เมื่อช่วงบ่าย (13 พ.ย. 57) ที่ผ่านมานักแสดงหนุ่ม “เอ-วิทิต แลต” พร้อมด้วยทนายส่วนตัวได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ สตูดิโอ ชั้น 23 ตึกแกรมมี่ ชี้แจงประเด็นข่าวที่เกิดขึ้น หลังมีข่าวออกมาว่า เจ้าตัวพร้อมด้วย ผู้กำกับ “ภาม รังสี” ถูกตำรวจรวบตัวข้อหาล่อลวงทำอนาจาร 5 นักศึกษาสาว โดยเจ้าตัวได้เปิดปากเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังว่า
“ขอบคุณพี่ๆสื่อมวลชนทั้งหมดเลยนะครับ ที่มาทำข่าวผมในกรณีที่เกิดขึ้นตามข่าวที่ได้ทราบกันไปแล้ว ผมรอจังหวะให้ทางฝ่ายนู้นออกข่าวมาหมดก่อน ถ้าเกิดผมไปแก้ข่าวต่อครั้งมันอาจจะทำให้เกิดการคลาดเคลื่อน วันนี้ก็จะได้ชี้แจงกันทีเดียวเลย ใครทีข้อซักถามหรือข้อสงสัยอะไร ถามผมได้ทุกคำถาม ผมจะตอบให้หมดอย่างเคลียร์ที่สุดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ผมจะพูดความจริงล้วนๆ”
“เหตุการณ์วันนั้นตามข่าวที่ออกมาว่าผมได้ทำการอนาจาร ล่อลวงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดัง บางแสน ผมขอปฏิเสธหมดเลยนะว่าไม่เป็นความจริงใดๆทั้งสิ้น ไม่ได้มีการล่อลวงหรือใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญที่ทำให้บังคับจิตใจของน้องๆเขา ข่าวที่ออกมาทำให้ผมเสื่อมเสียเยอะ ผมเองก็อยู่ในวงการนี้มา 20 กว่าปีแล้ว ผมคงไม่เอาอาชีพการงานผมหรือชื่อเสียงที่อยู่มาตั้งนานเพื่อมาแลกกับเรื่องบ้าๆ อีกอย่างผมเองก็มีครอบครัวแล้ว”
“พี่ไม่ได้เป็นคนนัดน้องๆนะ เป็นทางคุณภาม รังสี ไม่รู้ว่าเขามีการนัดแนะอะไรยังไง ผมไปถึงทีหลังก็เห็นมีน้องๆอยู่กันอยู่แล้ว แต่เท่าที่ผมได้ฟังจากคุณภามที่คุยกับน้องๆ คือจะทำการแคสติ้งหนังเรื่องใหม่ของเขา แนวหนังอีโรติก ซึ่งตรงนี้ผมฟังคุณภาม เขาก็คุยชัดเจนนะว่าการแคสตรงนี้ต้องทำอะไร คุณต้องเปลื้องเสื้อผ้านะ ฟังแล้วน้องๆก็บอกโอเคพี่ ไม่เป็นไร เขาก็ถามอีกว่าทำไมถึงรับได้ น้องๆก็บอกว่าโอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะ โอเคเขาก็ยินยอม คนที่อ้างว่าเป็นนักศึกษาซึ่งผมเองก็ไม่ทราบนะครับว่าเขาเป็นนักศึกษาจริงหรือเปล่า อายุก็ 23-24 บรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว คุณเองน่าจะใช้วิจารณญาณในการฟังตรงนั้นว่าคุณโอเคหรือเปล่า ถ้าไม่โอเค คุณก็ถอนตัวไปเลย แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ผมก็เห็นว่าเขาก็โอเคอยู่นะ”
“หลังจากตรงนั้นเกิดขึ้นมา ก่อนที่จะไปที่พัก ซึ่งตอนนั้นพักอยู่โรงแรมแห่งหนึ่ง ก็มีทีมงานที่ตัดต่อหนังอยู่แล้วบางส่วน ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ก็มีการบอกว่าเดี๋ยวเราไปเที่ยวผับที่นู่นสักที่นึงก่อนดีไหม ไปทำความรู้จักกันก่อน มันก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนขาไปจากที่ร้านอาหาร คุณภามขับรถมา มีน้องคนนึงนั่งไปกับเขา ส่วนผมนั่งด้านหลังคุณภามและมีน้องคนนึงนั่งอยู่กับผม ส่วนน้องที่เหลือเขามีรถส่วนตัวมา เขาก็ตามไปที่ผับเอง ระยะเวลาในการเดินทางไปผับ ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมา ณ ตรงนั้น”
