เสียงประกาศจากหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน คลอเพลงลูกทุ่งสมัยเก่ายุคเดียวกับเพลงยอดนิยมจากกรุงเทพอย่างวงสุนทราภรณ์
หมู่บ้านชนบทรากหญ้าของสังคมชาวนาที่รายรอบคือท้องทุ่งนา
ต้นข้าวกำลังเขียวขจีในพร้อมออกรวงให้เก็บเกี่ยวหลังงออกพรรษารับต้นลมหนาว ใน
หมู่บ้านที่เทคโนโนยีที่ทันสมัยที่สุดเพิ่งไปถึงแค่โทรศัพท์มือถือ
หมอกเดือนสิบฟุ้งรับกับแสงทองสาด ตามถนนคอนกรีตถนนสาธารณะเส้นผ่านกลาง
หมู่บ้านมีเพียงจักรยานเป็นยวดยานพาหนะเดียวที่เห็นผ่านมาในยามเช้าของวันนี้
ความสุขในบั้นปลายชีวิตของ“ยายเถา” หญิงสูงอายุวัยเกือบเจ็ดสิบ รูป
ร่างผอมแห้งผิวพรรณยาบกร้าน
มือเหี่ยวย่นสั่นเทาริ้วรอยรอยแสดงหลักฐานของการผ่านแดดลมจากการทำนาข้าวมานานมาตั้งแต่เป็นหญิงสาวชาวบ้าน
ยุคต้นยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ เมื่อสมัยยังเป็นสาว
ยายเถาเป็นคนขยันขันแข็งทำนาข้าวในที่ดินมรดกของ ตาลา อดีตลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น
ที่นาข้าวมรดกสมรสของตายายมีขนาดกว้างขวางที่สุดในบรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูส่งเสีย “วุฒิ”
ลูกชายคนเดียวอีกเช่นกัน ของยายเถาและตาลาของ มีวาสนาได้ร่ำเรียนจนจบชั้นปริญญาตรี
จากกรุงเทพเพียงคนเดียวในตำบลนี้ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ทำงานอะไรที่พอจะมีรายได้ ก็ยังพอมี
อยู่มีกินจากค่าเช่าที่นาซึ่งจะได้ข้าวเป็นค่าตอบแทนค่าเช่า
ก็พอเพียงให้ผู้เฒ่าทั้งสองได้มีอยู่มีกินได้ตามประสาคนแก่บ้านนอก ที่นาของตายายที่ว่า เป็นที่หวงแหนของตาลามาก
แม้ลูกชายจะเรียกร้องถึงขั้นตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันเมื่อพ่อผู้บังเกิดเกล้ายืนยันว่าจะไม่โอนยกมรดกนี้ให้
เพราะกลัวลูกชายจะขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด
เมื่อได้ยินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเคยเล่าให้ฟังว่าตอนนี้มีภาระต้องส่งเสียลูกสาวคนโตในบรรดาลูกสอง
คน ที่กำลังเรียนเกรดสี่โรงเรียนนานาชาติในเมืองกรุง ส่วนลูกชายคนเล็กยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลในโรงเรียนเอกชนละแวกใกล้บ้านชานเมืองของเขา ชีวิตที่ดูเหมือนจะมีความสุขกลับไม่เป็นอย่างนั้น
ความสุขใจที่พอจะหาได้ในชีวิตประจำวันของยายแก่คือการยืนจับกลุ่มอยู่ริมขอบถนนคอนกรีตแล้วชวนกันพูดคุย
เรื่องสรรพเพเหระที่เกิดจากชีวิตประจำวันต่างๆ บางครั้งเป็นเรื่องฝนฟ้าอากาศบ้างตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
