อวิชชา
ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นความไม่รู้ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
นี้เรียกว่า อวิชชา. และบุคคลชื่อว่า ถึงซึ่งอวิชชา เพราะเหตุไม่รู้ความจริงมีประมาณเท่านี้.
อวิชชาอีกนัยหนึ่ง
ในกรณีนี้ ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป
ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่ก่อขึ้นธรรมดา
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ มีทั้งก่อขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ว่า
เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
นี้เรียกว่า อวิชชา. และบุคลเป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
วิชชา
ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์ เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นความรู้ในแนวทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
นี้เรียกว่า วิชชา. และบุคคลชื่อว่า ถึงซึ่งวิชชา เพราะเหตุรู้ความจริงมีประมาณเท่านี้.
วิชชาอีกนัยหนึ่ง
อริยะสาวกผู้ได้สดับแล้ว ในธรรมวินัยนี้ มารู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป
ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่ก่อขึ้นธรรมดา
รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ มีทั้งก่อขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ว่า
เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
นี้เรียกว่า วิชชา และบุคลเป็นผู้ถึงซึ่งวิชชา ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
เพื่อทบทวนสอบสวนความรู้ของท่านทั้งหลาย ว่า เพราะมีอะไร อวิชชา จึงได้มี ?
เพื่อสอบสวนทบทวนของท่านทั้งหลาย ว่า เมื่อเป็นผู้ถึง ซึ่งวิชชาแล้ว จะมีวิชชา ได้อย่างไร ?
อวิชชา เกิดขึ้นได้อย่างไร ? และ วิชชาเล่า มีได้อย่างไร ?
ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นความไม่รู้ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
นี้เรียกว่า อวิชชา. และบุคคลชื่อว่า ถึงซึ่งอวิชชา เพราะเหตุไม่รู้ความจริงมีประมาณเท่านี้.
อวิชชาอีกนัยหนึ่ง
ในกรณีนี้ ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป
ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่ก่อขึ้นธรรมดา
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ มีทั้งก่อขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ว่า
เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
นี้เรียกว่า อวิชชา. และบุคลเป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
วิชชา
ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์ เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นความรู้ในแนวทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
นี้เรียกว่า วิชชา. และบุคคลชื่อว่า ถึงซึ่งวิชชา เพราะเหตุรู้ความจริงมีประมาณเท่านี้.
วิชชาอีกนัยหนึ่ง
อริยะสาวกผู้ได้สดับแล้ว ในธรรมวินัยนี้ มารู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป
ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่ก่อขึ้นธรรมดา
รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ มีทั้งก่อขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ว่า
เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
นี้เรียกว่า วิชชา และบุคลเป็นผู้ถึงซึ่งวิชชา ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
เพื่อทบทวนสอบสวนความรู้ของท่านทั้งหลาย ว่า เพราะมีอะไร อวิชชา จึงได้มี ?
เพื่อสอบสวนทบทวนของท่านทั้งหลาย ว่า เมื่อเป็นผู้ถึง ซึ่งวิชชาแล้ว จะมีวิชชา ได้อย่างไร ?