ทั้งนี้ทนายได้กล่าวแทรกขึ้นมาว่า “ต้องขอเก็บข้อมูลตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ มีบางข้อมูลซึ่งเราอาจจะยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ในส่วนนี้เพราะว่าอาจจะกระทบในรูปคดี”
โดยนักแสดงหนุ่มได้เผยต่อว่า “จริงๆพี่อยากพูดมากเลย มันทำให้มีรู้สึกว่าตรงนี้มันมีการยินยอม พี่บอกทั้งหมดเลยว่าไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญใดๆทั้งสิ้น ระยะเวลาตรงนั้นอยู่ร้านอาหารก็ 2 ชั่วโมงแล้ว คุณต้องไตร่ตรองคิดได้เองว่าควรไปหรือไม่ควรไป แต่คุณก็ยังไปต่อที่ผับอยู่นะ น้องบางส่วนบอกว่าตอนเช้าเขามีธุระ ก็ต้องขอตัวกลับกัน ไม่เป็นไร จะเหลือน้อง 2 คนที่ไปด้วยกัน ก็อยู่ด้วยตลอด กว่าจะไปถึงโรงแรมก็เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันน่าจะคิดได้แล้ว อย่างที่พี่บอกว่ามันมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้พี่รู้สึกว่ามันโอเคตรงนั้น”
“พอไปถึงโรงแรมก็พาน้องไปดูที่ตัดต่อ น้องเห็นนักแสดงคนนี้หรือเปล่า ถ้าน้องเล่นเป็นนักแสดงคนนี้น้องเล่นได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ จนกระทั่งเวลาต่อมา ช่วงเวลาที่ออกจากผับ คุณภามก็ไปส่งน้องอีกคน ซึ่งเหตุการณ์ตรงนั้น ผมไม่อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้ อันนี้จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ผมอยู่ด้วยอย่างเดียวนะครับ ผมก็พาน้อง 2 คนนี้ที่อยู่ในรถตั้งแต่แรกไปโรงแรม อีกครึ่งชั่วโมงคุณภามก็กลับมา มานั่งคุยกับน้องอีกพักนึงว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ เล่นได้ไหม คุณภามเลยพาไปอีกห้องนึงซึ่งเปิดไว้อยู่แล้ว น้องก็เข้าไปโดยมีผม คุณภามและน้องผู้หญิงอีก 2 คน รวมเป็น 4 คน น้องที่อยู่กับผมก็อยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่อยู่ที่นู่นแล้ว เหมือนเรามีการส่งสารอะไรบางอย่าง น้องเขาก็โอเคกับผมนะ พอไปถึงคุณภามบอกว่าจะให้เล่นอีกบทบาทนึง พี่เอลองเล่นเป็นคนที่ไม่ได้สติ แล้วน้องเล่นเป็นผี แต่ตรงนี้ผมบอกก่อนว่า ที่คุยกันตั้งแต่แรกที่ร้านอาหารแล้วว่ามาแล้วต้องทำยังไง ต้องเขาก็บอกว่าได้ ก็เปลื้องผ้าหมดไม่เหลืออะไรเลยนะ ตรงนั้นก็เป็นความยินยอมของเขา ไม่ได้มีการบังคับทั้งสิ้น ถ้าจะบอกว่าผมลวนลาม ลวนลามผมดีกว่าไหม ผมเป็นสุภาพบุรุษพอนะ ใครที่เคยเล่นละครบทเลิฟซีนกับผม ผมไม่เคยเอาเปรียบตรงนี้เลย ส่วนเรื่องที่น้องใช้ไลน์คุยกับเพื่อน ถ้าใช้ไลน์จริงผมก็ต้องเห็นนะ ผมไม่เห็นน้องเขาถือโทรศัพท์เลยนะ เราเองก็ต้องป้องกันตัวเองเหมือนกันว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะ เราก็กลัวเหมือนกัน”