ที่หน้าบ้านของยายเถา บรรยากาศทุก วันเกิดขึ้นพร้อมกับการฟังเสียงนักร้องลูกทุ่งชื่อดังจังหวะช้าๆเนิบๆ
ที่คุ้นหูสมัยยายยังสาวคลอตามสายลมมาให้ได้ยิน
จากหอกระจายเสียงเครื่องโทรโข่งประจำหมู่บ้านใหม่เพื่อรอพระวัยกลางคนเพียงรูปเดียวจากในวัด
บิณฑบาตผ่านแถวบ้านตายาย เพื่อใส่บาตรข้าวเหนียว
เป็นกิจวัตรประจำวันของหญิงชราที่กลุ่มคนแก่หน้าบ้านยายเถา
บนพื้นถนนคอนกรีตลาดเป็นทางยาว ขนาบข้างด้วยรั้วไม้ไผ่รวกของบ้านเรือนเรียงขนาบ
เป็นแถว คนแก่ทุกคนต่างถือกระติบข้าวเหนียวกันทุกคน
วันนี้ยายเถาตั้งใจว่าจะใส่บาตรแค่ที่หน้าบ้านของตัวเองเท่านั้นพอ
ไม่อยากเดินตามไปถวายภัตตาหารที่วัดเหมือนเช่นทุกวัน เพราะอาการปวด
หลังของยายเป็นอุปสรรคให้คนใจบุญอย่างยายเถาขี้เกียจเดินไปจนถึงวัดด้วยตัวเองพร้อมกับชวน”ตาลา
คู่ทุกข์คู่ยากอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังจากใส่บาตรเสร็จ
ยายเถาจึงเตรียมไข่ต้มสองลูกไว้พร้อมในกระติบคนเดียวในกลุ่มขณะที่เพื่อนคนอื่นๆมีเพียงกระติบข้าว
เหนียวคนละใบ
อายุที่มากแล้วยายเถาก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงพออยู่ได้
แม้ตาจะฝ้าฟางบ้างตามสังขาร เวลาเดินต้องก้มหน้าโค้งตัวไปข้างหน้าเพื่อบรรเทา
ความปวดเมื่อยได้บ้างภายในบ้านหลังน้อยขนาดเก้าเสาของตัวเองในหมู่บ้านแห่งความสงบตามชายทุ่งแห่งนี้ คู่ทุกข์คู่ยากอยู่กินกับ”ตาลา” ชายแก่สูงอายุ
กว่ายายเถาแปดปี ตามคำบอกเล่าของคนแก่รุ่นรองลงมาในหมู่บ้าน
สองตายายอาศัยอยู่กินกันตามประสาคนพื้นถิ่นบ้านนอกชนบทที่มีลูกชายวัยทำงาน
เติบโตมีครอบครัวในตัวเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ซึ่งอุปนิสัยนั้นเป็นคนชอบเที่ยวเตร่
นานๆเป็นปีจึงจะส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ราวปีละครั้ง ทั้งเสียงเพลง
ลูกทุ่งสมัยเก่าและการสนทนากลายเป็นความบันเทิงใจทดแทนความสุขใจที่ขาดหาย
เพราะความเหงาของคนสูงอายุเป็นบรรยากาศที่หาได้ง่ายจากคนแก่
ในสังคมชนบทแห่งนี้
ยายเถา พูดเกริ่นนำในกลุ่มคนแก่ทั้งหก ด้วยหมายให้เพื่อนคนอื่นในกลุ่มได้ยิน
ซึ่งมีทั้ง ยายหา ยายสา ยายปิง ตามิ่ง และตาลา
ยายเถา “ เสียงนักร้องคนนี้ดีจริงๆนะ ฉันว่า” เสียงนักร้องลูกทุ่งชายสมัยสองห้าศูนย์ศูนย์ดังคลอ
ทุกคนหันหน้ามาที่ยายเถาเจ้าของเสียงอย่างฉงนในสิ่งที่ได้ยินด้วยน้ำเสียงสั่นครือของยายเถา
ผู้เฒ่ากลุ่มนี้ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องเพลงจากหอกระจายข่าว
หมู่บ้านกันสักเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ของตายายมักจะเป็นเรื่องชี
วิตลูกหลานและสุขภาพของตัวเองให้ได้คุยกันมากกว่า
