คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เอาคำตอบผู้โด่งดังในยุคนี้มาตอบแล้วกันนะครับ
หลง โดย อ.เจน ญาณทิพย์
ในชีวิตของคนเรา มีสุขและมีทุกข์ปะปนกันไป ไม่มีใครที่จะสุขอย่างเดียวตลอด หรือทุกข์อย่างเดียวตลอด แล้วแต่ใครจะทุกข์มากหรือสุขมาก เท่านั้นเอง สำหรับผู้ที่มีความทุกข์มากก็จะแสวงหาหนทางแก้ทุกข์เพื่อให้พ้นทุกข์ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา อย่างเช่นหาผู้วิเศษ ที่จะแก้ไขชีวิตพลิกชะตาของเขาได้ หรือพยายามแสวงหาสิ่งต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่มองไม่เห็น ใครว่าที่ไหนดีก็บุกป่าฝ่าน้ำเพื่อให้ได้พบสิ่งนั้น และหวังว่าสิ่งนั้นจะนำชีวิตของเขาเหล่านั้นให้สูงขึ้นกว่าผู้อื่น หรือพ้นทุกข์ จนอาจลืมไปว่า หนทางแก้ไขให้พ้นทุกข์ที่ง่ายที่สุดอยู่ที่ตัวเรานั่นเอง บางคนต้องเสียเวลาทั้งชีวิต กว่าจะพบหนทางสว่าง หรือบางคนจวบจนสิ้นลมหายใจ ก็ยังไม่พบทางสว่าง อาจเป็นเพราะหลงทาง ทำให้เดินทางผิด เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็ผิดจนถึงเม็ดสุดท้าย ทำให้เสียเวลาไปทั้งชีวิต และตายไปอย่างน่าเสียดาย เพราะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก แต่จะครองตนเป็นมนุษย์เป็นผู้มีใจสูง อยู่ในศีลธรรม ประพฤติตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์นั่นยากยิ่งกว่า แต่ยากเพียงใดก็ไม่ยากเกินความสามารถที่จะกระทำ เพราะความดีเป็นสิ่งที่ทำได้เสมอ ไม่มีวันล้าสมัย ทำแล้วรู้สึกสุขใจเสมอ คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นแนวทางสายตรง ที่ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตทุกรูปแบบ ด้วยสติ ปัญญา และการพิจารณา รวมถึง การนำจิตมาพิจารณาดูตนเอง เพื่อพัฒนาจิตตน ให้มี ศีล สมาธิ ปัญญา สูงขึ้น ๆ ไป เพื่อล่ะ โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นหนทางสายตรงในการเข้าถึงนิพพาน ในการดับทุกข์ที่แท้จริงและเร็วที่สุด
สืบเนื่องจากบนโลกนี้ มีสิ่งปรุงแต่ง ที่ล่อหลอกมนุษย์ อยู่รายรอบตัว ก่อให้มนุษย์เกิดความหลง เช่น หลงในชื่อเสียง หลงในความรัก, หลงในเงินทอง, หลงในตัวบุคคล และหลงการมีองค์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเดินไปในเส้นทางทางอ้อม สุดท้ายก็จะพบกับทางตันและต้องย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ บางคนเสียเวลาน้อยมากต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญญาในการพิจารณาของแต่ล่ะคน....