“และระยะเวลาจากตรงนั้น 3-5 นาทีเอง ผมได้ยินเสียงเคาะประตู ปั้งๆแล้วมีเสียงโวยวาย สัณชาตญาณผู้ชายก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไร แต่มีคนถามว่าถ้าพี่เอบริสุทธิ์ใจจริงหนีทำไม ชั่วโมงนั้น เขาอยู่หลังประตู ผมไม่รู้ว่าเขามีอาวุธหรือเปล่า เราก็เป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ อย่างน้อยผมถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่าไหม ผมก็เลยออกจากตรงนั้นไปทางด้านหลัง โรงแรมเป็นโรงแรมชั้นเดียว ผมก็ขึ้นรถแล้วก็ไปเลย ไม่ไหวแล้ว ในข่าวบอกว่ามีการไล่ล่า ตัวผมไม่มีนะ ผมออกไปจากที่เกิดเหตุตรงนั้นไม่ได้อยู่กับคุณภาม แยกกันแล้ว ผมก็ไปจอดรถรอที่เซเว่น รอคุณภามโทรมาว่าเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง อีก 15-20 นาทีคุณภามโทรมาบอกว่าเขากลับกันไปแล้ว เผอิญว่าผู้ชายที่มาเคาะเป็นแฟนของคนที่อยู่กับคุณภาม แต่น้องที่อยู่กับผมคือไม่มีอะไร คุณภามเลยปรึกษาผมว่า มีความรู้สึกไม่ปลอดภัย ขอย้ายโรงแรมดีกว่า พี่ก็ให้คำแนะนำว่าถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยจริงก็ย้ายโรงแรม ระหว่างที่จะย้ายของต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเพราะมีอุปกรณ์ต่างๆในการตัดต่อ คุณภามบอกว่าเนี่ยกำลังจะออกแล้ว แต่ก่อนตรงนั้น คุณภามบอกว่ามีรปภ.ของทางโรงแรมมาบอกกับเขาว่า ผมว่าพี่ออกทางประตูหลังดีกว่าเพราะกลัวว่าพวกที่มีเรื่องกันอยู่มาดักรอข้างหน้าแล้วจะมีปัญหา”
ช่วงนั้นผมกำลังขับรถกลับกรุงเทพฯ ใกล้จะถึงชลบุรีแล้ว อีก 10 นาที คุณภามโทรมาบอกว่าโดนรถไล่ล่า ไม่รู้มีอะไรหรือเปล่า มันเบียดผมจะให้ตกถนน ผมก็บอกให้มีสติ ขับเข้าไปสน.ที่ใกล้ที่สุดเลย ไม่รู้จริงๆนะด้วยความอาฆาตแค้นหรือการที่ฝ่ายหญิงไปบอกฝ่ายชายว่ายังไง เราก็ไม่รู้ รถผมมีจีพีเอสผมก็กดและให้นำทางไปยังสถานีตำรวจภูธรชลบุรี อีกสักพักคุณภามโทรมาบอกว่าพี่เอผมโดนแล้ว เราก็ใจแป้วเลย นึกว่าโดนยิง แต่เปล่ามันเลี้ยวผิดเข้าตลาดสด แล้วมันเป็นเหมือนทางตัน เขาก็ปิดหัวท้าย ผมไม่เห็นเหตุการณ์แต่น้ำเสียงที่ออกมาท่าทางจะมีชายหลายคนอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันจะโดนอะไรบ้าง ตอนนั้นประมาณตี 2 ผมก็ไปถึงโรงพักแล้วก็บอกตำรวจว่าน้องผมมีเรื่องอยู่ตลาดใหม่ชลบุรี ผมก็บอกว่ารบกวนให้ตามผมด่วนเลยนะ ผมไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นเลยว่ารถคุณภามจอดอยู่ แล้วก็มีรถของคู่กรณีเบียดไม่ให้ไปไหน ยึดกุญแจของคุณภามเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์ทำร้ายกัน ผมก็เลยเข้าไปคุยกับน้องๆว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า เคลียร์อะไรกันได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่เคลียร์ ไม่จบ ผมก็บอกว่างั้นเราไปคุยกันที่สถานีตำรวจไหม”