ยายสา “ เออใช่ ฉันก็ว่างั้นแหล่ะ ฉันเคยได้ข่าวว่านักร้องคนนี้ติดเหล้าด้วยไม่ใช่เหรอ
ก่อนตายก็เมาเหล้าแล้วขับรถเก๋งไปชนกับรถบรรทุกนี่”
ยายสาตอบรับเสียงของยายสา ทุกคนในกลุ่มเริ่มมีเรื่องที่จะพูดในใจบ้าง
ตาลาผัวยายเถาตัดพ้อถึงชีวิตอดีตนักร้องชื่อก้องฟ้าเมืองไทยในสมัยที่ตาลายัง
หนุ่ม
ตาลา “ชีวิตคนนี่มันไม่แน่จริงๆ ดังอยู่ดีๆก็ไม่แคล้วเสียคน ชะตาคนเรานี่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้”
ยายเถา ”ช่างมันเถอะแก (ยายเถาหมายถึงตาลา) เขาจะเป็นอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของแก ฉันพูดถึงเสียงร้องเขา ไม่ได้ชวนนินทาชะตาใคร ฟังสิเสียงดีแบบนี้
ว่าน่าเสียดายสิไม่ว่า”
คนแก่ทุกคนเริ่มพึมพำกันบ้างแล้วตามสถานการณ์พูดคุยของกลุ่มในวันนี้ เสียงยายหาดังขึ้น
ยายหา “แต่ฉันว่าอย่างตาลานะ ชีวิตคนมันไม่แน่จริงๆจะขึ้นจะลงมันเดาไม่ได้จริงๆ ดูสิขนาดผัวฉันเองตอนหนุ่มอยู่กินกันดีๆ ก็หนีฉันไปมีเมียน้อย ปล่อย
ฉันเลี้ยงลูกมาจนโต” ยายหาหญิงหม้ายวัยเจ็ดสิบกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจในชะตาชีวิตในอดีต
ตาลา “แกก็แปลกคน (ตาลาหมายถึงยายเถา) แก่ปูนจะเข้าวัดละ ยังถวิลเสียงนักร้อง”
ยายเถา ”ตาลานี่ก็เชยจริง เดี่ยวนี้แกไม่เห็นเหรอคนสมัยนี้เขาต้องฟังเพลงบ้าง
ผู้ใหญ่บ้านเขาอุตสาห์เปิดเพลงให้ฟังก็ฟังไปเถอะแก อย่าคิดอะไรมาก เดี๋ยว
ก็ไม่ได้ฟังแล้วล่ะ เพราะดีออก”
ยายเถาร่ายยาวอยู่คนเดียว ทุกคนหันหน้ามาฟังเสียงยายเถาอีกครั้ง
พูดหันไปทางเพื่อนกลุ่มคนอื่นที่เหลือ พลางหาเพื่อนร่วมแนวทางความคิดแย้งกับตา
ลา ยังได้ยินเสียงเพลงเดิมจากหอกระจายเสียงคงดังต่อไป
ยายปิง ตามิ่ง ยังไม่พูดกล่าวถึงอะไรในวันนี้ สองผัวเมียวัยแปดสิบกว่าเช่นเดียวกับยายเถาและตาลา
ไม่พูดอะไรเพราะปกติในหมู่บ้านจะเป็นที่รู้กันดีว่าสอง
ตายายไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่
หากไม่ใช่ต้องออกมารอพระเดินบิณฑบาตก็คงจะไม่ออกมานอกบ้าน เพราะสุขภาพไม่ค่อย
แข็งแรงกันทั้งคู่ จึงได้แต่ฟังทั้งสี่คนสนทนากันรอพระไปพลาง
เมื่อมีเพื่อนวัยเดียวกันที่ผ่านชีวิตมาร่วมเกือบศตวรรษเป็นคู่สนทนาคลายเหงา
พร้อมกับเสียงตามสายที่คลอในอากาศให้ได้ฟัง ชีวิตที่อิ่มเอมของคนแก่
เหล่านั้นยังสามารถฝากความหวังไว้ได้กับหอกระจายเสียงหมู่บ้านและเพื่อนร่วมสังคมเดียวกันนี้
เสียงเพลงยังดังไปเรื่อยๆพอได้ยินสำเนียงของนักร้องและเสียงเครื่องดนตรี
ที่คณะดนตรีเล่นบันทึกแผ่นเอาไว้ เสียงแตรมอเตอร์ไซค์
ดังส่งสัญญาณบอกให้คนแก่ทั้งหกขยับเดินงุ่นง่านออกห่างจากขอบถนนไปอีกจนเกือบถึงรั้วบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านยายเถา