ดิฉันได้เปิดกรรมผู้คนมาอย่างมากมาย และได้พบสัจจะธรรมว่า ความหลงมีอยู่ทุกตัวคน และหนึ่งในความหลงที่มีมากจนดิฉันต้องหยิบยกมาเล่าให้ทุกท่านฟังในครั้งนี้ คือหลงในองค์ และการอยากมีองค์ ผู้ป่วยที่ดิฉันเปิดกรรมจึงพาตนเองไปรับขันธ์หรือเข้าพิธีต่าง ๆ ที่หวังว่าองค์เทพหรือองค์พรหมจะมาประทับบนร่าง จะได้เป็นผู้เหนือมนุษย์ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่คาดเคลื่อน โดยดิฉันจะได้กล่าวให้ทุกท่านทราบและเข้าใจดังนี้ การรับขันธ์ คือ การยอมเปิดรับพลังวิญญาณภายนอกให้เข้าสู่ร่างกายของเราได้ รับเข้ามาอยู่สังขารขันธ์ สิ่งที่รับมาคือ “วิญญาณขันธ์” ซึ่งเทพ พรหมชั้นสูงจะแบ่งกายทิพย์ออกมาครอบให้ เรียกว่า “ครอบขันธ์” แล้วจะดลจิตดลใจเรา ควบคุมเรา จะขับดันเราให้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามแบบของท่านได้โดยไม่ต้องมีการสอน การพูดกันเลย เรียกว่าทำได้เองอย่างอัศจรรย์ ดังนั้น คนที่นิยมไปรับขันธ์ หรือทำพิธีอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน จึงได้พลังพิเศษอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองมากนัก ซึ่งการยอมให้สิ่งที่มองไม่เห็นเข้าไปอยู่ในร่างกายได้นี้ นับว่าเป็น ความเสี่ยงเช่นกัน ถ้าสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่เทพพรหม ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะไม่ใช่ เพราะองค์เทพหรือองค์พรหม จะไม่มาประทับร่างมนุษย์ง่าย ๆ เพราะมนุษย์เป็นกายหยาบ มีกลิ่นเหม็นสาบ มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว จะเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม ไม่พึงประสงค์เข้าแทรกแทน คนผู้นั้น แทนที่จะมีความเจริญดี กลับต้องพบกับความเสื่อมและหายนะของชีวิตได้ในภายหลัง แม้ว่าช่วงแรกสิ่งเหล่านั่นอาจหลอกออกอุบายให้คิดว่าทุกอย่างสำเร็จได้ง่ายดายและรวดเร็ว แต่ภายหลัง จะกลายเป็นหายนะ เช่น ทำจิตหลุดไม่อยู่กับตัว เข้าข่ายสติวิปลาส โดย วิญญาณต่าง ๆ หรือสัมภเวสี รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จะสามารถเข้าออกร่างกายได้อย่างโดยง่าย หรืออาจถูกแทรกแทนด้วยจิตวิญญาณชั้นต่ำอื่น ๆ อีกก็เป็นได้
สำหรับบางรายที่ไปรับขันธ์หรือเข้าพิธีต่าง ๆ ทำให้มีความสามารถในการรู้เรื่องราวของผู้คน หยั่งใจคนได้ จากคนธรรมดากลายเป็นเจ้าตั้งเป็นสำนักทรง นั่นก็อาจเกิดจาก วิญญาณ ที่มีความสามารถในการหยั่งจิตใจคน มาสิ่งร่างหรือแฝงร่าง มาบอกหรือกระซิบผู้นั้น เพื่ออาศัยกายสังขารของผู้นั้น แสวงบุญ และควบคุมกายของผู้รับขันธ์ให้เป็นไปตามใจต้องการ โดย เจ้าเข้าทรง เหล่านั้น จะขาดการควบคุมตนเอง ในขณะที่โดนสิงหรือโดนแฝงร่าง เมื่อโดนสิงหรือโดนแฝงมาก ๆ เป็นประจำ กายสังขารก็จะอ่อนแอ ป่วย และจะเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งการหยั่งรู้ที่เกิดจากวิญญาณแฝงร่าง จะแตกต่างจาก การหยั่งรู้ที่เกิดจาก อภิญญาญาณ ที่ได้จาการสะสมบุญบารมี การปฏิบัติ มาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน แต่การมีอภิญญาญาณ ก็เป็นยังทำให้เกิดความหลงได้อีก ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น หลังจากการรับต่าง ๆ เข้าร่าง สำคัญอย่างยิ่งคือการประพฤติตนต้องมีความดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อยู่ในศีลธรรม ประมาทไม่ได้ ถ้าทำความชั่วก็จะนำพาไปสู่หายนะอย่างคิดไม่ถึง แต่ในคนที่ปฏิบัติธรรมอยู่เนื่อง ๆ และมีธรรมในตนเองดีแล้ว ต่อให้มีจิตวิญญาณไม่ดีแทรกเข้าตัว ก็สามารถกลับร้ายกลายเป็นดีได้ ทำให้จิตวิญญาณชั้นต่ำกลายเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงได้ ในหมอผีบางคน ได้เรียกผีเข้าคน หากคนผู้นั้นมีธรรมก็สามารถโปรดผีตนนั้นให้หลุดได้ จะเห็นได้ว่าความดีและการมีศีลธรรม บุญเท่านั่น จะเป็นเกราะป้องกันและเป็นหนทางแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยไม่ต้องพึ่งองค์เทพหรือองค์พรหมใด ๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ที่รับขันธ์หรือเข้าพิธีต่าง ๆ ที่มาหาดิฉัน ก็จะมาในอาการแปลก ๆ บางคนก็กรีดร้อง บางคนก็พูดจาไม่ได้ศัพท์ บางคนตะโกนขึ้นมาเหมือนไม่เป็นตัวเอง มาเพื่อต้องการให้ดิฉันรักษาอาการดังกล่าวให้ด้วยความทุกข์ทรมาน หลายคนไม่สามารถเข้าสังคมได้ เนื่องจากมีอาการดังกล่าวเป็นที่อับอาย ต่างก็อยากหายเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนเดิม แต่ดิฉันก็ไม่สามารถรักษาให้พวกเขาเหล่านั้นได้ นอกเหนือจากจะบอกกับพวกเขาว่า ความดี การรักษาศีล เจริญสมาธิ การปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องกระทำด้วยตัวเขาเองก็จะเป็นยารักษาที่ดีที่สุดให้เขาเหล่านั้นได้ให้หายป่วยจากการรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาหาตัวได้
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงต้องการให้ท่านที่จะต้องการรับขันธ์หรือเข้าพิธีกรรมในลักษณะทำนองเดียวกัน ใช้สติไตร่ตรองให้รอบคอบ ว่าสิ่งนั้นคือแนวทางแก้ทุกข์ได้จริงหรือไม่ และแนวทางใดคือหนทางแก้ไขทุกข์ได้อย่างแท้จริง ได้จะคุ้มเสียหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับการพิจาณาของท่าน แต่สำหรับดิฉันแล้ว การเดินตามแนวคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางสายตรงที่ ก่อให้เกิดเนื้อนาบุญ เกิดสติปัญญา เกิดความหลุดพ้นทุกข์ ให้ถึงซึ่งนิพพาน ขจัดทุกข์เพิ่มสุขได้อย่างแท้จริง....
ด้วยความปรารถนาดีจาก
เจน ญาณทิพย์
หลง โดย อ.เจน ญาณทิพย์
ในชีวิตของคนเรา มีสุขและมีทุกข์ปะปนกันไป ไม่มีใครที่จะสุขอย่างเดียวตลอด หรือทุกข์อย่างเดียวตลอด แล้วแต่ใครจะทุกข์มากหรือสุขมาก เท่านั้นเอง สำหรับผู้ที่มีความทุกข์มากก็จะแสวงหาหนทางแก้ทุกข์เพื่อให้พ้นทุกข์ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา อย่างเช่นหาผู้วิเศษ ที่จะแก้ไขชีวิตพลิกชะตาของเขาได้ หรือพยายามแสวงหาสิ่งต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่มองไม่เห็น ใครว่าที่ไหนดีก็บุกป่าฝ่าน้ำเพื่อให้ได้พบสิ่งนั้น และหวังว่าสิ่งนั้นจะนำชีวิตของเขาเหล่านั้นให้สูงขึ้นกว่าผู้อื่น หรือพ้นทุกข์ จนอาจลืมไปว่า หนทางแก้ไขให้พ้นทุกข์ที่ง่ายที่สุดอยู่ที่ตัวเรานั่นเอง บางคนต้องเสียเวลาทั้งชีวิต กว่าจะพบหนทางสว่าง หรือบางคนจวบจนสิ้นลมหายใจ ก็ยังไม่พบทางสว่าง อาจเป็นเพราะหลงทาง ทำให้เดินทางผิด เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็ผิดจนถึงเม็ดสุดท้าย ทำให้เสียเวลาไปทั้งชีวิต และตายไปอย่างน่าเสียดาย เพราะกว่าจะได้เกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก แต่จะครองตนเป็นมนุษย์เป็นผู้มีใจสูง อยู่ในศีลธรรม ประพฤติตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์นั่นยากยิ่งกว่า แต่ยากเพียงใดก็ไม่ยากเกินความสามารถที่จะกระทำ เพราะความดีเป็นสิ่งที่ทำได้เสมอ ไม่มีวันล้าสมัย ทำแล้วรู้สึกสุขใจเสมอ คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นแนวทางสายตรง ที่ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตทุกรูปแบบ ด้วยสติ ปัญญา และการพิจารณา รวมถึง การนำจิตมาพิจารณาดูตนเอง เพื่อพัฒนาจิตตน ให้มี ศีล สมาธิ ปัญญา สูงขึ้น ๆ ไป เพื่อล่ะ โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นหนทางสายตรงในการเข้าถึงนิพพาน ในการดับทุกข์ที่แท้จริงและเร็วที่สุด
สืบเนื่องจากบนโลกนี้ มีสิ่งปรุงแต่ง ที่ล่อหลอกมนุษย์ อยู่รายรอบตัว ก่อให้มนุษย์เกิดความหลง เช่น หลงในชื่อเสียง หลงในความรัก, หลงในเงินทอง, หลงในตัวบุคคล และหลงการมีองค์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเดินไปในเส้นทางทางอ้อม สุดท้ายก็จะพบกับทางตันและต้องย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ บางคนเสียเวลาน้อยมากต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญญาในการพิจารณาของแต่ล่ะคน....