“แล้วเราก็กำลังขับรถไปที่สถานีตำรวจชลบุรี แต่เหตุการณ์ที่เกิด มันเกิดที่บางแสน เราต้องไปที่เกิดเหตุ คือไปที่สน.แสนสุข รถพี่จอดที่สน.ชลบุรี รถตำรวจก็พาพี่ไปส่งที่สน.แสนสุข พอไปถึงเขาก็กันพี่กับคุณภามไปอยู่อีกหนึ่งนึง ส่วนคู่กรณีก็ให้ปากคำ นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง นักข่าวมาจากไหนไม่รู้ 3-4 คน ก็เป็นอย่างภาพที่เห็น ใช้เวลาในการสอบสวนชั่วโมงครึ่ง ทางคู่กรณีก็กลับ ตำรวจก็เอากุญแจรถมาให้บอกกลับได้แล้ว ตำรวจก็บอกว่าไม่รู้จะตั้งข้อกล่าวหาว่ายังไงเพราะยังไม่มีมูล ต้องทำการสอบปากคำหลายปากเพราะเหตุการณ์มันเยอะมาก ตำรวจก็บอกให้พี่กลับได้เลย ผมก็เลยบอกให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนกับเบอร์โทรศัพท์ของผมไว้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าให้โทรหาพี่ ตอนนี้ยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา ไปเช็กที่สน.แสนสุขได้เลย แต่มีการลงบันทึกประจำวัน ทางตำรวจก็เลยให้ไปตรวจร่างกายซึ่งต้องใช้เวลา 20-30 วัน กว่าจะเสร็จเรียบร้อย เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีว่าจะมีการสั่งฟ้องหรือมีการตั้งข้อกล่าวหาหรือเปล่า พี่ก็ให้ทางพี่ทนายเป็นคนดูแลตรงนี้ไป ที่บอกว่ามีนักศึกษามาแจ้งความ 5 คนก็คือเข้ามาสมบทเพราะเหมือนอยู่กลุ่มเดียวกัน พี่ก็เข้าใจครับ”
“คู่กรณีก็ไม่ได้ติดต่อมาอะไรทั้งสิ้นเลย พอมันเป็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมายแล้ว พี่ก็จะให้ทางพี่ทนายเป็นคนจัดการแล้ว”
“กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้พี่ได้ข้อคิด 2 อย่าง 1.ถ้าแฟนเขาไม่มาเคาะมันก็จะเป็นอีกเรื่องนึง แต่ด้วยความปกป้องตัวเองก็เลยโยนขี้ให้ทางฝั่งพี่เลยว่า หนูโดนล่อลวงมา บอกแฟนอีกแบบนึงทั้งที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายทำอะไรแบบนี้อยู่ เขาอาจจะปกป้องตัวเองเพราะกลัวมีปัญหากับแฟน 2.มันจัดฉากหรือเปล่า อันนี้ความคิดผมเองนะ พูดไปอาจจะไปพาดพิงใครมันจะไม่ดีอีก แต่มันทำให้คิดได้ เหมือนเขียนบทมาเลย ส่วนกรณีที่บอกว่าพี่โดนรวบ ไม่มีเลยนะครับ จริงๆถ้ามีเห็นแก่ตัวอีกนึงนะ พี่คงปิดโทรศัพท์แล้วไม่กลับหรอก ถ้าเกิดว่าคุณภามโดนยิงตาย พี่ก็เป็นตราบาปไปตลอดชีวิตเลยนะถ้าพี่ไม่กลับไปช่วยเขา”
“มีบางคนถามพี่ว่าเป็นการโปรโมทหนัง “เศียรสยอง” หรือเปล่า ไม่ใช่ครับ”
“พอมีข่าว ก็รู้แล้วว่ายังไงบ้านพี่บึ้มแน่นอน แต่กำลังใจจากภรรยาพี่เขาบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดความจริงก็คือความจริง ถ้าพี่เอทำจริง พี่เอก็พูดไปตามความจริง ถ้าพูดไม่หมดมันจะทำให้คิดได้หลายแบบ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันออกมาจากปากพี่โดยตรง พี่เป็นสุภาพบุรุษพอนะครับว่าอะไรคืออะไร สามารถเอาคำพูดของพี่ไปเป็นหลักฐานได้”
ทั้งนี้ทนายส่วนตัวนักแสดงหนุ่มเผยถึงกระบวนการทางกฎหมายว่า “ประเด็นแรกต้องเรียนสถานภาพทางคดีก่อนว่า ปัจจุบันคุณเอกับคุณภาม ไม่ได้ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนว่าเรื่องที่ฝ่ายผู้เสียหายมาแจ้งความที่สถานีตำรวจมีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน”
ถ้าจะฟังคลิปก็ตามไปที่ลิงค์นะคะ
http://www.rakdara.net/home/?p=107634
