ว่าด้วยบุคคลผู้ถึงซึ่งอวิชชา

กระทู้สนทนา
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  คนกล่าวกันว่า  ‘อวิชชา-อวิชชา’ ดังนี้.  ก็อวิชชานั้น  เป็นอย่างไร ?  
และบุคคลชื่อว่า  มีอวิชชา  ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ?  พระเจ้าข้า !”

    ภิกษุ !  ในโลกนี้  บุถุชนผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง  ย่อม ไม่รู้จักรูป, ไม่รู้จัก เหตุให้เกิดของรูป,
ไม่รู้จัก ความดับไม่เหลือของรูป, ไม่รู้จัก ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของรูป ; เขาย่อมไม่รู้จัก เวทนา,
ไม่รู้จักเหตุให้เกิดของเวทนา, ไม่รู้จักความดับไม่เหลือของเวทนา, ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของเวทนา;
เขาย่อมไม่รู้จัก สัญญา, ไม่รู้จักเหตุให้เกิดของสัญญา,  ไม่รู้จักความดับไม่เหลือของสัญญา,  
ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสัญญา ;  เขาย่อมไม่รู้จักสังขารทั้งหลาย,  
ไม่รู้จักเหตุให้เกิดของสังขารทั้งหลาย,  ไม่รู้จักความดับไม่เหลือของสังขารทั้งหลาย,  
ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสังขารทั้งหลาย ;  เขาย่อมไม่รู้จัก วิญญาณ,
ไม่รู้จักเหตุให้เกิดของวิญญาณ,  ไม่รู้จักความดับไม่เหลือของวิญญาณ,  
ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของวิญญาณ, (ความดับอุปาทานขันธ์ทั้ง 5)
ภิกษุ !  ความไม่รู้นี้ เราเรียกว่า “อวิชชา” ; และบุคคลชื่อว่า มีอวิชชาด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๘/๓๐๐.

เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ  เมาหมกอยู่  กะรูปนั้น ,แห่งเสียงนั้น, กลิ่นนั้น,
รสนั้น, สัมผัสผิวกายนั้นและธรรมารมณ์นั้น เป็นที่น่าปรารถนาหรือไม่ถูกใจอย่างใดอย่างหนึ่ง  
วิญญาณนั้น  เป็นวิญญาณอันตัณหาในอารมณ์คือรูป, เสียง, กลิ่น, รส, ผิวกายและธรรมารมณ์อาศัยแล้ว  
วิญญาณนั้นคืออุปาทาน.๑ ท่านผู้เป็นจอมเทพ !  ผู้มีอุปาทาน  ย่อมไม่ นิพพาน..
นี้แล  เป็นเหตุ  นี้เป็นปัจจัย  ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้  ไม่พ้นไปจากทุกข์
(๑.    วิญญาณในที่นี้ หมายถึงมโนวิญญาณที่รู้สึกต่อความเพลินและความมัวเมาหรือขุ่นมัวในรูปนั้น;
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ ที่เห็นรูปตามธรรมดา.)

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ที่เรียกกันว่า ‘อวิชชา-อวิชชา’  ดังนี้นั้น  เป็นอย่างไร ?  
และด้วยเหตุเพียงเท่าไร  บุคคลจึงชื่อว่า  เป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา ?  พระเจ้าข้า !”

    ภิกษุ !  ในกรณีนี้  บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ  ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ อันมีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา ว่า “เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา” ดังนี้ ;
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ว่า “เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา” ดังนี้ ; ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ อันมีทั้งความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ว่า “เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา” ดังนี้.  
ภิกษุ !  ความไม่รู้นี้ เราเรียกว่า อวิชชา ; และบุคคลชื่อว่าเป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๙/๓๒๐.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่