ดิฉันได้เปิดกรรมผู้คนมาอย่างมากมาย และได้พบสัจจะธรรมว่า ความหลงมีอยู่ทุกตัวคน และหนึ่งในความหลงที่มีมากจนดิฉันต้องหยิบยกมาเล่าให้ทุกท่านฟังในครั้งนี้ คือหลงในองค์ และการอยากมีองค์ ผู้ป่วยที่ดิฉันเปิดกรรมจึงพาตนเองไปรับขันธ์หรือเข้าพิธีต่าง ๆ ที่หวังว่าองค์เทพหรือองค์พรหมจะมาประทับบนร่าง จะได้เป็นผู้เหนือมนุษย์ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่คาดเคลื่อน โดยดิฉันจะได้กล่าวให้ทุกท่านทราบและเข้าใจดังนี้ การรับขันธ์ คือ การยอมเปิดรับพลังวิญญาณภายนอกให้เข้าสู่ร่างกายของเราได้ รับเข้ามาอยู่สังขารขันธ์ สิ่งที่รับมาคือ “วิญญาณขันธ์” ซึ่งเทพ พรหมชั้นสูงจะแบ่งกายทิพย์ออกมาครอบให้ เรียกว่า “ครอบขันธ์” แล้วจะดลจิตดลใจเรา ควบคุมเรา จะขับดันเราให้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามแบบของท่านได้โดยไม่ต้องมีการสอน การพูดกันเลย เรียกว่าทำได้เองอย่างอัศจรรย์ ดังนั้น คนที่นิยมไปรับขันธ์ หรือทำพิธีอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน จึงได้พลังพิเศษอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองมากนัก ซึ่งการยอมให้สิ่งที่มองไม่เห็นเข้าไปอยู่ในร่างกายได้นี้ นับว่าเป็น ความเสี่ยงเช่นกัน ถ้าสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่เทพพรหม ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะไม่ใช่ เพราะองค์เทพหรือองค์พรหม จะไม่มาประทับร่างมนุษย์ง่าย ๆ เพราะมนุษย์เป็นกายหยาบ มีกลิ่นเหม็นสาบ มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว จะเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม ไม่พึงประสงค์เข้าแทรกแทน คนผู้นั้น แทนที่จะมีความเจริญดี กลับต้องพบกับความเสื่อมและหายนะของชีวิตได้ในภายหลัง แม้ว่าช่วงแรกสิ่งเหล่านั่นอาจหลอกออกอุบายให้คิดว่าทุกอย่างสำเร็จได้ง่ายดายและรวดเร็ว แต่ภายหลัง จะกลายเป็นหายนะ เช่น ทำจิตหลุดไม่อยู่กับตัว เข้าข่ายสติวิปลาส โดย วิญญาณต่าง ๆ หรือสัมภเวสี รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จะสามารถเข้าออกร่างกายได้อย่างโดยง่าย หรืออาจถูกแทรกแทนด้วยจิตวิญญาณชั้นต่ำอื่น ๆ อีกก็เป็นได้
สำหรับบางรายที่ไปรับขันธ์หรือเข้าพิธีต่าง ๆ ทำให้มีความสามารถในการรู้เรื่องราวของผู้คน หยั่งใจคนได้ จากคนธรรมดากลายเป็นเจ้าตั้งเป็นสำนักทรง นั่นก็อาจเกิดจาก วิญญาณ ที่มีความสามารถในการหยั่งจิตใจคน มาสิ่งร่างหรือแฝงร่าง มาบอกหรือกระซิบผู้นั้น เพื่ออาศัยกายสังขารของผู้นั้น แสวงบุญ และควบคุมกายของผู้รับขันธ์ให้เป็นไปตามใจต้องการ โดย เจ้าเข้าทรง เหล่านั้น จะขาดการควบคุมตนเอง ในขณะที่โดนสิงหรือโดนแฝงร่าง เมื่อโดนสิงหรือโดนแฝงมาก ๆ เป็นประจำ กายสังขารก็จะอ่อนแอ ป่วย และจะเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งการหยั่งรู้ที่เกิดจากวิญญาณแฝงร่าง จะแตกต่างจาก การหยั่งรู้ที่เกิดจาก อภิญญาญาณ ที่ได้จาการสะสมบุญบารมี