หนังคนละม้วน “วิทิต แลต”เปิดปากเล่าความจริง ข้อหาล่อลวงนักศึกษาสาวทำอนาจาร
เมื่อช่วงบ่าย (13 พ.ย. 57) ที่ผ่านมานักแสดงหนุ่ม “เอ-วิทิต แลต” พร้อมด้วยทนายส่วนตัวได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ สตูดิโอ ชั้น 23 ตึกแกรมมี่ ชี้แจงประเด็นข่าวที่เกิดขึ้น หลังมีข่าวออกมาว่า เจ้าตัวพร้อมด้วย ผู้กำกับ “ภาม รังสี” ถูกตำรวจรวบตัวข้อหาล่อลวงทำอนาจาร 5 นักศึกษาสาว โดยเจ้าตัวได้เปิดปากเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังว่า
“ขอบคุณพี่ๆสื่อมวลชนทั้งหมดเลยนะครับ ที่มาทำข่าวผมในกรณีที่เกิดขึ้นตามข่าวที่ได้ทราบกันไปแล้ว ผมรอจังหวะให้ทางฝ่ายนู้นออกข่าวมาหมดก่อน ถ้าเกิดผมไปแก้ข่าวต่อครั้งมันอาจจะทำให้เกิดการคลาดเคลื่อน วันนี้ก็จะได้ชี้แจงกันทีเดียวเลย ใครทีข้อซักถามหรือข้อสงสัยอะไร ถามผมได้ทุกคำถาม ผมจะตอบให้หมดอย่างเคลียร์ที่สุดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ผมจะพูดความจริงล้วนๆ”
“เหตุการณ์วันนั้นตามข่าวที่ออกมาว่าผมได้ทำการอนาจาร ล่อลวงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดัง บางแสน ผมขอปฏิเสธหมดเลยนะว่าไม่เป็นความจริงใดๆทั้งสิ้น ไม่ได้มีการล่อลวงหรือใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญที่ทำให้บังคับจิตใจของน้องๆเขา ข่าวที่ออกมาทำให้ผมเสื่อมเสียเยอะ ผมเองก็อยู่ในวงการนี้มา 20 กว่าปีแล้ว ผมคงไม่เอาอาชีพการงานผมหรือชื่อเสียงที่อยู่มาตั้งนานเพื่อมาแลกกับเรื่องบ้าๆ อีกอย่างผมเองก็มีครอบครัวแล้ว”
“พี่ไม่ได้เป็นคนนัดน้องๆนะ เป็นทางคุณภาม รังสี ไม่รู้ว่าเขามีการนัดแนะอะไรยังไง ผมไปถึงทีหลังก็เห็นมีน้องๆอยู่กันอยู่แล้ว แต่เท่าที่ผมได้ฟังจากคุณภามที่คุยกับน้องๆ คือจะทำการแคสติ้งหนังเรื่องใหม่ของเขา แนวหนังอีโรติก ซึ่งตรงนี้ผมฟังคุณภาม เขาก็คุยชัดเจนนะว่าการแคสตรงนี้ต้องทำอะไร คุณต้องเปลื้องเสื้อผ้านะ ฟังแล้วน้องๆก็บอกโอเคพี่ ไม่เป็นไร เขาก็ถามอีกว่าทำไมถึงรับได้ น้องๆก็บอกว่าโอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะ โอเคเขาก็ยินยอม คนที่อ้างว่าเป็นนักศึกษาซึ่งผมเองก็ไม่ทราบนะครับว่าเขาเป็นนักศึกษาจริงหรือเปล่า อายุก็ 23-24 บรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว คุณเองน่าจะใช้วิจารณญาณในการฟังตรงนั้นว่าคุณโอเคหรือเปล่า ถ้าไม่โอเค คุณก็ถอนตัวไปเลย แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ผมก็เห็นว่าเขาก็โอเคอยู่นะ”
“หลังจากตรงนั้นเกิดขึ้นมา ก่อนที่จะไปที่พัก ซึ่งตอนนั้นพักอยู่โรงแรมแห่งหนึ่ง ก็มีทีมงานที่ตัดต่อหนังอยู่แล้วบางส่วน ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ก็มีการบอกว่าเดี๋ยวเราไปเที่ยวผับที่นู่นสักที่นึงก่อนดีไหม ไปทำความรู้จักกันก่อน มันก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนขาไปจากที่ร้านอาหาร คุณภามขับรถมา มีน้องคนนึงนั่งไปกับเขา ส่วนผมนั่งด้านหลังคุณภามและมีน้องคนนึงนั่งอยู่กับผม ส่วนน้องที่เหลือเขามีรถส่วนตัวมา เขาก็ตามไปที่ผับเอง ระยะเวลาในการเดินทางไปผับ ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมา ณ ตรงนั้น”
