ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านนะคะ
ขอบคุณ
คุณ กลิ่นลั่นทม,
คุณนุ่น lovereason,
คุณ ริมแม่โขง,
คุณ สมาชิกหมายเลข 1625278,
น้องปุ้ย อรุสา,
น้อง มาโซคิส,
คุณ Su_jeong,
คุณ รัตน์ฤดี,
น้องแพรว thezircon,
น้องนุ้ย ณวลี
คุณ คาโบนาร่าลาซาญญ่ามักกะโรนี,
คุณ กุเต่ยโหดกระถีบ
รวมถึงอีก 7 คน ใครก็ไม่ทราบค่ะ ชื่อหายไปแล้ว ขอบคุณนะคะ
คุณ Susisiri ถูกใจ,
คุณ nasa nasa
คุณ Hermosa
คุณเสี่ย kasareev
คุณ ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
คุณหมูครับ
คุณนัน turtle_cheesecake
รวมถึงอีก 5 คน ขอบคุณค่ะ
ชื่อหายไปหลายคนเลยค่ะ ตกหล่นชื่อใครไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะที่มาอ่าน
บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ
http://ppantip.com/topic/32705425
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32747704
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32775622
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/32798708
บทที่ ๔
ฝนตกในที่สุด เริ่มจากโปรยปรายเป็นละอองบางๆ ลงมาก่อน และเพียงไม่นานก็ซัดกระหน่ำรุนแรงจนทุกสิ่งทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด ถ้าเป็นเมื่อวันสองวันก่อนแก้วตาคงหนักใจด้วยกลัวน้ำจะเอ่อท้นขึ้นมาจนท่วมร้านอีก แต่เวลานี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ฝนเหมือนฟ้าประทาน เสียงระเบิดหยุดลงแทบจะในทันที และเสียงหึ่งๆ ก็ห่างออกไป แทนที่ด้วยเสียงหวูดยาวเหยียดของสัญญาณบอกให้รู้ว่าหมดภัยแล้ว
เธอขยับตัวพร้อมๆ กับอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบอยู่รอบกายเริ่มคลาย
“พล เป็นยังไงบ้าง”
หันไปดูก็ใจหายเมื่อเห็นใบหน้าคมคายแทบไม่มีสีเลือดหลงเหลือ แม้คำตอบจะตรงข้าม
“ไม่เป็นไรหรอกแก้ว” สุ้มเสียงของเขาแหบโหย แขนล่ำสันที่เมื่อครู่ใช้ปกป้องเธอจากสะเก็ดระเบิดเลื่อนไปยันอยู่กับผนังตึกเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม
“แก้วล่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เขากวาดสายตาสำรวจเธอจนทั่วก่อนลุกยืนพร้อมกับพยุงเธอขึ้นมาด้วย
เปียกจนโชกกันทั้งคู่ จนแทบดูไม่ออกเลยว่าเขาบาดเจ็บเพียงไร
“ไปโรงพยาบาลเถอะพล”
เธอพยายามจับร่างใหญ่ๆ นั้นให้หันหลังมาให้ดู แต่เขาขืนตัวไว้
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่เป็นไร”
“ไปให้หมอดูสักหน่อยไม่ได้หรือ เธอเจ็บนะพล”
“ผมไม่ไป ผมจะพาแก้วกลับบ้าน”
เขากลับเป็นฝ่ายดึงแขนเธอไปทางรถเครื่อง และนั่นเองที่เธอเห็นรอยฉีกขาดบนเสื้อเชิ้ตที่เขาสวม ฝนชะเลือดไปเกือบหมดสิ้นแล้วจึงบอกไม่ได้เลยว่าเขาบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน
“ทำไมล่ะ โรงพยาบาลก็อยู่อีกไม่ไกล”
คิดขึ้นได้ว่าคงเป็นเพราะพี่เรวัตทำงานอยู่ที่นั่น เขาจึงไม่อยากไปขอความช่วยเหลือ
แต่ก็ไม่ใช่ เขาเหลียวขวับมามองเสื้อที่เธอสวม และแม้นัยน์ตาฉายประกายกล้าคู่นั้นไม่ได้โลมเลียหรือหยาบหยามเลยแม้แต่น้อย หากแก้วตาก็เข้าใจ สองเท้าที่กำลังซอยถี่ยิบตามเขาถึงกับสะดุดไปชั่วขณะเมื่อก้มลงดูเสื้อที่สวม เสื้อผ้าฝ้ายตัวนี้เก่ามากแล้ว เก่าจนเนื้อผ้าบางและเริ่มเปื่อย ถ้าเปียกน้ำจนโชกอย่างนี้จะแนบเนื้อและมองเห็นไปถึงไหนๆ แต่ที่สวมตัวนี้มาก็เพราะไม่คิดว่าฝนจะตก และไม่คิดว่าจะต้องมาพบกับสภาพเช่นนี้
“โธ่ พล” แทนที่จะห่วงตัวเอง เขากลับห่วงเธอ
“ผมไม่อยากให้ใครเห็นแก้วแบบนี้” ประโยคหลังเบาลงจนไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบ “ผมหวง”
แก้วตาไม่ได้ยินหรอกว่าเขาพึมพำอะไรในเมื่อมัวแต่ห่วงอาการบาดเจ็บของเขา
“แต่เธอเจ็บมากนะพล”
เลือดซึ่งไหลเป็นทางตามสายฝนลงบนพื้นไปตลอดทางนั้นบอกชัดแจ้ง รู้หรอกว่าเขาพยายามปกปิดอาการของตัวเองอย่างไร ถ้าเขาเป็นอะไรไปเธอจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเป็นอันขาด
ผู้คนเริ่มปรากฏตัวให้เห็น บางคนหลบอยู่ในร้านค้าและเปิดประตูร้านเพื่อโผล่หน้าออกมาดูความเป็นไปภายนอก แต่เพราะฝนยังคงสาดซัดหนักหน่วง จึงยังไม่มีใครกล้าออกมาพ้นชายคา บางคนโผล่ออกมาจากซากอาคารซึ่งใช้แทนหลุมหลบภัยชั่วคราว และหลายคนถูกประคองออกมาเพราะบาดเจ็บ
นั่นเองที่เธอสังเกตเห็นสภาพความเสียหาย อาคารร้านค้าแม้ไม่พังทลายจนเหลือแต่ซากเหมือนระเบิดครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่ก็มีรอยพรุนทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่งราวถูกกระสุนปืน เศษไม้เศษอิฐและปูนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายเกลื่อน รวมกับโลหะอะไรบางอย่างส่งประกายวาววับอยู่บนพื้น
รถเครื่องยังคงจอดอยู่ที่เดิม ในสภาพเดิม แต่เจ้ากรรม สตาร์ตไม่ติด
“น้ำเข้าเครื่อง”
พลรบบอกได้ทันที รถคันนี้เป็นของเขา ทำไมเขาจะไม่รู้ แต่จะเปิดฝาครอบเครื่องยนต์ในท่ามกลางสายฝนที่ยังคงลงหนักขนาดนี้ไม่ได้แน่
หันมองกลับไปทางอาคารพังๆ หลังที่ใช้หลบภัยเมื่อครู่ หลังคาซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่บ้างนั้นพอจะใช้เป็นที่กันฝนขณะซ่อมรถได้ จึงยกรถทั้งคันขึ้นบนบาทวิถีโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ
“พล พอเถอะ ทิ้งรถไว้ที่นี่แหละ” แก้วตาร้องห้ามเสียงหลง
