขายอะไรนี่สิ เพราะคอนเซปของดิฉันคือ จะขายของที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้าเท่านั้น ...และสินค้านั้นต้องเป็นสิ่งที่ดิฉันสามารถเดินไปหยิบฉวยได้ง่ายๆ เรียกว่าหากมีออเดอร์เข้ามา ก็ไม่ต้องเสียเวลา เสียค่ารถค่าเดินทางไปซื้อของ เพราะอาจจะไม่คุ้มกับกำไรก็ได้ เนื่องจากการตั้งราคาบนอีเบย์ ก็ต้องสมเหตุสมผลเหมือนกันค่ะ
หลังจากนั้นก็เริ่ม "งม" ค่ะ เรียกว่าอันความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดที่ได้เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยประถมมัธยมก็ถูกงัดเอาออกมาใช้แบบทุลักทุเลก็งานแหละ แต่ก็คิดซะว่าเราเข้ามาค้าขายนิ ไม่ได้เข้ามาเขียนบทประพันธ์สักหน่อย.. คำพูดแต่ละคำจึงเป็นการ"เว้ากันซื่อๆ"... แบบว่าอ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บว่างั้นเถอะว่าเราขายอะไร ..??ราคาเท่าไหร่..?? ส่วนเรื่องสรรพคุณ ไม่ต้องบรรยายค่ะ เพราะยิ่งบรรยายยิ่งงง. ...5555++
พอสร้างAccount สมัคร Paypal ได้สำเร็จ ก็เริ่มแปะสินค้าชิ้นแรก แต่ก็ขายไม่ได้นะคะ เพียงแค่เห็นหน้าตาสินค้าที่ถูกแปะขึ้นเวปก็รู้สึกโอเคแล้วค่ะ เพราะดูแล้วอินเต้อร์ อินเตอร์.....
สินค้าที่เราแปะจะได้แขวนบนอีเบย์เป็นเวลา 7 วันค่ะ เมื่อหมดเวลาจะถูกปลดลง แต่ก็จะมีเมลแจ้งเข้ามาให้ทราบนะคะ ถึงตอนนี้เราก็สามารถเข้าไป revise สินค้าได้ใหม่และมีอายุอีก 7 วัน ซึ่งนับว่าสะดวกง่ายดายมากๆค่ะ เผลอๆง่ายกว่าเวปเมืองไทยอีกนะคะ
การที่ดิฉันเปิดร้านค้าบนอีเบย์ หาใช่ว่าได้ขายของอย่างเดียวไม่ ยังมีสิ่งหนึ่งที่ได้แบบซึมซับไม่รู้ตัวคือเหมือนการได้ทำงานกับมืออาชีพค่ะ เพราะที่นี่เป็นองกรค์ระหว่างประเทศ ในอีเบย์ เค้าจัดวางระบบ system ต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่ ทั้งหมู่หลักและหมูย่อย ทั้งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและง่ายต่อการเข้าไปจัดการนั่นเอง
คนที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงก็สามารถเข้าใจได้ว่าเราต้องจิ้มอะไรเข้าไปตรงไหนบ้าง ขออย่างเดียว อย่าขี้เกียจที่จะอ่านค่ะ ไม่ใช่เห็นเป็นภาษาอังกฤษปุ๊บก็ไม่อ่านแระ อย่างนั้นก็ไมต้องรู้กันสักทีว่าเค้าทำงานกันอย่างไร ...และอีกอย่างนึงนะคะคือขอให้ช่างสังเกตุนิดนึง เพราะทุกปุ่มของอีเบย์ หรือในช่อง dropdown ต่างๆ อีเบย์เค้ามีความหมายทั้งนั้นค่ะ ว่างๆก็ลองจิ้มเข้าไปดู เค้าใช้ภาษาง่ายๆค่ะ ได้ฝึกภาษาไปในตัว และเหมือนได้ใช้โปรแกรมแบบมืออาชีพโดยที่ไม่ต้องเสียตังค์พัฒนาเองอีกตะหาก ..ดีออกค่ะ ..!!