ทั้งนี้ทนายได้กล่าวแทรกขึ้นมาว่า “ต้องขอเก็บข้อมูลตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ มีบางข้อมูลซึ่งเราอาจจะยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ในส่วนนี้เพราะว่าอาจจะกระทบในรูปคดี”
โดยนักแสดงหนุ่มได้เผยต่อว่า “จริงๆพี่อยากพูดมากเลย มันทำให้มีรู้สึกว่าตรงนี้มันมีการยินยอม พี่บอกทั้งหมดเลยว่าไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญใดๆทั้งสิ้น ระยะเวลาตรงนั้นอยู่ร้านอาหารก็ 2 ชั่วโมงแล้ว คุณต้องไตร่ตรองคิดได้เองว่าควรไปหรือไม่ควรไป แต่คุณก็ยังไปต่อที่ผับอยู่นะ น้องบางส่วนบอกว่าตอนเช้าเขามีธุระ ก็ต้องขอตัวกลับกัน ไม่เป็นไร จะเหลือน้อง 2 คนที่ไปด้วยกัน ก็อยู่ด้วยตลอด กว่าจะไปถึงโรงแรมก็เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันน่าจะคิดได้แล้ว อย่างที่พี่บอกว่ามันมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้พี่รู้สึกว่ามันโอเคตรงนั้น”
“พอไปถึงโรงแรมก็พาน้องไปดูที่ตัดต่อ น้องเห็นนักแสดงคนนี้หรือเปล่า ถ้าน้องเล่นเป็นนักแสดงคนนี้น้องเล่นได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ จนกระทั่งเวลาต่อมา ช่วงเวลาที่ออกจากผับ คุณภามก็ไปส่งน้องอีกคน ซึ่งเหตุการณ์ตรงนั้น ผมไม่อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้ อันนี้จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ผมอยู่ด้วยอย่างเดียวนะครับ ผมก็พาน้อง 2 คนนี้ที่อยู่ในรถตั้งแต่แรกไปโรงแรม อีกครึ่งชั่วโมงคุณภามก็กลับมา มานั่งคุยกับน้องอีกพักนึงว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ เล่นได้ไหม คุณภามเลยพาไปอีกห้องนึงซึ่งเปิดไว้อยู่แล้ว น้องก็เข้าไปโดยมีผม คุณภามและน้องผู้หญิงอีก 2 คน รวมเป็น 4 คน น้องที่อยู่กับผมก็อยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่อยู่ที่นู่นแล้ว เหมือนเรามีการส่งสารอะไรบางอย่าง น้องเขาก็โอเคกับผมนะ พอไปถึงคุณภามบอกว่าจะให้เล่นอีกบทบาทนึง พี่เอลองเล่นเป็นคนที่ไม่ได้สติ แล้วน้องเล่นเป็นผี แต่ตรงนี้ผมบอกก่อนว่า ที่คุยกันตั้งแต่แรกที่ร้านอาหารแล้วว่ามาแล้วต้องทำยังไง ต้องเขาก็บอกว่าได้ ก็เปลื้องผ้าหมดไม่เหลืออะไรเลยนะ ตรงนั้นก็เป็นความยินยอมของเขา ไม่ได้มีการบังคับทั้งสิ้น ถ้าจะบอกว่าผมลวนลาม ลวนลามผมดีกว่าไหม ผมเป็นสุภาพบุรุษพอนะ ใครที่เคยเล่นละครบทเลิฟซีนกับผม ผมไม่เคยเอาเปรียบตรงนี้เลย ส่วนเรื่องที่น้องใช้ไลน์คุยกับเพื่อน ถ้าใช้ไลน์จริงผมก็ต้องเห็นนะ ผมไม่เห็นน้องเขาถือโทรศัพท์เลยนะ เราเองก็ต้องป้องกันตัวเองเหมือนกันว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะ เราก็กลัวเหมือนกัน”
