หมอกเมืองมาร

กระทู้สนทนา
บทนำ



            “คุณเชื่อเรื่องลี้ลับบ้างมั้ย เอ่อ..ผมหมายถึง ผีสางนางไม้ รุกขเทวดาอะไรพรรค์นี้” สมยศ ชายวัยสี่สิบแปดปีหันมาถามฐานสิทธิ์แวบหนึ่ง ผู้โดยสารหนุ่มที่กำลังทอดมองต้นไม้รกครึ้มที่ขึ้นแน่นขนัดอยู่ริมสองข้างทางของถนนพลันต้องหันมามองหน้าสารถีสูงวัยกว่าอย่างเสียไม่ได้

    ชายหนุ่มยิ้มเรียบ ก่อนยักคิ้วอย่างนึกขัน “ถ้าเป็นสมัยก่อนผมคงเชื่อครับ แต่เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไปมาก” ฐานสิทธิ์ตอบอย่างฉะฉาน ขณะที่รถแล่นผ่านหุบเขาน้อยใหญ่จวนจะถึงจุดหมายปลายทางในอีกไม่ไกล บัดนี้รอบกายก็มีเพียงแต่ร่มไม้ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่ยาวกว่าสองกิโลเมตรก่อนจะถึงหมู่บ้าน คงเพราะเห็นอาการตื่นเต้นของหนุ่มเมืองกรุงที่ได้เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้มีแต่ความสวยงามชวนให้น่าอภิรมย์เสมอไป สมยศจึงเอ่ยถามเพื่อลองใจ

    “โลกเปลี่ยนไปมากอย่างที่คุณว่า แต่ไม่ใช่สำหรับที่นี่ หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวบ้านส่วนมากจะเดินทางไปทำงานต่างเมือง ผมเองก็เช่นเดียวกัน พอโตเป็นหนุ่มก็มีเพียงไม่กี่ปีที่ผมจะอยู่ค้างที่หมู่บ้านในช่วงฤดูหนาว...” ฐานสิทธิ์หันกลับมาจ้องมองทางดินอันคดเคี้ยวเบื้องหน้า คำพูดของคนข้างกาย ฉุดสำนึกความสงสัยใคร่รู้ให้ปรากฏบนใบหน้า

    “ทำไมล่ะครับ พ่อผมบอกว่าสมัยท่านหนุ่มๆ ท่านมักมาพักผ่อนยังหมู่บ้านเมื่อถึงหน้าหนาวแทบทุกปี”

    “แล้วพ่อคุณไม่เคยเล่าเรื่องของที่นี่ให้คุณฟังบ้างหรือ...ตำนานหมู่บ้านและปราสาทร้างที่อยู่ในป่าด้านทิศตะวันออก”

    “ตำนาน...และปราสาทที่อยู่ในป่างั้นเหรอครับ ? ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าที่นี่มีปราสาทโบราณด้วย เป็นปราสาทขอมหรือครับ ?” ฐานสิทธิ์เอ่ยถามด้วยอาการลิงโลด หัวใจที่รักในการผจญภัยเต้นระรัวขึ้นมา หากแต่เมื่อเขาหันไปชำเลืองใบหน้าของสารถีสูงวัยที่นั่งอยู่เคียงข้าง อีกฝ่ายกลับเม้มปากแน่น แววตาเศร้าสลดลง

    “คุณอย่าไปที่นั่นเชียว...ที่แห่งนั้นมันต้องคำสาป ไม่มีชาวบ้านคนไหนอยากเข้าไปใกล้ โดยเฉพาะในฤดูหนาวและคืนที่สายหมอกลงจัดจนมองไม่เห็นอะไร...” คำพูดของสมยศยิ่งกระตุ้นให้ความอยากรู้ของฐานสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น หนุ่มเมืองกรุงฯ ผู้ไม่เคยสัมผัสบรรยากาศแปลกใหม่ในชนบทกลับตื่นเต้นมากกว่าจะรู้สึกกลัวเมื่อได้ยินคำเตือนนั้น

    “ยิ่งคุณพูดแบบนี้ ผมยิ่งอยากไปดูให้เห็นกับตา ปราสาทที่คุณว่า...” เขาลากเสียง แววตาเป็นตาเป็นประกาย

    “ตอนผมอายุเท่าคุณก็ไม่เคยนึกกลัวสิ่งใด ถือว่าตนเป็นหนุ่มแน่น มีพละกำลัง ไร้ซึ่งอันตรายจะมากร้ำกราย” สมยศแสยะยิ้ม นึกเหยียดหยันกับเหตุการณ์ในอดีตที่ตนได้ประสบพบเจอ เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนั้นมันได้ลดทอนความบ้าระห่ำในวัยหนุ่มของเขาจนหมดสิ้น จวบจนถึงทุกวันนี้... เขาก็ยังรู้สึกกลัวทุกครั้งที่นึกถึงมัน