จบเรื่อง"ได้ขาย" ไปแล้วนะคะ ทีนี้มาดูกันว่า ทำอย่างไรจึงจะ"ขายได้" บนอีเบย์
ช่วงแรกๆ อีเบย์จะให้เราสร้างประวัติการขายที่ดีก่อนค่ะ ด้วยการจำกัดปริมาณการแปะสินค้าได้ไม่เกิน 5 ชิ้นต่อเดือน หรือ 500 $ (แบบแปะฟรี) ซึ่งสินค้าที่ดิฉันเอาแปะขายก็หาได้แปลกประหลาดอะไรเลย ดิฉันหยิบเอาของใกล้บ้านนั่นแหละค่ะมาขาย แต่ก่อนอื่นก็อย่าลืมเข้าไปดูสักนิดก่อนว่าร้านคนไทยโดยทั่วไปแล้วเค้าขายอะไรกัน
จากประสบการณ์ที่เอาของเหมือนๆกับที่คนอื่นเค้าขายกันมาขายบ้าง เช่น น้ำมันมวย ชาฟิตเน่ ยาหม่องตราเสือ ฯลฯ ปรากฏว่าเงียบสนิทค่ะ...ไม่กระดิกเลย ซึ่งสินค้าพวกนี้ดิฉันไม่แนะนำให้มือใหม่ทำนะคะ เพราะนอกจากจะบั่นทอนกำลังใจด้วยการ"ขายไม่ได้"แล้ว กำไรก็มีแค่กระจึ๋งเดียวเองค่ะ เพราะราคาสินค้าเหล่านี้มันถูกกำหนดไว้แล้ว เราจะไปบวกมากก็ไม่ได้ และอีกอย่าง เราซื้อมาราคาปลีก จะไปสู้พวกเจ้าใหญ่ที่เค้าซื้อราคาส่งได้อย่างไร
จึงต้องสอดส่องมองหาอะไรที่แปลกๆ ที่คนอื่นเค้าไม่ขาย และคิดว่าขายไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงกลับขายได้ค่ะ...ได้กำไรต่อหน่วยเยอะด้วยค่ะ เพราะราคายังไม่เสีย
แต่เราจะมองแค่ว่าสินค้าชนิดนั้นแม่ค้าในบ้านเราไม่ขายหรือขายน้อยอย่างเดียวไม่ได้นะคะ เพราะอีเบย์ เป็นตลาดสำหรับพ่อค้าแม่ค้าทั่วโลกค่ะ ของบางอย่างบ้านเรามีน้อยแต่ที่อื่นขายกันถูกกันยิ่งกว่าตลาดนัดซะอีก ยกตัวอย่าง"ยางรัดผม" " ที่คนไทยมองว่าไม่น่าเชื่อว่าจะขายได้ แต่ลองเข้าไปดูของที่มาจากจีนสิคะ สวยๆ แปลกๆ ถูกๆ ซึ่งอันนี้ไม่น่าจะใช่ Blue ocean แต่อย่างใด
งั้นอะไรหล่ะที่ขายได้...?? อยากจะบอกว่า อย่าไปสนใจในคำว่า"อะไรที่ขายได้" ให้มากนัก แต่อยากให้มองว่าสิ่งที่เราจะขาย ขอให้เป็นเอกลัษณ์ของบ้านเราเมืองเราก็พอ คือเป็นสินค้าที่ประเทศอื่นเค้าไม่ผลิตกันว่างั้นเถอะ
เราต้องยอมรับอย่างนึงว่าจุดแข็งของผลิตภัณท์แต่ละอย่างที่ออกไปสู่ตลาดโลกนั้น สินค้าที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดคือสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเทศอื่นไม่มี ...ถ้าหากเป็นสิ่งที่ประเทศไหนๆก็มี เราก็ต้องเหนื่อยหน่อยละค่ะ ตรงที่ต้องสู้กันด้วยคุณภาพและราคา..
แล้วอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรา ..ลองดูกลุ่มที่เป็นสินค้าสำหรับร่างกายที่เป็นกระปุกๆที่วางขายอยู่ในชั้นล่างสุดของ supermarket นะคะ บางทีอาจเห็นว่าราคาต่อหน่วยนิดเดียวจะคุ้มกับการส่งมั้ย,,? แต่การแปะครั้งแรกๆสำหรับมือใหม่ แล้ว"ขายได้"..ก็นับว่าไม่เลวนะคะ และความเสี่ยงน้อยด้วยเพราะราคาไม่แพงค่าส่งก็ไม่แพง หากโดนเบี้ยวหรือลูกค้าชักดาบ จะได้ไม่ต้องผิดหวังจนหมดกำลังใจค่ะ ต่อเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นค่อยเล่นของใหญ่ค่ะ หากเราเป็นแม่ค้าหน้าใหม่ feedback ยังเป็นเลขตัวเดียว ต่อให้ขายของดีแค่ไหนแต่ราคาสูงๆ ก็คงไม่มีใครกล้าซื้อกับเรามั้ง ,.ว่ามั้ย..?
อีกอย่างที่เป็นเคล็ดลับสำหรับดิฉันในการขายของบนอีเบย์คือ การตั้งราคาค่ะ... จริงอยู่ใครๆก็อยากได้กำไรเยอะๆ แต่การตั้งราคาที่สมเหตุสมผลเป็นเหมือนการแสดงความจริงใจต่อลูกค้าค่ะ อย่าลืมนะคะว่าลูกค้าเค้าก็ทำการบ้านมาก่อนที่จะตัดสินใจสั่งซื้อของๆเราเหมือนกัน คือเค้าต้องมีการเปรียบเทียบราคามาก่อนแล้ว ลูกค้าบนอีเบย์ไม่ได้เลือกซื้อสินค้ากับshopขนาดใหญ่เสมอไปค่ะ ลูกค้าบางคนชอบซื้อกับร้านเล็กๆ สินค้ายังไม่มากแต่ดูที่ราคาสมเหตุสมผล จะดีแค่ไหนหากสินค้าที่เราเอาขึ้นแปะ มีคนสั่งซื้อในทุกรอบ ..!!
การตั้งราคาก็อย่าตัดราคากันจนน่าเกลียดนะคะ แต่หากเราได้แหล่งสินค้าที่ราคาถูก (วิธีการหาสินค้าราคาถูก หลังไมค์มาถามได้ค่ะ) บางทีเราบวกกำไรได้ถึง 80-90% ต่อหน่วยขาย ก็ถือว่าน่าพอใจแล้วใช่ไหมคะ (
การขายของบนอีเบย์ ไม่มีต้นทุนอะไรค่ะ ไม่ต้องเฝ้าหน้าร้าน (เฝ้าแต่หน้าจอ) ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ได้ฝึกภาษาอังกฤษ ได้ทำงานระหว่างประเทศ (ส่งสินค้าไปนอก) ได้ฝึกแบบมืออาขีพ เหมาะสำหรับนักท่องเนตทั้งหลาย หากวันๆหมดไปกับการอ่านเฟสเล่นไลน์ ลองมาเป็นแม่ค้ามือใหม่บนอีเบน์ดูดีมั้ยคะ อย่างน้อยทำให้เราได้ใช้สมองในหลายๆส่วนพร้อมกัน ทั้งเป็นนักบัญชี นักการตลาด นักขาย และoperation และอาจได้คู่ค้าเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ หากเรานำสินค้าเข้ามาขาย...