“และระยะเวลาจากตรงนั้น 3-5 นาทีเอง ผมได้ยินเสียงเคาะประตู ปั้งๆแล้วมีเสียงโวยวาย สัณชาตญาณผู้ชายก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไร แต่มีคนถามว่าถ้าพี่เอบริสุทธิ์ใจจริงหนีทำไม ชั่วโมงนั้น เขาอยู่หลังประตู ผมไม่รู้ว่าเขามีอาวุธหรือเปล่า เราก็เป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ อย่างน้อยผมถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่าไหม ผมก็เลยออกจากตรงนั้นไปทางด้านหลัง โรงแรมเป็นโรงแรมชั้นเดียว ผมก็ขึ้นรถแล้วก็ไปเลย ไม่ไหวแล้ว ในข่าวบอกว่ามีการไล่ล่า ตัวผมไม่มีนะ ผมออกไปจากที่เกิดเหตุตรงนั้นไม่ได้อยู่กับคุณภาม แยกกันแล้ว ผมก็ไปจอดรถรอที่เซเว่น รอคุณภามโทรมาว่าเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง อีก 15-20 นาทีคุณภามโทรมาบอกว่าเขากลับกันไปแล้ว เผอิญว่าผู้ชายที่มาเคาะเป็นแฟนของคนที่อยู่กับคุณภาม แต่น้องที่อยู่กับผมคือไม่มีอะไร คุณภามเลยปรึกษาผมว่า มีความรู้สึกไม่ปลอดภัย ขอย้ายโรงแรมดีกว่า พี่ก็ให้คำแนะนำว่าถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยจริงก็ย้ายโรงแรม ระหว่างที่จะย้ายของต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเพราะมีอุปกรณ์ต่างๆในการตัดต่อ คุณภามบอกว่าเนี่ยกำลังจะออกแล้ว แต่ก่อนตรงนั้น คุณภามบอกว่ามีรปภ.ของทางโรงแรมมาบอกกับเขาว่า ผมว่าพี่ออกทางประตูหลังดีกว่าเพราะกลัวว่าพวกที่มีเรื่องกันอยู่มาดักรอข้างหน้าแล้วจะมีปัญหา”
ช่วงนั้นผมกำลังขับรถกลับกรุงเทพฯ ใกล้จะถึงชลบุรีแล้ว อีก 10 นาที คุณภามโทรมาบอกว่าโดนรถไล่ล่า ไม่รู้มีอะไรหรือเปล่า มันเบียดผมจะให้ตกถนน ผมก็บอกให้มีสติ ขับเข้าไปสน.ที่ใกล้ที่สุดเลย ไม่รู้จริงๆนะด้วยความอาฆาตแค้นหรือการที่ฝ่ายหญิงไปบอกฝ่ายชายว่ายังไง เราก็ไม่รู้ รถผมมีจีพีเอสผมก็กดและให้นำทางไปยังสถานีตำรวจภูธรชลบุรี อีกสักพักคุณภามโทรมาบอกว่าพี่เอผมโดนแล้ว เราก็ใจแป้วเลย นึกว่าโดนยิง แต่เปล่ามันเลี้ยวผิดเข้าตลาดสด แล้วมันเป็นเหมือนทางตัน เขาก็ปิดหัวท้าย ผมไม่เห็นเหตุการณ์แต่น้ำเสียงที่ออกมาท่าทางจะมีชายหลายคนอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันจะโดนอะไรบ้าง ตอนนั้นประมาณตี 2 ผมก็ไปถึงโรงพักแล้วก็บอกตำรวจว่าน้องผมมีเรื่องอยู่ตลาดใหม่ชลบุรี ผมก็บอกว่ารบกวนให้ตามผมด่วนเลยนะ ผมไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นเลยว่ารถคุณภามจอดอยู่ แล้วก็มีรถของคู่กรณีเบียดไม่ให้ไปไหน ยึดกุญแจของคุณภามเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์ทำร้ายกัน ผมก็เลยเข้าไปคุยกับน้องๆว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า เคลียร์อะไรกันได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่เคลียร์ ไม่จบ ผมก็บอกว่างั้นเราไปคุยกันที่สถานีตำรวจไหม”
