หลงทางรัก ตอน1 ที่บ้านเกิด#1

เสียงประกาศจากหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน คลอเพลงลูกทุ่งสมัยเก่ายุคเดียวกับเพลงยอดนิยมจากกรุงเทพอย่างวงสุนทราภรณ์

หมู่บ้านชนบทรากหญ้าของสังคมชาวนาที่รายรอบคือท้องทุ่งนา
ต้นข้าวกำลังเขียวขจีในพร้อมออกรวงให้เก็บเกี่ยวหลังงออกพรรษารับต้นลมหนาว ใน

หมู่บ้านที่เทคโนโนยีที่ทันสมัยที่สุดเพิ่งไปถึงแค่โทรศัพท์มือถือ


              หมอกเดือนสิบฟุ้งรับกับแสงทองสาด ตามถนนคอนกรีตถนนสาธารณะเส้นผ่านกลาง

หมู่บ้านมีเพียงจักรยานเป็นยวดยานพาหนะเดียวที่เห็นผ่านมาในยามเช้าของวันนี้
ความสุขในบั้นปลายชีวิตของ“ยายเถา” หญิงสูงอายุวัยเกือบเจ็ดสิบ รูป

ร่างผอมแห้งผิวพรรณยาบกร้าน
มือเหี่ยวย่นสั่นเทาริ้วรอยรอยแสดงหลักฐานของการผ่านแดดลมจากการทำนาข้าวมานานมาตั้งแต่เป็นหญิงสาวชาวบ้าน

ยุคต้นยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ เมื่อสมัยยังเป็นสาว
ยายเถาเป็นคนขยันขันแข็งทำนาข้าวในที่ดินมรดกของ ตาลา อดีตลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น


               ที่นาข้าวมรดกสมรสของตายายมีขนาดกว้างขวางที่สุดในบรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูส่งเสีย “วุฒิ”
ลูกชายคนเดียวอีกเช่นกัน ของยายเถาและตาลาของ มีวาสนาได้ร่ำเรียนจนจบชั้นปริญญาตรี
จากกรุงเทพเพียงคนเดียวในตำบลนี้ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ทำงานอะไรที่พอจะมีรายได้ ก็ยังพอมี


อยู่มีกินจากค่าเช่าที่นาซึ่งจะได้ข้าวเป็นค่าตอบแทนค่าเช่า
ก็พอเพียงให้ผู้เฒ่าทั้งสองได้มีอยู่มีกินได้ตามประสาคนแก่บ้านนอก ที่นาของตายายที่ว่า เป็นที่หวงแหนของตาลามาก

แม้ลูกชายจะเรียกร้องถึงขั้นตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันเมื่อพ่อผู้บังเกิดเกล้ายืนยันว่าจะไม่โอนยกมรดกนี้ให้


เพราะกลัวลูกชายจะขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด
เมื่อได้ยินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเคยเล่าให้ฟังว่าตอนนี้มีภาระต้องส่งเสียลูกสาวคนโตในบรรดาลูกสอง

คน ที่กำลังเรียนเกรดสี่โรงเรียนนานาชาติในเมืองกรุง ส่วนลูกชายคนเล็กยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลในโรงเรียนเอกชนละแวกใกล้บ้านชานเมืองของเขา ชีวิตที่ดูเหมือนจะมีความสุขกลับไม่เป็นอย่างนั้น

ความสุขใจที่พอจะหาได้ในชีวิตประจำวันของยายแก่คือการยืนจับกลุ่มอยู่ริมขอบถนนคอนกรีตแล้วชวนกันพูดคุย
เรื่องสรรพเพเหระที่เกิดจากชีวิตประจำวันต่างๆ บางครั้งเป็นเรื่องฝนฟ้าอากาศบ้างตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน


ที่หน้าบ้านของยายเถา บรรยากาศทุก วันเกิดขึ้นพร้อมกับการฟังเสียงนักร้องลูกทุ่งชื่อดังจังหวะช้าๆเนิบๆ
ที่คุ้นหูสมัยยายยังสาวคลอตามสายลมมาให้ได้ยิน

จากหอกระจายเสียงเครื่องโทรโข่งประจำหมู่บ้านใหม่เพื่อรอพระวัยกลางคนเพียงรูปเดียวจากในวัด
บิณฑบาตผ่านแถวบ้านตายาย เพื่อใส่บาตรข้าวเหนียว

เป็นกิจวัตรประจำวันของหญิงชราที่กลุ่มคนแก่หน้าบ้านยายเถา


                 บนพื้นถนนคอนกรีตลาดเป็นทางยาว ขนาบข้างด้วยรั้วไม้ไผ่รวกของบ้านเรือนเรียงขนาบ

เป็นแถว คนแก่ทุกคนต่างถือกระติบข้าวเหนียวกันทุกคน



               วันนี้ยายเถาตั้งใจว่าจะใส่บาตรแค่ที่หน้าบ้านของตัวเองเท่านั้นพอ
ไม่อยากเดินตามไปถวายภัตตาหารที่วัดเหมือนเช่นทุกวัน เพราะอาการปวด