ขณะที่ยังพูดคุยกันอยู่ทั้ง ยายเถา ยายหา ยายสา ยายปิง ตามิ่ง และตาลา
มอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมขนาดร้อยยี่สิบซีซีขับผ่านกลุ่มคนแก่
ทั้งหกไปด้วยเสียงแผดดังน่ารำคาญหูของผู้เฒ่าทุกคนในกลุ่ม ทำให้ชีวิตที่ดูเหมือนจะมี
ความสุขสงบตามประสาคนแก่ที่เกิดมาจากท้องไร่ท้องนานั้นมีบรรยากาศเริ่มไม่สงบ
ยายปิง “เสียงรถนี่ มันดังน่ารำคาญจริง” ยายปิงบ่นพึมพำเป็นครั้งแรกในวันนี้ คนแกทุกคนหยุดพูด
เสียงเพลงจากผู้ใหญ่บ้านจบเพลงที่สองผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงผ่านไมโครโฟน
ดังก้องฟังชัดถึงเรื่องรายชื่อและจำนวนเงินทำบุญกฐินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“ ยายประวิน บุญมีมากมาย ยี่สิบบาท ตาอุทิศ แม้เหมือน ยี่สิบบาท ยายเพียบ ใจบ้านนา ยี่สิบบาท
ตาลา สุขใจตัว ยี่สิบบาท ยายหา ฟ้าโคกดิน ยี่สิบบาท ตามิ่ง สุดประมาณ ห้าสิบบาท.................”
เสียงผู้ใหญ่บ้านประกาศรายชื่อลูกบ้านทำบุญในวันทอดกฐินประจำปีเข้าวัด
เพื่อหาเงินสร้างศาลาการเปรียญไปเรื่อยๆ ทุกคนหันหน้ามองมาทางยายปิงทันที
เมื่อผู้ใหญ่บ้านประกาศถึงชื่อยตามิ่ง
ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านกำลังอ่านประกาศรายชื่อลูกบ้านที่ไปทำบุญไปเรื่อยๆ ยังไม่ครบรายชื่อทุกคน
หลงทางรัก ตอน1 ที่บ้านเกิด#1
หมู่บ้านชนบทรากหญ้าของสังคมชาวนาที่รายรอบคือท้องทุ่งนา
ต้นข้าวกำลังเขียวขจีในพร้อมออกรวงให้เก็บเกี่ยวหลังงออกพรรษารับต้นลมหนาว ใน
หมู่บ้านที่เทคโนโนยีที่ทันสมัยที่สุดเพิ่งไปถึงแค่โทรศัพท์มือถือ
หมอกเดือนสิบฟุ้งรับกับแสงทองสาด ตามถนนคอนกรีตถนนสาธารณะเส้นผ่านกลาง
หมู่บ้านมีเพียงจักรยานเป็นยวดยานพาหนะเดียวที่เห็นผ่านมาในยามเช้าของวันนี้
ความสุขในบั้นปลายชีวิตของ“ยายเถา” หญิงสูงอายุวัยเกือบเจ็ดสิบ รูป
ร่างผอมแห้งผิวพรรณยาบกร้าน
มือเหี่ยวย่นสั่นเทาริ้วรอยรอยแสดงหลักฐานของการผ่านแดดลมจากการทำนาข้าวมานานมาตั้งแต่เป็นหญิงสาวชาวบ้าน
ยุคต้นยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ เมื่อสมัยยังเป็นสาว
ยายเถาเป็นคนขยันขันแข็งทำนาข้าวในที่ดินมรดกของ ตาลา อดีตลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น
ที่นาข้าวมรดกสมรสของตายายมีขนาดกว้างขวางที่สุดในบรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูส่งเสีย “วุฒิ”
ลูกชายคนเดียวอีกเช่นกัน ของยายเถาและตาลาของ มีวาสนาได้ร่ำเรียนจนจบชั้นปริญญาตรี
จากกรุงเทพเพียงคนเดียวในตำบลนี้ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ทำงานอะไรที่พอจะมีรายได้ ก็ยังพอมี