“แล้วเราก็กำลังขับรถไปที่สถานีตำรวจชลบุรี แต่เหตุการณ์ที่เกิด มันเกิดที่บางแสน เราต้องไปที่เกิดเหตุ คือไปที่สน.แสนสุข รถพี่จอดที่สน.ชลบุรี รถตำรวจก็พาพี่ไปส่งที่สน.แสนสุข พอไปถึงเขาก็กันพี่กับคุณภามไปอยู่อีกหนึ่งนึง ส่วนคู่กรณีก็ให้ปากคำ นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง นักข่าวมาจากไหนไม่รู้ 3-4 คน ก็เป็นอย่างภาพที่เห็น ใช้เวลาในการสอบสวนชั่วโมงครึ่ง ทางคู่กรณีก็กลับ ตำรวจก็เอากุญแจรถมาให้บอกกลับได้แล้ว ตำรวจก็บอกว่าไม่รู้จะตั้งข้อกล่าวหาว่ายังไงเพราะยังไม่มีมูล ต้องทำการสอบปากคำหลายปากเพราะเหตุการณ์มันเยอะมาก ตำรวจก็บอกให้พี่กลับได้เลย ผมก็เลยบอกให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนกับเบอร์โทรศัพท์ของผมไว้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าให้โทรหาพี่ ตอนนี้ยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา ไปเช็กที่สน.แสนสุขได้เลย แต่มีการลงบันทึกประจำวัน ทางตำรวจก็เลยให้ไปตรวจร่างกายซึ่งต้องใช้เวลา 20-30 วัน กว่าจะเสร็จเรียบร้อย เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีว่าจะมีการสั่งฟ้องหรือมีการตั้งข้อกล่าวหาหรือเปล่า พี่ก็ให้ทางพี่ทนายเป็นคนดูแลตรงนี้ไป ที่บอกว่ามีนักศึกษามาแจ้งความ 5 คนก็คือเข้ามาสมบทเพราะเหมือนอยู่กลุ่มเดียวกัน พี่ก็เข้าใจครับ”
“คู่กรณีก็ไม่ได้ติดต่อมาอะไรทั้งสิ้นเลย พอมันเป็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมายแล้ว พี่ก็จะให้ทางพี่ทนายเป็นคนจัดการแล้ว”
“กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้พี่ได้ข้อคิด 2 อย่าง 1.ถ้าแฟนเขาไม่มาเคาะมันก็จะเป็นอีกเรื่องนึง แต่ด้วยความปกป้องตัวเองก็เลยโยนขี้ให้ทางฝั่งพี่เลยว่า หนูโดนล่อลวงมา บอกแฟนอีกแบบนึงทั้งที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายทำอะไรแบบนี้อยู่ เขาอาจจะปกป้องตัวเองเพราะกลัวมีปัญหากับแฟน 2.มันจัดฉากหรือเปล่า อันนี้ความคิดผมเองนะ พูดไปอาจจะไปพาดพิงใครมันจะไม่ดีอีก แต่มันทำให้คิดได้ เหมือนเขียนบทมาเลย ส่วนกรณีที่บอกว่าพี่โดนรวบ ไม่มีเลยนะครับ จริงๆถ้ามีเห็นแก่ตัวอีกนึงนะ พี่คงปิดโทรศัพท์แล้วไม่กลับหรอก ถ้าเกิดว่าคุณภามโดนยิงตาย พี่ก็เป็นตราบาปไปตลอดชีวิตเลยนะถ้าพี่ไม่กลับไปช่วยเขา”
“มีบางคนถามพี่ว่าเป็นการโปรโมทหนัง “เศียรสยอง” หรือเปล่า ไม่ใช่ครับ”
“พอมีข่าว ก็รู้แล้วว่ายังไงบ้านพี่บึ้มแน่นอน แต่กำลังใจจากภรรยาพี่เขาบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดความจริงก็คือความจริง ถ้าพี่เอทำจริง พี่เอก็พูดไปตามความจริง ถ้าพูดไม่หมดมันจะทำให้คิดได้หลายแบบ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันออกมาจากปากพี่โดยตรง พี่เป็นสุภาพบุรุษพอนะครับว่าอะไรคืออะไร สามารถเอาคำพูดของพี่ไปเป็นหลักฐานได้”
ทั้งนี้ทนายส่วนตัวนักแสดงหนุ่มเผยถึงกระบวนการทางกฎหมายว่า “ประเด็นแรกต้องเรียนสถานภาพทางคดีก่อนว่า ปัจจุบันคุณเอกับคุณภาม ไม่ได้ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนว่าเรื่องที่ฝ่ายผู้เสียหายมาแจ้งความที่สถานีตำรวจมีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน”
ถ้าจะฟังคลิปก็ตามไปที่ลิงค์นะคะ
http://www.rakdara.net/home/?p=107634