มนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย ย่อมอยากที่จะมีตัวตน (อัตตา) อยู่ต่อไปแม้ร่างกายจะตายไปแล้ว ดังนั้นจึงได้ยอมรับและเชื่อคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการมีวิญญาณไปเกิดโดยตรง หรือมีอวิชชาหรือกรรมไปสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ก็ตาม
แต่พอมีคนมาบอกว่าจิตหรือวิญญาณของเรานี้เป็น อนัตตา คือไม่ใช่อัตตา แต่เป็นเพียง "สิ่งปรุงแต่งชั่วคราว" เท่านั้น ก็ไม่ยอมรับ เพราะมันขัดแย้งกับความรู้สึกว่ามีตัวตน และกลัวว่าจะสูญเสียตัวตนไป
นี่เองที่ทำให้การแปลความหมายของคำว่าอนัตตาผิดเพี้ยนไปกลายเป็นอัตตาที่เวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายขึ้นมา เพื่อให้คนที่กลัวสูญเสียอัตตายอมรับ และความหมายของอนัตตาที่ผิดเพี้ยนนี้ ก็ได้ปลอมปนเข้าอยู่ในพุทธศาสนาจนถึงปัจจัน
สรุปได้ว่า การสอนเรื่องอนัตตานี้ ถ้าเอาความหมายจริงๆแล้วยากที่จะมีคนยอมรับ จะต้องเป็นคนมีปัญญาจริงๆเท่านั้นจึงจะยอมรับ เพราะความหมายมันดูเหมือนกับว่าทำให้สูญเสียตัวตนไป ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการสอนเรื่องอนัตตานี้เป็นการสอนให้เข้าใจถึงลักษณะที่แท้จริงของทุกสิ่ง เพื่อไม่ให้จิตไปโง่หลงยึดถือว่าเป็นตัวตนจริงๆเข้า แล้วก็ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาด้วยความโง่ของจิตเอง
เพราะกลัวสูญเสียตัวตน (อัตตา) จึงได้ไม่ยอมรับความหมายที่แท้จริงของอนัตตา
แต่พอมีคนมาบอกว่าจิตหรือวิญญาณของเรานี้เป็น อนัตตา คือไม่ใช่อัตตา แต่เป็นเพียง "สิ่งปรุงแต่งชั่วคราว" เท่านั้น ก็ไม่ยอมรับ เพราะมันขัดแย้งกับความรู้สึกว่ามีตัวตน และกลัวว่าจะสูญเสียตัวตนไป
นี่เองที่ทำให้การแปลความหมายของคำว่าอนัตตาผิดเพี้ยนไปกลายเป็นอัตตาที่เวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายขึ้นมา เพื่อให้คนที่กลัวสูญเสียอัตตายอมรับ และความหมายของอนัตตาที่ผิดเพี้ยนนี้ ก็ได้ปลอมปนเข้าอยู่ในพุทธศาสนาจนถึงปัจจัน
สรุปได้ว่า การสอนเรื่องอนัตตานี้ ถ้าเอาความหมายจริงๆแล้วยากที่จะมีคนยอมรับ จะต้องเป็นคนมีปัญญาจริงๆเท่านั้นจึงจะยอมรับ เพราะความหมายมันดูเหมือนกับว่าทำให้สูญเสียตัวตนไป ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการสอนเรื่องอนัตตานี้เป็นการสอนให้เข้าใจถึงลักษณะที่แท้จริงของทุกสิ่ง เพื่อไม่ให้จิตไปโง่หลงยึดถือว่าเป็นตัวตนจริงๆเข้า แล้วก็ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาด้วยความโง่ของจิตเอง