อยู่มีกินจากค่าเช่าที่นาซึ่งจะได้ข้าวเป็นค่าตอบแทนค่าเช่า
ก็พอเพียงให้ผู้เฒ่าทั้งสองได้มีอยู่มีกินได้ตามประสาคนแก่บ้านนอก ที่นาของตายายที่ว่า เป็นที่หวงแหนของตาลามาก
แม้ลูกชายจะเรียกร้องถึงขั้นตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันเมื่อพ่อผู้บังเกิดเกล้ายืนยันว่าจะไม่โอนยกมรดกนี้ให้
เพราะกลัวลูกชายจะขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด
เมื่อได้ยินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเคยเล่าให้ฟังว่าตอนนี้มีภาระต้องส่งเสียลูกสาวคนโตในบรรดาลูกสอง
คน ที่กำลังเรียนเกรดสี่โรงเรียนนานาชาติในเมืองกรุง ส่วนลูกชายคนเล็กยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลในโรงเรียนเอกชนละแวกใกล้บ้านชานเมืองของเขา ชีวิตที่ดูเหมือนจะมีความสุขกลับไม่เป็นอย่างนั้น
ความสุขใจที่พอจะหาได้ในชีวิตประจำวันของยายแก่คือการยืนจับกลุ่มอยู่ริมขอบถนนคอนกรีตแล้วชวนกันพูดคุย
เรื่องสรรพเพเหระที่เกิดจากชีวิตประจำวันต่างๆ บางครั้งเป็นเรื่องฝนฟ้าอากาศบ้างตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
ที่หน้าบ้านของยายเถา บรรยากาศทุก วันเกิดขึ้นพร้อมกับการฟังเสียงนักร้องลูกทุ่งชื่อดังจังหวะช้าๆเนิบๆ
ที่คุ้นหูสมัยยายยังสาวคลอตามสายลมมาให้ได้ยิน
จากหอกระจายเสียงเครื่องโทรโข่งประจำหมู่บ้านใหม่เพื่อรอพระวัยกลางคนเพียงรูปเดียวจากในวัด
บิณฑบาตผ่านแถวบ้านตายาย เพื่อใส่บาตรข้าวเหนียว
เป็นกิจวัตรประจำวันของหญิงชราที่กลุ่มคนแก่หน้าบ้านยายเถา
บนพื้นถนนคอนกรีตลาดเป็นทางยาว ขนาบข้างด้วยรั้วไม้ไผ่รวกของบ้านเรือนเรียงขนาบ
เป็นแถว คนแก่ทุกคนต่างถือกระติบข้าวเหนียวกันทุกคน
วันนี้ยายเถาตั้งใจว่าจะใส่บาตรแค่ที่หน้าบ้านของตัวเองเท่านั้นพอ
ไม่อยากเดินตามไปถวายภัตตาหารที่วัดเหมือนเช่นทุกวัน เพราะอาการปวด
หลังของยายเป็นอุปสรรคให้คนใจบุญอย่างยายเถาขี้เกียจเดินไปจนถึงวัดด้วยตัวเองพร้อมกับชวน”ตาลา
คู่ทุกข์คู่ยากอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังจากใส่บาตรเสร็จ
ยายเถาจึงเตรียมไข่ต้มสองลูกไว้พร้อมในกระติบคนเดียวในกลุ่มขณะที่เพื่อนคนอื่นๆมีเพียงกระติบข้าว
เหนียวคนละใบ
อายุที่มากแล้วยายเถาก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงพออยู่ได้
แม้ตาจะฝ้าฟางบ้างตามสังขาร เวลาเดินต้องก้มหน้าโค้งตัวไปข้างหน้าเพื่อบรรเทา
ความปวดเมื่อยได้บ้างภายในบ้านหลังน้อยขนาดเก้าเสาของตัวเองในหมู่บ้านแห่งความสงบตามชายทุ่งแห่งนี้ คู่ทุกข์คู่ยากอยู่กินกับ”ตาลา” ชายแก่สูงอายุ