หลังของยายเป็นอุปสรรคให้คนใจบุญอย่างยายเถาขี้เกียจเดินไปจนถึงวัดด้วยตัวเองพร้อมกับชวน”ตาลา

คู่ทุกข์คู่ยากอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังจากใส่บาตรเสร็จ
ยายเถาจึงเตรียมไข่ต้มสองลูกไว้พร้อมในกระติบคนเดียวในกลุ่มขณะที่เพื่อนคนอื่นๆมีเพียงกระติบข้าว

เหนียวคนละใบ
          


                  อายุที่มากแล้วยายเถาก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงพออยู่ได้
แม้ตาจะฝ้าฟางบ้างตามสังขาร เวลาเดินต้องก้มหน้าโค้งตัวไปข้างหน้าเพื่อบรรเทา

ความปวดเมื่อยได้บ้างภายในบ้านหลังน้อยขนาดเก้าเสาของตัวเองในหมู่บ้านแห่งความสงบตามชายทุ่งแห่งนี้ คู่ทุกข์คู่ยากอยู่กินกับ”ตาลา” ชายแก่สูงอายุ

กว่ายายเถาแปดปี ตามคำบอกเล่าของคนแก่รุ่นรองลงมาในหมู่บ้าน
สองตายายอาศัยอยู่กินกันตามประสาคนพื้นถิ่นบ้านนอกชนบทที่มีลูกชายวัยทำงาน

เติบโตมีครอบครัวในตัวเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ซึ่งอุปนิสัยนั้นเป็นคนชอบเที่ยวเตร่
นานๆเป็นปีจึงจะส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ราวปีละครั้ง ทั้งเสียงเพลง

ลูกทุ่งสมัยเก่าและการสนทนากลายเป็นความบันเทิงใจทดแทนความสุขใจที่ขาดหาย
เพราะความเหงาของคนสูงอายุเป็นบรรยากาศที่หาได้ง่ายจากคนแก่        ในสังคมชนบทแห่งนี้


ยายเถา พูดเกริ่นนำในกลุ่มคนแก่ทั้งหก ด้วยหมายให้เพื่อนคนอื่นในกลุ่มได้ยิน
ซึ่งมีทั้ง ยายหา ยายสา ยายปิง  ตามิ่ง และตาลา


ยายเถา “ เสียงนักร้องคนนี้ดีจริงๆนะ ฉันว่า” เสียงนักร้องลูกทุ่งชายสมัยสองห้าศูนย์ศูนย์ดังคลอ


ทุกคนหันหน้ามาที่ยายเถาเจ้าของเสียงอย่างฉงนในสิ่งที่ได้ยินด้วยน้ำเสียงสั่นครือของยายเถา
ผู้เฒ่ากลุ่มนี้ไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องเพลงจากหอกระจายข่าว

หมู่บ้านกันสักเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ของตายายมักจะเป็นเรื่องชี
วิตลูกหลานและสุขภาพของตัวเองให้ได้คุยกันมากกว่า

ยายสา “ เออใช่ ฉันก็ว่างั้นแหล่ะ ฉันเคยได้ข่าวว่านักร้องคนนี้ติดเหล้าด้วยไม่ใช่เหรอ
ก่อนตายก็เมาเหล้าแล้วขับรถเก๋งไปชนกับรถบรรทุกนี่”

ยายสาตอบรับเสียงของยายสา ทุกคนในกลุ่มเริ่มมีเรื่องที่จะพูดในใจบ้าง
ตาลาผัวยายเถาตัดพ้อถึงชีวิตอดีตนักร้องชื่อก้องฟ้าเมืองไทยในสมัยที่ตาลายัง

หนุ่ม

ตาลา    “ชีวิตคนนี่มันไม่แน่จริงๆ ดังอยู่ดีๆก็ไม่แคล้วเสียคน ชะตาคนเรานี่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้”

ยายเถา ”ช่างมันเถอะแก (ยายเถาหมายถึงตาลา) เขาจะเป็นอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของแก ฉันพูดถึงเสียงร้องเขา ไม่ได้ชวนนินทาชะตาใคร ฟังสิเสียงดีแบบนี้

ว่าน่าเสียดายสิไม่ว่า”

คนแก่ทุกคนเริ่มพึมพำกันบ้างแล้วตามสถานการณ์พูดคุยของกลุ่มในวันนี้ เสียงยายหาดังขึ้น

ยายหา “แต่ฉันว่าอย่างตาลานะ ชีวิตคนมันไม่แน่จริงๆจะขึ้นจะลงมันเดาไม่ได้จริงๆ ดูสิขนาดผัวฉันเองตอนหนุ่มอยู่กินกันดีๆ ก็หนีฉันไปมีเมียน้อย ปล่อย