เห็นๆ อยู่ว่าแผ่นหลังกว้างๆ ของเขานั้นเวลานี้มีแต่เลือด แสดงว่าเลือดออกมากจนแม้แต่น้ำฝนก็ชะออกจากเสื้อที่เขาสวมไม่ทัน เขาเสียเลือดไปมาก และคงยืนหยัดอยู่อย่างนี้ไปอีกได้ไม่นาน ตระหนักแล้วว่าระเบิดประกายดาวตามที่เขาบอกนั้นทรงอานุภาพเพียงไร เป้าหมายของระเบิดประเภทนี้คือผู้คน ไม่ใช่อาคารบ้านเรือน และคงเพราะเหตุนั้นจึงทิ้งใกล้ๆ ค่ายทหารญี่ปุ่นอย่างนี้
แต่เขาก็ไม่ฟังเสียง เข็นรถเครื่องต่อไปที่ซากอาคารร้างจนได้
มีเสียงตะโกนบอกกันแว่วมาให้ได้ยินจากระยะไกล
“รถบรรเทาทุกข์ออกมาแล้ว”
จะเป็นจากที่ไหนแก้วตาไม่คิดจะมองหา แต่เพียงแค่นั้นก็ช่วยให้มีความหวังขึ้นมาได้เหมือนกัน คงมีใครในห้องแถวห้องใดห้องหนึ่งโทรศัพท์ไปแจ้งหน่วยบรรเทาทุกข์ของโรงพยาบาล อย่างน้อยสายโทรศัพท์ก็ยังไม่ถูกตัดขาด และในเมื่อโรงศิริราชพยาบาลอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล รถคงมาถึงในไม่ช้า ถ้าเพียงจะประทังอาการของพลรบไว้ได้
“รถของหน่วยบรรเทาทุกข์กำลังมาแล้วพล” เธอบอกแม้รู้ดีว่าเขาคงไม่สนใจเพราะมุ่งมั่นอยู่แต่จะซ่อมรถให้ได้ก็ตาม
และจะเป็นเพราะความรั้นของเขาหรือไม่ก็เพราะรถของหน่วยบรรเทาทุกข์ต้องวิ่งรับคนเจ็บมาตลอดทางแก้วตาเองก็สุดจะเดา แต่เสียงรถเครื่องกระหึ่มขึ้นก่อนรถโกดังของโรงพยาบาลจะมาถึง เธอจึงจำต้องยอมกลับบ้านก่อนแต่โดยดี
หากก็ยังไม่วายบ่นพึมพำส่งท้าย
“ถ้าเธอเป็นอะไรไปพี่ไม่รู้ด้วยหรอกนะ”
เพียงเธอ (บทที่ ๔)
คุณ กลิ่นลั่นทม,
คุณนุ่น lovereason,
คุณ ริมแม่โขง,
คุณ สมาชิกหมายเลข 1625278,
น้องปุ้ย อรุสา,
น้อง มาโซคิส,
คุณ Su_jeong,
คุณ รัตน์ฤดี,
น้องแพรว thezircon,
น้องนุ้ย ณวลี
คุณ คาโบนาร่าลาซาญญ่ามักกะโรนี,
คุณ กุเต่ยโหดกระถีบ
รวมถึงอีก 7 คน ใครก็ไม่ทราบค่ะ ชื่อหายไปแล้ว ขอบคุณนะคะ
คุณ Susisiri ถูกใจ,
คุณ nasa nasa
คุณ Hermosa
คุณเสี่ย kasareev
คุณ ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
คุณหมูครับ
คุณนัน turtle_cheesecake
รวมถึงอีก 5 คน ขอบคุณค่ะ
ชื่อหายไปหลายคนเลยค่ะ ตกหล่นชื่อใครไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะที่มาอ่าน
บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ http://ppantip.com/topic/32705425
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32747704
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32775622
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32798708
ฝนตกในที่สุด เริ่มจากโปรยปรายเป็นละอองบางๆ ลงมาก่อน และเพียงไม่นานก็ซัดกระหน่ำรุนแรงจนทุกสิ่งทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด ถ้าเป็นเมื่อวันสองวันก่อนแก้วตาคงหนักใจด้วยกลัวน้ำจะเอ่อท้นขึ้นมาจนท่วมร้านอีก แต่เวลานี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ฝนเหมือนฟ้าประทาน เสียงระเบิดหยุดลงแทบจะในทันที และเสียงหึ่งๆ ก็ห่างออกไป แทนที่ด้วยเสียงหวูดยาวเหยียดของสัญญาณบอกให้รู้ว่าหมดภัยแล้ว
