คำว่า อัตตา แปลว่า ตัวตน ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เป็นตัวตนของมันเองโดยไม่อาศัยสิ่งใดๆมาปรุงแต่งหรือสร้างมันขึ้นมา โดยสิ่งที่เป็นอัตตานี้จะมีความเที่ยงหรือเป็นอมตะและไม่มีสภาวะที่ต้องทน ซึ่งคำสอนว่ามีสิ่งที่เป็นอัตตานี้เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่สอนว่าจิตของเรานี้เป็นอัตตาที่เวียนว่ายตาย-เกิดได้ อันเป็นเหตุให้เกิดความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า และเทวดา นางฟ้า เป็นต้นขึ้นมา
ส่วนคำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะเป็นอนัตตา คือไม่ใช่อัตตา เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องอาศัยสิ่งอื่นๆมาปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะไม่สามารรถที่จะดำรงค์อยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป ที่เรียกว่าไม่เที่ยง อีกทั้งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ยังมีสภาวะที่ต้องทนอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งแม้จิตของเรานี้ก็เป็นอนัตตา จึงไม่สามารถที่จะมีการเวียนว่ายตาย-เกิดอย่างที่พราหมณ์สอนได้
สิ่งที่เป็นอนัตตาที่เห็นได้ง่ายๆก็ได้แก่วัตถุสิ่งของทั้งหลาย เช่น รถยนต์คันหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกประกอบขึ้นมาจากชิ้นส่วนมากมาย แล้วเราก็มาสมมติเรียกว่าเป็นรถยนต์ ซึ่งเราจะหาสิ่งที่เป็นตัวตนของรถยนต์จริงๆนั้นไม่มีเพราะมันไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่รถยนต์จริงๆ ดังนั้นเมื่อสภาวะที่เป็นรถยนต์เช่นนี้ได้แตกแยกไปมันจึงไม่มีรถยนต์ที่เป็นเช่นนี้ไปเกิดใหม่ได้อีก
สิ่งที่เป็นอนัตตาที่เห็นได้ยากขึ้นมาอีกหน่อยก็คือร่างกายของเราและของทุกๆคน ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากอาหาร ,น้ำ, อุณหภูมิที่พอเหมาะ, และอากาศที่บริสุทธิ์ แล้วเราก็มาสมมติเรียกว่าเป็นร่างกาย ซึ่งเราจะหาสิ่งที่เป็นตัวตนของร่างกายจริงๆไม่มี เพราะร่างกายไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่ร่างกายจริงๆ ดังนั้นเมื่อสภาวะที่เป็นร่างกายเช่นนี้ได้แตกแยกไป มันจึงไม่มีร่างกายที่เป็นเช่นนี้ไปเกิดใหม่ได้อีก
สิ่งที่เป็นอนัตตาที่เห็นได้ยากที่สุดก็คือ จิต ของเราเอง (และของทุกชีวิตด้วย) ที่เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากร่างกายและความทรงจำ จนเกิดเป็นจิตที่รู้สึกว่าเป็นเรา (หรือตัวเรา) ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเราหาสิ่งที่เป็นตัวตนของจิตเองจริงๆไม่มี เพราะจิตไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่จิตจริงๆ ดังนั้นเมื่อสภาวะที่เป็นจิตนี้ได้ดับหายไป (เมื่อร่างกายตาย) มันจึงไม่มีจิตที่เป็นเช่นนี้เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก
สรุปได้ว่า เราต้องเข้าใจลักษณะของอัตตาในวัตถุให้เข้าใจอย่างแจ่มชัดก่อน เราจึงจะมาเข้าใจลักษณะของอนัตตาในร่างกายได้ เมื่อเข้าใจลักษณะของอนัตตาในร่างกายอย่างแจ่มชัดแล้ว จึงจะเข้าใจลักษณะของอนัตตาของจิตได้อย่างถูกต้อง เพราะมันมีลักษณะหมือนกัน แต่ถ้าเรายังเข้าใจว่าจะมีจิตที่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆที่จะมาเวียนว่ายตาย-เกิดได้ ก็แสดงว่ายังเข้าใจว่าจิตเป็นอัตตาอยู่ ยังไม่เข้าใจเรื่องจิตเป็นอนัตตาได้อย่างถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน และเมื่อเข้าใจผิดว่าจิตเป็นอัตตาก็จะนำความเข้าใจผิดนี้มาใช้ดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ไม่ได้
