เวลาที่เราหน้ามืดแล้วหมดสตินั้นแสดงถึงว่า จิตต้องอาศัยอ๊อกซิเจนและเลือดมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่
ถ้าจิตจะมีตัวตนเป็นของตนเอง (อัตตา) แล้ว มันจะไม่ต้องอาศัยอ๊อกซิเจนและเลือดมาปรุงแต่ง (คือมันจะตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง) และมันจะมีอยู่หรือตั้งอยู่ตลอดเวลา (คือจะมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุดแม้สักวินาทีเดียวและจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดร)
จิตนั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง คือมันจะต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ เมื่อสิ่งที่มาปรุงแต่งมันเปลี่ยนแปลงไป จิตก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อสิ่งที่มาปรุงแต่งได้ดับหายไป จิตก็จะต้องดับหายไปตามด้วย ซึ่งนี่คือลักษณะความเป็นอนัตตาของจิต
จิตต้องอาศัยร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ มาปรุงแต่งให้เกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ (คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และยังต้องอาศัยข้อมูลจากสมอง (คือความทรงจำ) มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นการคิดทั้งหลายขึ้นมา รวมทั้งปรุงแต่งให้เกิดความพอใจ-ไม่พอใจ-ไม่แน่ใจ (กิเลส) และความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมา ดังนั้นเมื่อสมองขาดเลือด ขาดอ๊อกซิเจน จึงทำให้จิตค่อยๆหมดสติอย่างที่เราเคยเป็น (คนที่ไม่เคยหมดสติคงไม่รู้แจ้งจุดนี้)
นี่คือความจริงที่เป็นปัญญา ที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าใครยังเชื่อว่าจิตจะมีอยู่ตลอดเวลาแม้เวลาหลับหรือหมดสติ ก็แสดงว่ายังเชื่อว่าจิตเป็นอัตตา (ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร) ที่จะมีการเกิด-ดับมาสืบต่อกันไว้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องอาศัยร่างกาย แล้วก็ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายขึ้นมา อย่างที่ปลอมปนอยู่ในพุทธศาสนาในปัจจุบัน
เวลาที่เราหน้ามืดแล้วหมดสตินั้นแสดงถึงว่า จิตต้องอาศัยอ๊อกซิเจนและเลือดมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่
ถ้าจิตจะมีตัวตนเป็นของตนเอง (อัตตา) แล้ว มันจะไม่ต้องอาศัยอ๊อกซิเจนและเลือดมาปรุงแต่ง (คือมันจะตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง) และมันจะมีอยู่หรือตั้งอยู่ตลอดเวลา (คือจะมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุดแม้สักวินาทีเดียวและจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดร)
จิตนั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง คือมันจะต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ เมื่อสิ่งที่มาปรุงแต่งมันเปลี่ยนแปลงไป จิตก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อสิ่งที่มาปรุงแต่งได้ดับหายไป จิตก็จะต้องดับหายไปตามด้วย ซึ่งนี่คือลักษณะความเป็นอนัตตาของจิต
จิตต้องอาศัยร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ มาปรุงแต่งให้เกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ (คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และยังต้องอาศัยข้อมูลจากสมอง (คือความทรงจำ) มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นการคิดทั้งหลายขึ้นมา รวมทั้งปรุงแต่งให้เกิดความพอใจ-ไม่พอใจ-ไม่แน่ใจ (กิเลส) และความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมา ดังนั้นเมื่อสมองขาดเลือด ขาดอ๊อกซิเจน จึงทำให้จิตค่อยๆหมดสติอย่างที่เราเคยเป็น (คนที่ไม่เคยหมดสติคงไม่รู้แจ้งจุดนี้)
นี่คือความจริงที่เป็นปัญญา ที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าใครยังเชื่อว่าจิตจะมีอยู่ตลอดเวลาแม้เวลาหลับหรือหมดสติ ก็แสดงว่ายังเชื่อว่าจิตเป็นอัตตา (ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร) ที่จะมีการเกิด-ดับมาสืบต่อกันไว้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องอาศัยร่างกาย แล้วก็ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายขึ้นมา อย่างที่ปลอมปนอยู่ในพุทธศาสนาในปัจจุบัน