การปฏิบัติ มาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน แต่การมีอภิญญาญาณ ก็เป็นยังทำให้เกิดความหลงได้อีก ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น หลังจากการรับต่าง ๆ เข้าร่าง สำคัญอย่างยิ่งคือการประพฤติตนต้องมีความดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อยู่ในศีลธรรม ประมาทไม่ได้ ถ้าทำความชั่วก็จะนำพาไปสู่หายนะอย่างคิดไม่ถึง แต่ในคนที่ปฏิบัติธรรมอยู่เนื่อง ๆ และมีธรรมในตนเองดีแล้ว ต่อให้มีจิตวิญญาณไม่ดีแทรกเข้าตัว ก็สามารถกลับร้ายกลายเป็นดีได้ ทำให้จิตวิญญาณชั้นต่ำกลายเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงได้ ในหมอผีบางคน ได้เรียกผีเข้าคน หากคนผู้นั้นมีธรรมก็สามารถโปรดผีตนนั้นให้หลุดได้ จะเห็นได้ว่าความดีและการมีศีลธรรม บุญเท่านั่น จะเป็นเกราะป้องกันและเป็นหนทางแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยไม่ต้องพึ่งองค์เทพหรือองค์พรหมใด ๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ที่รับขันธ์หรือเข้าพิธีต่าง ๆ ที่มาหาดิฉัน ก็จะมาในอาการแปลก ๆ บางคนก็กรีดร้อง บางคนก็พูดจาไม่ได้ศัพท์ บางคนตะโกนขึ้นมาเหมือนไม่เป็นตัวเอง มาเพื่อต้องการให้ดิฉันรักษาอาการดังกล่าวให้ด้วยความทุกข์ทรมาน หลายคนไม่สามารถเข้าสังคมได้ เนื่องจากมีอาการดังกล่าวเป็นที่อับอาย ต่างก็อยากหายเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนเดิม แต่ดิฉันก็ไม่สามารถรักษาให้พวกเขาเหล่านั้นได้ นอกเหนือจากจะบอกกับพวกเขาว่า ความดี การรักษาศีล เจริญสมาธิ การปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องกระทำด้วยตัวเขาเองก็จะเป็นยารักษาที่ดีที่สุดให้เขาเหล่านั้นได้ให้หายป่วยจากการรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาหาตัวได้
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงต้องการให้ท่านที่จะต้องการรับขันธ์หรือเข้าพิธีกรรมในลักษณะทำนองเดียวกัน ใช้สติไตร่ตรองให้รอบคอบ ว่าสิ่งนั้นคือแนวทางแก้ทุกข์ได้จริงหรือไม่ และแนวทางใดคือหนทางแก้ไขทุกข์ได้อย่างแท้จริง ได้จะคุ้มเสียหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับการพิจาณาของท่าน แต่สำหรับดิฉันแล้ว การเดินตามแนวคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางสายตรงที่ ก่อให้เกิดเนื้อนาบุญ เกิดสติปัญญา เกิดความหลุดพ้นทุกข์ ให้ถึงซึ่งนิพพาน ขจัดทุกข์เพิ่มสุขได้อย่างแท้จริง....
ด้วยความปรารถนาดีจาก
เจน ญาณทิพย์
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบความหมายของ คนมีองค์ กับ การรับขันธ์ ในเเบบที่ท่านเคยได้ยินมา์์
เเล้วมีเพือนเเม่ยาย เค้าบอกว่าเค้ามีองค์ ในความหมายของเค้าคือ บางทีแกเหมือนจะโดนผีเข้าทำไมโดยไม่รู้ตัว
มีองค์เเบบนี้ผมว่าน่าจะขาดสติมากกว่าคือควบคูมตัวเองไม่ได้ เเต่ก็ไม่รู้ความหมายจริงๆๆคืออะไร
อยากจะทราบว่าเเต่ละที่นี่ความหมายเดียวกันมั้ย