กว่ายายเถาแปดปี ตามคำบอกเล่าของคนแก่รุ่นรองลงมาในหมู่บ้าน
สองตายายอาศัยอยู่กินกันตามประสาคนพื้นถิ่นบ้านนอกชนบทที่มีลูกชายวัยทำงาน
เติบโตมีครอบครัวในตัวเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ซึ่งอุปนิสัยนั้นเป็นคนชอบเที่ยวเตร่
นานๆเป็นปีจึงจะส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ราวปีละครั้ง ทั้งเสียงเพลง
ลูกทุ่งสมัยเก่าและการสนทนากลายเป็นความบันเทิงใจทดแทนความสุขใจที่ขาดหาย
เพราะความเหงาของคนสูงอายุเป็นบรรยากาศที่หาได้ง่ายจากคนแก่ ในสังคมชนบทแห่งนี้
ยายเถา พูดเกริ่นนำในกลุ่มคนแก่ทั้งหก ด้วยหมายให้เพื่อนคนอื่นในกลุ่มได้ยิน
ซึ่งมีทั้ง ยายหา ยายสา ยายปิง ตามิ่ง และตาลา
ยายเถา “ เสียงนักร้องคนนี้ดีจริงๆนะ ฉันว่า” เสียงนักร้องลูกทุ่งชายสมัยสองห้าศูนย์ศูนย์ดังคลอ
ทุกคนหันหน้ามาที่ยายเถาเจ้าของเสียงอย่างฉงนในสิ่งที่ได้ยินด้วยน้ำเสียงสั่นครือของยายเถา
ผู้เฒ่ากลุ่มนี้ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องเพลงจากหอกระจายข่าว
หมู่บ้านกันสักเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ของตายายมักจะเป็นเรื่องชี
วิตลูกหลานและสุขภาพของตัวเองให้ได้คุยกันมากกว่า
ยายสา “ เออใช่ ฉันก็ว่างั้นแหล่ะ ฉันเคยได้ข่าวว่านักร้องคนนี้ติดเหล้าด้วยไม่ใช่เหรอ
ก่อนตายก็เมาเหล้าแล้วขับรถเก๋งไปชนกับรถบรรทุกนี่”
ยายสาตอบรับเสียงของยายสา ทุกคนในกลุ่มเริ่มมีเรื่องที่จะพูดในใจบ้าง
ตาลาผัวยายเถาตัดพ้อถึงชีวิตอดีตนักร้องชื่อก้องฟ้าเมืองไทยในสมัยที่ตาลายัง
หนุ่ม
ตาลา “ชีวิตคนนี่มันไม่แน่จริงๆ ดังอยู่ดีๆก็ไม่แคล้วเสียคน ชะตาคนเรานี่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้”
ยายเถา ”ช่างมันเถอะแก (ยายเถาหมายถึงตาลา) เขาจะเป็นอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของแก ฉันพูดถึงเสียงร้องเขา ไม่ได้ชวนนินทาชะตาใคร ฟังสิเสียงดีแบบนี้
ว่าน่าเสียดายสิไม่ว่า”
คนแก่ทุกคนเริ่มพึมพำกันบ้างแล้วตามสถานการณ์พูดคุยของกลุ่มในวันนี้ เสียงยายหาดังขึ้น
ยายหา “แต่ฉันว่าอย่างตาลานะ ชีวิตคนมันไม่แน่จริงๆจะขึ้นจะลงมันเดาไม่ได้จริงๆ ดูสิขนาดผัวฉันเองตอนหนุ่มอยู่กินกันดีๆ ก็หนีฉันไปมีเมียน้อย ปล่อย
ฉันเลี้ยงลูกมาจนโต” ยายหาหญิงหม้ายวัยเจ็ดสิบกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจในชะตาชีวิตในอดีต
ตาลา “แกก็แปลกคน (ตาลาหมายถึงยายเถา) แก่ปูนจะเข้าวัดละ ยังถวิลเสียงนักร้อง”
ยายเถา ”ตาลานี่ก็เชยจริง เดี่ยวนี้แกไม่เห็นเหรอคนสมัยนี้เขาต้องฟังเพลงบ้าง
ผู้ใหญ่บ้านเขาอุตสาห์เปิดเพลงให้ฟังก็ฟังไปเถอะแก อย่าคิดอะไรมาก เดี๋ยว