    ฐานสิทธิ์เงียบไปครู่หนึ่ง รอดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรต่อไป ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนผ่านอุโมงค์ต้นไม้ออกมาเรื่อยๆ แสงแดดส่องเข้ามาในตัวรถ ชายหนุ่มรู้สึกปลอดโปร่งอย่างไรพิกลหลังหลุดพ้นจากอุโมงค์ต้นไม้อันมืดครึ้ม

    “ในฤดูหนาวของทุกปี ชาวบ้านจะทำพิธีบวงสรวงโดยการล้มวัวเพื่อเซ่นสังเวยแด่เจ้าของปราสาท และในแทบทุกปีก็จะมีคนล้มตายลงในช่วงก่อนและหลังวันเพ็ญเดือนอ้าย พวกเราเชื่อว่าเจ้าหญิงผู้สร้างปราสาทต้องการเอาชีวิตเพื่อไปเป็นข้ารับใช้ และเพื่อเป็นส่วยแก่พระนางที่ปกปักรักษาที่นี่ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข...”

    คราวนี้ฐานสิทธิ์ยอมรับว่าตัวเองตกอยู่ในภวังค์ของความหวาดกลัวหลังอีกฝ่ายพูดจบเสียแล้ว ทุกแห่งหนล้วนมีตำนาน ที่นี่เองก็เช่นเดียวกัน เมื่อหัวใจนึกค้านความกลัวอันไร้ซึ่งเหตุผล เขาจึงไม่พยายามโยงเอาเรื่องที่สมยศเล่าให้ฟังมาทำให้ตนเองรู้สึกหมดสนุกกับการมาพักผ่อนยังที่นี่เด็ดขาด... จะอย่างไร เขาก็ต้องหาโอกาสไปยังปราสาทนั้นให้จงได้ ไปเพื่อศึกษาซากโบราณวัตถุ ไปเพื่อเรียนรู้และสัมผัสกับสิ่งที่บรรพชนรุ่นหลังก่อสร้างเอาไว้เพียงเท่านั้น

    “แต่ผมว่า... เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นสัจธรรม ทุกปีมีทารกเกิดใหม่ ก็ย่อมต้องมีคนตายเป็นธรรมดา ผมเข้าใจครับว่าเป็นความเชื่อของชาวบ้าน แต่ถ้าหากฟังดูอย่างเป็นกลาง มันก็ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องโยงไปถึงปราสาทที่คุณว่านั่นเลย” คำพูดของเด็กหนุ่มคราวลูกทำให้สมยศถึงกับผายยิ้มกว้าง หันมามองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาดูแคลน

    “เมื่อยี่สิบปีก่อน มีคนถูกฆ่าที่นั่นครับ และที่สำคัญเราจับตัวฆาตกรไม่ได้ เธอผู้นั้นได้บนบานกับเจ้าหญิงไว้ว่าหากได้ในสิ่งที่หวัง จะถวายชีวิตให้ เมื่อเธอได้ในสิ่งที่หวังแล้ว ก็เดินทางออกจากหมู่บ้าน แต่ด้วยแรงดลใจหรืออะไรก็แล้วแต่ที่นำให้เธอกลับมายังที่นี่ สุดท้ายเธอก็ตายตามสัญญาที่ให้ไว้...ตายในคืนฤดูหนาวของปีนั้น คืนที่สายหมอกลงจัดจนแทบมองอะไรไม่เห็น”

    หลังอีกฝ่ายพูดจบ ฐานสิทธิ์ก็กลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่กำลังทอดสายตามองผ่านกระจกรถไปยังหลังคาบ้านที่ตั้งอยู่ประปรายตรงหน้าอีกไม่ไกล ในหัวก็กลับเกิดมโนภาพหญิงสาวถูกฆ่าตายในปราสาทร้าง นายสมยศลดกระจกด้านข้างลงครึ่งหนึ่ง ลมหนาวพัดกรูเข้ามาภายในจนชายหนุ่มขนลุกซู่ ก่อนที่สารถีสูงวัยจะหันมาบอกเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “เราถึงจุดหมายแล้วครับ หมู่บ้านวังหมอกขอยินดีต้อนรับ”



*ขอบคุณภาพสวยๆจากอินเทอร์เน็ตครับ

** มาตามสัญญานะครับ ^ ^ แปะบทนำไว้ก่อนเน้อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่