ฉันเลี้ยงลูกมาจนโต” ยายหาหญิงหม้ายวัยเจ็ดสิบกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจในชะตาชีวิตในอดีต

ตาลา    “แกก็แปลกคน (ตาลาหมายถึงยายเถา) แก่ปูนจะเข้าวัดละ ยังถวิลเสียงนักร้อง”

ยายเถา ”ตาลานี่ก็เชยจริง เดี่ยวนี้แกไม่เห็นเหรอคนสมัยนี้เขาต้องฟังเพลงบ้าง
ผู้ใหญ่บ้านเขาอุตสาห์เปิดเพลงให้ฟังก็ฟังไปเถอะแก อย่าคิดอะไรมาก เดี๋ยว

ก็ไม่ได้ฟังแล้วล่ะ เพราะดีออก”

ยายเถาร่ายยาวอยู่คนเดียว ทุกคนหันหน้ามาฟังเสียงยายเถาอีกครั้ง
พูดหันไปทางเพื่อนกลุ่มคนอื่นที่เหลือ พลางหาเพื่อนร่วมแนวทางความคิดแย้งกับตา

ลา ยังได้ยินเสียงเพลงเดิมจากหอกระจายเสียงคงดังต่อไป

ยายปิง ตามิ่ง ยังไม่พูดกล่าวถึงอะไรในวันนี้ สองผัวเมียวัยแปดสิบกว่าเช่นเดียวกับยายเถาและตาลา
ไม่พูดอะไรเพราะปกติในหมู่บ้านจะเป็นที่รู้กันดีว่าสอง

ตายายไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่
หากไม่ใช่ต้องออกมารอพระเดินบิณฑบาตก็คงจะไม่ออกมานอกบ้าน เพราะสุขภาพไม่ค่อย

แข็งแรงกันทั้งคู่ จึงได้แต่ฟังทั้งสี่คนสนทนากันรอพระไปพลาง

เมื่อมีเพื่อนวัยเดียวกันที่ผ่านชีวิตมาร่วมเกือบศตวรรษเป็นคู่สนทนาคลายเหงา
พร้อมกับเสียงตามสายที่คลอในอากาศให้ได้ฟัง ชีวิตที่อิ่มเอมของคนแก่

เหล่านั้นยังสามารถฝากความหวังไว้ได้กับหอกระจายเสียงหมู่บ้านและเพื่อนร่วมสังคมเดียวกันนี้
          
  

                             เสียงเพลงยังดังไปเรื่อยๆพอได้ยินสำเนียงของนักร้องและเสียงเครื่องดนตรี
ที่คณะดนตรีเล่นบันทึกแผ่นเอาไว้ เสียงแตรมอเตอร์ไซค์

ดังส่งสัญญาณบอกให้คนแก่ทั้งหกขยับเดินงุ่นง่านออกห่างจากขอบถนนไปอีกจนเกือบถึงรั้วบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านยายเถา
ขณะที่ยังพูดคุยกันอยู่ทั้ง ยายเถา ยายหา ยายสา ยายปิง  ตามิ่ง และตาลา

มอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมขนาดร้อยยี่สิบซีซีขับผ่านกลุ่มคนแก่
ทั้งหกไปด้วยเสียงแผดดังน่ารำคาญหูของผู้เฒ่าทุกคนในกลุ่ม ทำให้ชีวิตที่ดูเหมือนจะมี

ความสุขสงบตามประสาคนแก่ที่เกิดมาจากท้องไร่ท้องนานั้นมีบรรยากาศเริ่มไม่สงบ

ยายปิง “เสียงรถนี่ มันดังน่ารำคาญจริง” ยายปิงบ่นพึมพำเป็นครั้งแรกในวันนี้ คนแกทุกคนหยุดพูด

เสียงเพลงจากผู้ใหญ่บ้านจบเพลงที่สองผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงผ่านไมโครโฟน
ดังก้องฟังชัดถึงเรื่องรายชื่อและจำนวนเงินทำบุญกฐินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

“ ยายประวิน บุญมีมากมาย ยี่สิบบาท ตาอุทิศ แม้เหมือน ยี่สิบบาท ยายเพียบ ใจบ้านนา ยี่สิบบาท

ตาลา สุขใจตัว ยี่สิบบาท ยายหา ฟ้าโคกดิน ยี่สิบบาท ตามิ่ง สุดประมาณ ห้าสิบบาท.................”

เสียงผู้ใหญ่บ้านประกาศรายชื่อลูกบ้านทำบุญในวันทอดกฐินประจำปีเข้าวัด
เพื่อหาเงินสร้างศาลาการเปรียญไปเรื่อยๆ ทุกคนหันหน้ามองมาทางยายปิงทันที

เมื่อผู้ใหญ่บ้านประกาศถึงชื่อยตามิ่ง


ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านกำลังอ่านประกาศรายชื่อลูกบ้านที่ไปทำบุญไปเรื่อยๆ ยังไม่ครบรายชื่อทุกคน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่