เธอขยับตัวพร้อมๆ กับอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบอยู่รอบกายเริ่มคลาย
“พล เป็นยังไงบ้าง”
หันไปดูก็ใจหายเมื่อเห็นใบหน้าคมคายแทบไม่มีสีเลือดหลงเหลือ แม้คำตอบจะตรงข้าม
“ไม่เป็นไรหรอกแก้ว” สุ้มเสียงของเขาแหบโหย แขนล่ำสันที่เมื่อครู่ใช้ปกป้องเธอจากสะเก็ดระเบิดเลื่อนไปยันอยู่กับผนังตึกเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม
“แก้วล่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เขากวาดสายตาสำรวจเธอจนทั่วก่อนลุกยืนพร้อมกับพยุงเธอขึ้นมาด้วย
เปียกจนโชกกันทั้งคู่ จนแทบดูไม่ออกเลยว่าเขาบาดเจ็บเพียงไร
“ไปโรงพยาบาลเถอะพล”
เธอพยายามจับร่างใหญ่ๆ นั้นให้หันหลังมาให้ดู แต่เขาขืนตัวไว้
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่เป็นไร”
“ไปให้หมอดูสักหน่อยไม่ได้หรือ เธอเจ็บนะพล”
“ผมไม่ไป ผมจะพาแก้วกลับบ้าน”
เขากลับเป็นฝ่ายดึงแขนเธอไปทางรถเครื่อง และนั่นเองที่เธอเห็นรอยฉีกขาดบนเสื้อเชิ้ตที่เขาสวม ฝนชะเลือดไปเกือบหมดสิ้นแล้วจึงบอกไม่ได้เลยว่าเขาบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน
“ทำไมล่ะ โรงพยาบาลก็อยู่อีกไม่ไกล”
คิดขึ้นได้ว่าคงเป็นเพราะพี่เรวัตทำงานอยู่ที่นั่น เขาจึงไม่อยากไปขอความช่วยเหลือ
แต่ก็ไม่ใช่ เขาเหลียวขวับมามองเสื้อที่เธอสวม และแม้นัยน์ตาฉายประกายกล้าคู่นั้นไม่ได้โลมเลียหรือหยาบหยามเลยแม้แต่น้อย หากแก้วตาก็เข้าใจ สองเท้าที่กำลังซอยถี่ยิบตามเขาถึงกับสะดุดไปชั่วขณะเมื่อก้มลงดูเสื้อที่สวม เสื้อผ้าฝ้ายตัวนี้เก่ามากแล้ว เก่าจนเนื้อผ้าบางและเริ่มเปื่อย ถ้าเปียกน้ำจนโชกอย่างนี้จะแนบเนื้อและมองเห็นไปถึงไหนๆ แต่ที่สวมตัวนี้มาก็เพราะไม่คิดว่าฝนจะตก และไม่คิดว่าจะต้องมาพบกับสภาพเช่นนี้
“โธ่ พล” แทนที่จะห่วงตัวเอง เขากลับห่วงเธอ
“ผมไม่อยากให้ใครเห็นแก้วแบบนี้” ประโยคหลังเบาลงจนไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบ “ผมหวง”
แก้วตาไม่ได้ยินหรอกว่าเขาพึมพำอะไรในเมื่อมัวแต่ห่วงอาการบาดเจ็บของเขา
“แต่เธอเจ็บมากนะพล”
เลือดซึ่งไหลเป็นทางตามสายฝนลงบนพื้นไปตลอดทางนั้นบอกชัดแจ้ง รู้หรอกว่าเขาพยายามปกปิดอาการของตัวเองอย่างไร ถ้าเขาเป็นอะไรไปเธอจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเป็นอันขาด