ลักษณะของ อนัตตา ที่ชาวพุทธต้องเข้าใจให้ถูกต้อง
ส่วนคำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะเป็นอนัตตา คือไม่ใช่อัตตา เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องอาศัยสิ่งอื่นๆมาปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะไม่สามารรถที่จะดำรงค์อยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป ที่เรียกว่าไม่เที่ยง อีกทั้งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ยังมีสภาวะที่ต้องทนอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งแม้จิตของเรานี้ก็เป็นอนัตตา จึงไม่สามารถที่จะมีการเวียนว่ายตาย-เกิดอย่างที่พราหมณ์สอนได้
สิ่งที่เป็นอนัตตาที่เห็นได้ง่ายๆก็ได้แก่วัตถุสิ่งของทั้งหลาย เช่น รถยนต์คันหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกประกอบขึ้นมาจากชิ้นส่วนมากมาย แล้วเราก็มาสมมติเรียกว่าเป็นรถยนต์ ซึ่งเราจะหาสิ่งที่เป็นตัวตนของรถยนต์จริงๆนั้นไม่มีเพราะมันไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่รถยนต์จริงๆ ดังนั้นเมื่อสภาวะที่เป็นรถยนต์เช่นนี้ได้แตกแยกไปมันจึงไม่มีรถยนต์ที่เป็นเช่นนี้ไปเกิดใหม่ได้อีก
สิ่งที่เป็นอนัตตาที่เห็นได้ยากขึ้นมาอีกหน่อยก็คือร่างกายของเราและของทุกๆคน ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากอาหาร ,น้ำ, อุณหภูมิที่พอเหมาะ, และอากาศที่บริสุทธิ์ แล้วเราก็มาสมมติเรียกว่าเป็นร่างกาย ซึ่งเราจะหาสิ่งที่เป็นตัวตนของร่างกายจริงๆไม่มี เพราะร่างกายไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่ร่างกายจริงๆ ดังนั้นเมื่อสภาวะที่เป็นร่างกายเช่นนี้ได้แตกแยกไป มันจึงไม่มีร่างกายที่เป็นเช่นนี้ไปเกิดใหม่ได้อีก
สิ่งที่เป็นอนัตตาที่เห็นได้ยากที่สุดก็คือ จิต ของเราเอง (และของทุกชีวิตด้วย) ที่เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากร่างกายและความทรงจำ จนเกิดเป็นจิตที่รู้สึกว่าเป็นเรา (หรือตัวเรา) ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเราหาสิ่งที่เป็นตัวตนของจิตเองจริงๆไม่มี เพราะจิตไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่จิตจริงๆ ดังนั้นเมื่อสภาวะที่เป็นจิตนี้ได้ดับหายไป (เมื่อร่างกายตาย) มันจึงไม่มีจิตที่เป็นเช่นนี้เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก
สรุปได้ว่า เราต้องเข้าใจลักษณะของอัตตาในวัตถุให้เข้าใจอย่างแจ่มชัดก่อน เราจึงจะมาเข้าใจลักษณะของอนัตตาในร่างกายได้ เมื่อเข้าใจลักษณะของอนัตตาในร่างกายอย่างแจ่มชัดแล้ว จึงจะเข้าใจลักษณะของอนัตตาของจิตได้อย่างถูกต้อง เพราะมันมีลักษณะหมือนกัน แต่ถ้าเรายังเข้าใจว่าจะมีจิตที่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆที่จะมาเวียนว่ายตาย-เกิดได้ ก็แสดงว่ายังเข้าใจว่าจิตเป็นอัตตาอยู่ ยังไม่เข้าใจเรื่องจิตเป็นอนัตตาได้อย่างถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน และเมื่อเข้าใจผิดว่าจิตเป็นอัตตาก็จะนำความเข้าใจผิดนี้มาใช้ดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ไม่ได้