ก็ไม่ได้ฟังแล้วล่ะ เพราะดีออก”
ยายเถาร่ายยาวอยู่คนเดียว ทุกคนหันหน้ามาฟังเสียงยายเถาอีกครั้ง
พูดหันไปทางเพื่อนกลุ่มคนอื่นที่เหลือ พลางหาเพื่อนร่วมแนวทางความคิดแย้งกับตา
ลา ยังได้ยินเสียงเพลงเดิมจากหอกระจายเสียงคงดังต่อไป
ยายปิง ตามิ่ง ยังไม่พูดกล่าวถึงอะไรในวันนี้ สองผัวเมียวัยแปดสิบกว่าเช่นเดียวกับยายเถาและตาลา
ไม่พูดอะไรเพราะปกติในหมู่บ้านจะเป็นที่รู้กันดีว่าสอง
ตายายไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่
หากไม่ใช่ต้องออกมารอพระเดินบิณฑบาตก็คงจะไม่ออกมานอกบ้าน เพราะสุขภาพไม่ค่อย
แข็งแรงกันทั้งคู่ จึงได้แต่ฟังทั้งสี่คนสนทนากันรอพระไปพลาง
เมื่อมีเพื่อนวัยเดียวกันที่ผ่านชีวิตมาร่วมเกือบศตวรรษเป็นคู่สนทนาคลายเหงา
พร้อมกับเสียงตามสายที่คลอในอากาศให้ได้ฟัง ชีวิตที่อิ่มเอมของคนแก่
เหล่านั้นยังสามารถฝากความหวังไว้ได้กับหอกระจายเสียงหมู่บ้านและเพื่อนร่วมสังคมเดียวกันนี้
เสียงเพลงยังดังไปเรื่อยๆพอได้ยินสำเนียงของนักร้องและเสียงเครื่องดนตรี
ที่คณะดนตรีเล่นบันทึกแผ่นเอาไว้ เสียงแตรมอเตอร์ไซค์
ดังส่งสัญญาณบอกให้คนแก่ทั้งหกขยับเดินงุ่นง่านออกห่างจากขอบถนนไปอีกจนเกือบถึงรั้วบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านยายเถา
ขณะที่ยังพูดคุยกันอยู่ทั้ง ยายเถา ยายหา ยายสา ยายปิง ตามิ่ง และตาลา
มอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมขนาดร้อยยี่สิบซีซีขับผ่านกลุ่มคนแก่
ทั้งหกไปด้วยเสียงแผดดังน่ารำคาญหูของผู้เฒ่าทุกคนในกลุ่ม ทำให้ชีวิตที่ดูเหมือนจะมี
ความสุขสงบตามประสาคนแก่ที่เกิดมาจากท้องไร่ท้องนานั้นมีบรรยากาศเริ่มไม่สงบ
ยายปิง “เสียงรถนี่ มันดังน่ารำคาญจริง” ยายปิงบ่นพึมพำเป็นครั้งแรกในวันนี้ คนแกทุกคนหยุดพูด
เสียงเพลงจากผู้ใหญ่บ้านจบเพลงที่สองผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงผ่านไมโครโฟน
ดังก้องฟังชัดถึงเรื่องรายชื่อและจำนวนเงินทำบุญกฐินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“ ยายประวิน บุญมีมากมาย ยี่สิบบาท ตาอุทิศ แม้เหมือน ยี่สิบบาท ยายเพียบ ใจบ้านนา ยี่สิบบาท
ตาลา สุขใจตัว ยี่สิบบาท ยายหา ฟ้าโคกดิน ยี่สิบบาท ตามิ่ง สุดประมาณ ห้าสิบบาท.................”
เสียงผู้ใหญ่บ้านประกาศรายชื่อลูกบ้านทำบุญในวันทอดกฐินประจำปีเข้าวัด
เพื่อหาเงินสร้างศาลาการเปรียญไปเรื่อยๆ ทุกคนหันหน้ามองมาทางยายปิงทันที
เมื่อผู้ใหญ่บ้านประกาศถึงชื่อยตามิ่ง
ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านกำลังอ่านประกาศรายชื่อลูกบ้านที่ไปทำบุญไปเรื่อยๆ ยังไม่ครบรายชื่อทุกคน