ผู้คนเริ่มปรากฏตัวให้เห็น บางคนหลบอยู่ในร้านค้าและเปิดประตูร้านเพื่อโผล่หน้าออกมาดูความเป็นไปภายนอก แต่เพราะฝนยังคงสาดซัดหนักหน่วง จึงยังไม่มีใครกล้าออกมาพ้นชายคา บางคนโผล่ออกมาจากซากอาคารซึ่งใช้แทนหลุมหลบภัยชั่วคราว และหลายคนถูกประคองออกมาเพราะบาดเจ็บ
นั่นเองที่เธอสังเกตเห็นสภาพความเสียหาย อาคารร้านค้าแม้ไม่พังทลายจนเหลือแต่ซากเหมือนระเบิดครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่ก็มีรอยพรุนทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่งราวถูกกระสุนปืน เศษไม้เศษอิฐและปูนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายเกลื่อน รวมกับโลหะอะไรบางอย่างส่งประกายวาววับอยู่บนพื้น
รถเครื่องยังคงจอดอยู่ที่เดิม ในสภาพเดิม แต่เจ้ากรรม สตาร์ตไม่ติด
“น้ำเข้าเครื่อง”
พลรบบอกได้ทันที รถคันนี้เป็นของเขา ทำไมเขาจะไม่รู้ แต่จะเปิดฝาครอบเครื่องยนต์ในท่ามกลางสายฝนที่ยังคงลงหนักขนาดนี้ไม่ได้แน่
หันมองกลับไปทางอาคารพังๆ หลังที่ใช้หลบภัยเมื่อครู่ หลังคาซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่บ้างนั้นพอจะใช้เป็นที่กันฝนขณะซ่อมรถได้ จึงยกรถทั้งคันขึ้นบนบาทวิถีโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ
“พล พอเถอะ ทิ้งรถไว้ที่นี่แหละ” แก้วตาร้องห้ามเสียงหลง
เห็นๆ อยู่ว่าแผ่นหลังกว้างๆ ของเขานั้นเวลานี้มีแต่เลือด แสดงว่าเลือดออกมากจนแม้แต่น้ำฝนก็ชะออกจากเสื้อที่เขาสวมไม่ทัน เขาเสียเลือดไปมาก และคงยืนหยัดอยู่อย่างนี้ไปอีกได้ไม่นาน ตระหนักแล้วว่าระเบิดประกายดาวตามที่เขาบอกนั้นทรงอานุภาพเพียงไร เป้าหมายของระเบิดประเภทนี้คือผู้คน ไม่ใช่อาคารบ้านเรือน และคงเพราะเหตุนั้นจึงทิ้งใกล้ๆ ค่ายทหารญี่ปุ่นอย่างนี้
แต่เขาก็ไม่ฟังเสียง เข็นรถเครื่องต่อไปที่ซากอาคารร้างจนได้
มีเสียงตะโกนบอกกันแว่วมาให้ได้ยินจากระยะไกล
“รถบรรเทาทุกข์ออกมาแล้ว”
จะเป็นจากที่ไหนแก้วตาไม่คิดจะมองหา แต่เพียงแค่นั้นก็ช่วยให้มีความหวังขึ้นมาได้เหมือนกัน คงมีใครในห้องแถวห้องใดห้องหนึ่งโทรศัพท์ไปแจ้งหน่วยบรรเทาทุกข์ของโรงพยาบาล อย่างน้อยสายโทรศัพท์ก็ยังไม่ถูกตัดขาด และในเมื่อโรงศิริราชพยาบาลอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล รถคงมาถึงในไม่ช้า ถ้าเพียงจะประทังอาการของพลรบไว้ได้
“รถของหน่วยบรรเทาทุกข์กำลังมาแล้วพล” เธอบอกแม้รู้ดีว่าเขาคงไม่สนใจเพราะมุ่งมั่นอยู่แต่จะซ่อมรถให้ได้ก็ตาม
และจะเป็นเพราะความรั้นของเขาหรือไม่ก็เพราะรถของหน่วยบรรเทาทุกข์ต้องวิ่งรับคนเจ็บมาตลอดทางแก้วตาเองก็สุดจะเดา แต่เสียงรถเครื่องกระหึ่มขึ้นก่อนรถโกดังของโรงพยาบาลจะมาถึง เธอจึงจำต้องยอมกลับบ้านก่อนแต่โดยดี
หากก็ยังไม่วายบ่นพึมพำส่งท้าย
“ถ้าเธอเป็นอะไรไปพี่ไม่รู้ด้วยหรอกนะ”